Kiss of the Dragon (2001) จูบอหังการ ล่าข้ามโลก

Kiss of the Dragon (2001)
จูบอหังการ ล่าข้ามโลก
Director: Chris Nahon
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: B

ในปีเดียวกันมี The One (2001) ที่สร้างความมันส์และบ้าพลังแถมยังวาบมิติไปที่ไหนๆก็ได้ ถ้านั้นคือการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกไปกับการผสมเอฟเฟคเข้าช่วย เราอาจสนุกกับเรื่องนี้ในแบบปกติด้วยกังฟูในระดับที่พอดีกันดีกว่า เนื้อเรื่องกล่าวถึงหลิว ฉวน (Jet Li) เจ้าหน้าที่พิเศษจากจีนเดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อร่วมมือกับฌอง ปีแอร์ ริชาร์ด (Tcheky Karyo) ผู้บัญชาการตำรวจท้องถิ่น เพื่อจับผู้ลักลอบค้ายาเสพติดข้ามชาติ

The Proposal (2009) ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ

The Proposal (2009)
ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ
Director: Anne Fletcher
Genres: Comedy | Drama | Romance

เรื่องวุ่นเกิดจากความรักโดยไม่ตั้งใจระหว่างมาร์กาเรต (Sandra Bullock) บรรณาธิการผู้ที่ใครก็ต่างเกรงอำนาจกำลังจะถูกเนรเทศกลับประเทศแคนาดาเพราะใบอนุญาตการทำงานสำหรับคนต่างด้าวในอเมริกาของเธอกำลังจะหมดอายุลง และด้วยความที่ยังไม่พร้อมเพราะงานที่ไปได้ดีทำให้งานนี้จึงต้องใช้วิธีแก้ไขหาแพะรับบาป ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ใครเลยหากเป็นคนที่ใกล้เธอมากที่สุดคือแอนดรูว์ (Ryan Reynolds) ชายผู้ทำงานใกล้เธอเพราะเป็นผู้ช่วยทำตามคำสั่งและรายงานอยู่เป็นเวล่ำเวลา ด้วยแผนการสุดจะบรรเจิดยิ่งกว่านั้นคือทำให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเพื่อให้มาร์กาเรตมีสิทธิ์อยู่ในอเมริกาต่อได้อย่างอิสระ ทว่าเรื่องมันใช่จะง่ายซะที่ไหนเมื่อการจดทะเบียนมันไม่ใช่เรื่องหมูๆเพราะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังจะดำเนินการตามกฎหมายกับเธอน่ะสิและเห็นพิรุธในเรื่องการมาจดทะเบียนนี้จึงชี้แจงรายละเอียดก่อนทำทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายจริงๆสำหรับคนที่รักกันแบบหลอกๆเพราะสิ่งที่ต้องเจอคือตำถามเกี่ยวกับคู่รักที่มักจะรู้กัน แล้วมาร์กาเรตจะไปเข้าใจแอนดรูว์ได้ยังไงกัน แถมถ้านี้ไม่ใช่รักที่บริสุทธิ์จะมีโทษตามกฎหมายที่ไม่ธรรมดาอีก ดังนั้นทั้งมาร์กาเรตและแอนดรูว์จึงต้องขอเวลาไปใช้ชีวิตด้วยกันที่บ้านของแอนดรูว์ซึ่งเรื่องเซอร์ไรส์ก็เกิดขึ้นทันทีนับแต่เริ่มเรื่อง

The One (2001) เดอะวัน เดี่ยวมหาประลัย

The One (2001)
เดอะวัน เดี่ยวมหาประลัย
Director: James Wong
Genres: Action Sci-Fi Thriller

มันคงเป็นหนังของ Jet Li ที่โชว์ความเว่อร์ได้เว่อร์สุดๆไปเลยล่ะมั้ง เล่นสู้ข้ามมิติกันแถมยังสู้กันข้าวของพังทลายไม่ต่างกับยอดมนุษย์สู้กัน(ไม่ถึงขนาดนั้นแต่เกือบล่ะ) แต่ที่แหวกแนวกว่าหน่อยเห็นจะเป็นเรื่องของมิติคู่ขนานที่มีมากถึง 125 มิติ และมีอยู่มิติหนึ่งที่มีคนคิดแหกกฎด้วยการไปเยือนมิติต่างๆโดยไม่ได้รับอนุญาติและยังตามเก็บตัวเองตามมิติต่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองทั้งสติปัญญาและพละกำลัง ฟังดูก็ชักจะเว่อร์ชอบกลแต่ถ้ามองเป็นหนังไซไฟอาจมีอะไรสนุกๆก็ได้ แต่มันไม่ใช่อ่ะสิเพราะหน้าหนังเกี่ยวกับมิติคู่ขนานก็ต่างแต่พวกหลักวิทยาศาสตร์ไซไฟอะไรพวกนี้เป็นแค่ตัวช่วยเสริมเท่านั้น เนื่องจากปัจจัยหลักๆของเรื่องนี้คือความมันส์ในแบบที่เราไม่คุ้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อนโดยเฉพาะกับอดีตศิษย์เส้าหลิน Jet Li ที่ต้องรับบทมากกว่าหนึ่งบทที่มีดีและร้ายสลับกันไปภายใต้ตัวละครหลักสองตัวระหว่างเกเบรียล ลอว์ (ตัวดี) ตำรวจพิทักษ์สันติรักสงบกับยู ลอว์ (ตัวร้าย) ที่ค้นพบว่าถ้าฆ่าตัวเองในมิติอื่นสำเร็จจะให้ตัวเองมีความสามารถที่มากขึ้นจนเป็นชนวนเหตุให้ตามฆ่าทุกมิติ และเชื่อว่าเมื่อฆ่าได้ครบทุกมิติจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง งานนี้เขาเรียกตีตัวเองใช่หรือเปล่า(ฮา)

Ghost Ship (2002) เรือผี

Ghost Ship (2002) | เรือผี
Director: Steve Beck
Genres: Horror
Grade: C-

"พึ่งจะเข้าใจคำว่าท่าดีทีเหลวก็เรื่องนี้แหละ"

คือฉากเปิดเรื่องของหนังยอมรับโดยบริสุทธิ์เลยว่าทั้งช็อคทั้งเหวอจนคิดแบบเต็มสูบว่าเป็นหนังผีที่สยองได้ใจจนน่าติดอันดับหนังโปรดก็เป็นได้โดยเฉพาะในความคัลท์ที่เข้าใจเปิดเรื่องด้วยการกระตุ้นเลือดเนื้อได้ดิบจริงๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าจุดเริ่มต้นของเรือผีจะสุดยอดขนาดนี้มันเจ๋งมากเลยนะบอกตรงๆ เพราะอะไรนั้นต้องขอบคุณความสามารถในการจับจุดได้ตรงจังหวะเรียกความสนใจได้อย่างอยู่หมัดแบบเส้นกราฟที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นจากต่ำสุดแล้วพุ่งไปสู่สูงสุดในทันที ทำไมรึ? จากฉากเต้นรำท่ามกลางแสงราตรี เสียงเพลงที่อ่อนละมุน หน้าตาของผู้คนที่ยิ้มแย้ม เด็กน้อยที่มีความสุข อะไรจะทำให้ผู้ชมสนใจสิ่งอื่นได้นอกจากช่วงเวลาดีๆของงานเต้นรำเช่นนี้ ใช่ทุกอย่างเรียบเรียงได้สวยหรูไม่ต่างกับการห่อของขวัญอย่างพิถีพิถันไม่รีบร้อน ทว่าขณะเดียวกันคล้ายทุกสิ่งที่เกิดเป็นเพียงสิ่งต่อหน้าหาใช่เบื้องหลังที่กำลังค่อยๆเกิดทีละนิดอย่างเป็นลำดับขั้นตอน มันคืออะไรที่ขัดขวางความสุขของคนบนเรือ อะไรที่ทำให้ผู้ชมเบิกตากว้างได้หลังจากวินาทีนั้น นี่จะเป็นสิ่งเซอร์ไพรส์ที่สุดของหนังและเราจะจำฉากนี้ได้อย่างดีเพราะมันคือฉากเดียวที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่องและตลอดจนจบ

Joy Ride (2001) เกมหยอก หลอกไปเชือด

Joy Ride (2001)
เกมหยอก หลอกไปเชือด
Director: John Dahl
Genres: Action | Mystery | Thriller
 
เรื่องของเรื่องก็คือไปแกล้งใครที่ไหนไม่รู้เพราะนึกสนุกประสาวัยรุ่น แต่คนที่ถูกอำกลับไม่มองว่าตลกน่ะสิและก็กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าความเจ็บใจเพราะเอาคืนด้วยการแก้แค้นกะให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยทีเดียว ทว่าถ้ามองเป็นหนังแก้แค้นคงไม่ใช่ไปซะทีเดียวแต่น่าจะเรียกว่ากรรมคืนสนองมากกว่าแถมคืนแบบคูณยกกำลังซะด้วย ซึ่งเรื่องเริ่มจากลูอิส โธมัส (Paul Walker) ที่กำลังเดินทางเพื่อที่จะไปรับหวานใจของเขา โดยเธอมีชื่อว่าเวนนา (Leelee Sobieski) แต่เผอิญประจวบเหมาะเขาต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเพราะฟูลเลอร์ (Steve Zahn) พี่ชายปากที่เพิ่งออกจากคุกมาหมาดๆถูกปล่อยตัวออกมาและเขาต้องไปรับพอดี ทำให้ลูอิสตัดสินต้องไปรับพี่ชายแสนน่าเบื่อเสียก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็นพี่เป็นน้อง แต่ไม่ทันไรพี่ชายก็งัดของดีมาใส่รถโดยที่ลูอิสเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นเพียงเครื่องวิทยุสื่อสาร แต่ที่นี่เรื่องตลกๆระหว่างสองพี่น้องก็เริ่มขึ้นเมื่อฟูลเลอร์สนุกกับการคุยวิทยุแบบโม้โน้นโม้นี้ราวกับเป็นเรื่องสนุกที่ใครฟังใครทำตามจะกลายเป็นเรื่องขำๆไป

Captain Phillips (2013) กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก

Captain Phillips (2013)
กัปตันฟิลลิป ฝ่านาทีพิฆาตโจรสลัดระทึกโลก
Director: Paul Greengrass
Genres: Adventure | Biography | Crime | Drama | Thriller

พอเห็นชื่อผู้กำกับก็นับว่าการันตีเรื่องจังหวะการเล่าเรื่องไปได้หนึ่งอย่างเลยว่าต้องระทึกและฉับไวด้วยแน่ๆ ซึ่งตัวอย่างมาจากผลงานก่อนหน้านี้อย่าง The Bourne Supremacy (2004),The Bourne Ultimatum (2007) และ United 93 (2006) ที่เน้นหนักความสมจริงสมจังด้วยการเล่าเรื่องให้ออกมาชวนระทึกอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนผสมกับการตัดต่อที่ว่องไวจนเป็นเครื่องหมายเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับคนนี้ แต่ที่น่าสนใจคือสร้างมาจากเรื่องจริงในปี 2009 เมื่อเรือบรรทุกสินค้า Maersk Alabama ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึดพร้อมจับกัปตันและลูกเรือเป็นตัวประกันจนกลายมาเป็นข่าวดังไปทั่วโลก และที่สำคัญคือเป็นเรือสัญชาติอเมริกันลำแรกในรอบ 200 ปีที่ถูกยึดได้ แต่ที่น่าสนใจคือพล็อตเรื่องจะมาแนวไหนกันแน่เพราะเมื่อลองมองดีๆจะไม่ต่างกับหนังดราม่าที่มีโจรมาบุกก่อนจะลงเอยด้วยความทรมานจากการเป็นเชลยซึ่งมันคงจะเป็นอะไรที่เศร้าแน่ๆ ทว่าเมื่อรู้มือผู้กำกับสิ่งที่เกิดจะไม่มีอารมณ์ดราม่าจนกว่าเรื่องจะจบเพราะก่อนหน้านั้นจะต้องเป็นสายแอ็คชั่นลุ้นระทึกเสียก่อน และผลลัพธ์ก็ระทึกจริงๆด้วย

Idle Hands (1999) ผีขยัน มือขยี้

Idle Hands (1999)
ผีขยัน มือขยี้
Director: Rodman Flender
Genres: Comedy | Fantasy | Horror | Thriller

จัดว่าเป็นหนังผีที่ดูสนุกในการเล่าเรื่องได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดในอารมณ์และดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องก็ออกกวนๆอยู่ด้วย โดยเนื้อเรื่องก็กล่าวถึงแอนตัน โทเบียส (Devon Sawa) หนุ่มจอมขี้เกียจที่ใช้ชีวิตวันๆไปกับเรื่องเรื่อยเปื่อยนั่งดูทีวีกับดูดกัญชา ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่าเมื่อแอนตันตื่นขึ้นมาพ่อกับแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความแปลกในวันใหม่ไม่ได้มีแค่นั้นหากแต่ระแวกนั้นก็เกิดเรื่องสยองขวัญเมื่อมีคนตายอย่างต่อเนื่อง ทว่าแอนตันไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากมองมอลลี่ (Jessica Alba) สาวข้างบ้านที่เขาแอบหลงรักมาโดยตลอด แต่เรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากจนกระทั่งแอนตันเจอศพพ่อแม่อยู่ในบ้านตัวเอง ทว่านั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับเผลอลงมือฆ่าเพื่อนในบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงเพราะมือไปเอง และนั้นทำให้แอนตันรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่มือของเขาที่ขยับได้ด้วยตัวเองแต่มันขยับได้เองกลายเป็นมือที่ถูกสิงโดยปีศาจ ปีศาจที่เลือกมือที่ขี้เกียจเพื่อฆ่าคน และเหยื่อรายต่อไปคือมอลลี่คนที่แอนตันรัก งานนี้จึงหนักมือแอนตันเมื่อมือของเขาไม่สามารถคุมมันได้อีกต่อไปเพราะมันคือมือปีศาจ

A Nightmare on Elm Street (2010) นิ้วเขมือบ

A Nightmare on Elm Street (2010)
นิ้วเขมือบ
Director: Samuel Bayer
Genres: Crime | Drama | Horror | Mystery

โดยส่วนตัวไม่อยากบอกว่ารีเมคเลยแต่ก็นะพล็อตเรื่องยังสเต็ปเดิมไม่แตกต่าง แต่มีเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควรก็ถือเป็นเรื่องดีที่รู้จักเพิ่มลดให้ดูไม่ซ้ำซาก ทว่าสิ่งที่ตัวเองคิดคือภาคต้นฉบับของปี 1984 ดันทำดีไปหน่อย ยิ่งเป็นผู้กำกับ Wes Craven ที่ชอบทำหนังสยองขวัญด้วยแล้วยิ่งแสดงถึงระดับที่สุดยอดออกมาจนเป็นน่าจดจำในวงการหนังสยองขวัญและต่อยอดด้วยภาคต่อมาเรื่อยๆ ซ้ำยังมีทีเด็ดที่ไปฟัดกับเจสัน วอร์ฮีส์ใน Freddy vs. Jason (2003) มาด้วยแหนะ ดังนั้นการจะสร้างใหม่หรือจะหาความแตกต่างอะไรก็แล้วแต่นั้นจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควรกับของเก่าที่มีความแข็งแรงอยู่ก่อนแล้วโดยเฉพาะเรื่องของนักแสดงที่เล่นเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์ ในของดั้งเดิมคนที่เล่นคือ Robert Englund ซึ่งผูกขาดบทนี้มาตั้งแต่แรกและยังไม่มีใครมารับบทแทนเลย ดังนั้นการที่เจ้าตัวจะแสดงออกมากลมกลืนกับตัวละครนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แสดงไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจะเป็นที่น่าจดจำผู้ชม ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงเมื่อไม่ใช่เจ้าเก่าเล่นอย่างเคย ก็จะบอกว่าน่าลองอยู่เหมือนกันเพราะบางทีการที่เห็นอะไรเดิมๆอาจเป็นความเคยชินซึ่งถ้าได้ของใหม่อาจจะได้อรรถรสไปอีกแบบ โดยครั้งนี้คนที่รับบทเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์คือ Jackie Earle Haley ตอนแรกไม่นึกคิดอะไรจนกระทั่งเห็นการเมคอัพเท่านั้นแหละ อารมณ์อยากหยิบของเก่ามาดูก็พลันฝุดในหัวขึ้นมาทันที

Se7en (1995) เซเว่น

Se7en (1995)
เซเว่น
Director: David Fincher
Genres: Crime | Drama | Mystery | Thriller

เป็นหนังแนวสืบสวนที่มาแรงมาก มากพอจะอยู่อันดับต้นๆของแนวสืบสวนที่ไม่ว่ายังไงต้องพึงระลึกเสมอว่าห้ามพลาดเด็ดขาดเพราะหนึ่งในเหตุผลนั้นมาจากการเอาบาปทั้ง 7 ประการ (Seven Deadly Sins) ในอดีตกาลของศาสนาคริสต์มาผสมผสานกับบทหนังได้อย่างแยบยลแสนคมคาย ทั้งนี้เพราะเป็นฝีมือเขียนบทของ Andrew Kevin Walker อาจไม่เป็นที่รู้จักนักแต่การลงรายละเอียดในเรื่องนี้จัดว่าสุดยอดไม่ธรรมดาจริงๆ  โดยเรื่องจะเป็นการสืบสวนตามล่าคนร้ายที่ฆ่าคนโดยเหยื่อแต่ละรายจะถูกฆ่าด้วยความใจเย็นไม่รีบร้อนให้ตายคล้ายให้ทรมานไปเรื่อยๆแล้วสิ้นใจตายในท้ายที่สุด ที่สำคัญยังทิ้งเบาะแสทุกครั้งเกี่ยวกับบาปอย่าละหนึ่งคนและเป็นเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะครบบาปทั้งหมด ทว่าเพื่อไม่ให้เกิดเหยื่อในครั้งต่อไปจึงได้วิลเลี่ยม ซอมเมอร์เซท (Morgan Freeman) ตำรวจมือเก่าที่ใกล้จะเกษียณอายุในไม่กี่วันกับเดวิด มิลส์ (Brad Pitt) ตำรวจใหม่ที่มาจับคู่ด้วย แต่เหมือนว่างานนี้จะเกินคนทั่วๆไปจะทำได้เพราะหลักฐานที่โยงถึงผู้กระทำไม่อะไรเลยสักอย่างแม้กระทั่งลายนิ้วมือ ทุกอย่างดูว่างเปล่าแต่อึดอัดไปด้วยแรงกดดันจากเหยื่อที่ไม่รู้ว่าใครคือคนต่อไป ที่รู้ได้คือการไล่บาปที่กำลังหมดลงไปทีละบาปอย่างช้าๆตั้งแต่ตะกละ,โลภ,เกียจคร้าน,ยะโส,ราคะ,ริษยา และโทสะ

About Time (2013) ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก

About Time (2013)
ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก
Director: Richard Curtis
Genres: Comedy | Drama | Fantasy | Romance | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ง่ายๆสำหรับเรื่องนี้จะแบ่งประเด็นหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือตัวเองกับครอบครัว ในส่วนแรกเกี่ยวกับตัวเองนั้นจะหมายถึงทิม (Domhnall Gleeson) ชายหนุ่มที่เล่าชีวิตของตัวเองในแบบที่น่าจะดีกว่านี้ได้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ มีหลายอย่างในตัวเขาที่รู้สึกขาดๆแม้จะอยู่กับครอบครัวหรือมีคนที่ชอบอย่างชาร์ล็อตต์ (Margot Robbie) ทว่านั้นก็กลายเป็นความรักที่ผิดหวังทั้งที่มันควรจะใช่สำหรับเขาแล้วแท้ๆ จนสุดท้ายในวันที่ต้องออกจากบ้านจากครอบครัวเข้าเมืองไปงานทำเป็นทนายความชีวิตของเขาก็พบจุดเปลื่ยน

Speed 2: Cruise Control (1997) สปีด 2 เร็วกว่านรก

Speed 2: Cruise Control (1997)
สปีด 2 เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Crime | Romance | Thriller

"ภาคแรก Speed สมชื่อ ส่วนภาคนี้ Slow เกินคาด"

"ทำไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้" นี่คือสิ่งที่ตัวเองบอกกับหนังภาคต่อเรื่องนี้ที่มีสถานะภาพควรจะไม่ทิ้งห่างภาคแรกทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะผู้กำกับ Jan de Bont ที่ยังสานต่อเองกับมือแท้ๆแต่อารมณ์มันคงละฟิลล์ตั้งแต่ลงเรือยอร์ชอันแสนน่าเบื่อ แต่อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือพล็อตเรื่องที่ยังคงคล้ายๆกันกับสิ่งพาหนะที่ต้องเร็วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนสิ่งนี้คือเรือยอร์ชลำยักษ์ที่ขนผู้โดยสารมาเต็มลำพร้อมกับงานสังสรรค์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบมีเล่ห์นัยเช่นภาคแรกที่ผู้ร้ายต้องวางแผนให้เนียบเนียนก่อนทำขั้นต่อไปจึงจะเป็นฝ่ายคุมเกมส์ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เนื้อเรื่องออกทำนองงั้นๆมากโดยเฉพาะพล็อตที่หาได้มีความเกี่ยวโยงอะไร เพียงแค่เป็นเรื่องของการปล้นเท่านั้น ปล้นด้วยตัวคนเดียวและใช้ทักษะจัดการกับเรือที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือจะบอกว่าเรือไปเองโดยอัตโนมัติ หยุดไม่ได้ เลี้ยวไม่ไป แต่ถามหน่อยเถอะว่าในทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลนี้เราควรกลัวอะไร? กลัวไปชนปะการังหรือยังไง นี่ไม่ใช่รถนะที่ต้องลุ้นต้องจับพวงมาลัยให้มั่นวิ่งเฉียวชนโน้นนี้แถมมีระเบิดที่บังคับด้วยว่าจะระเบิดถ้าขับรถเบาและเจ้าคนร้ายก็เฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆจนถ้าเล่นตุกติกมีบึ้มได้ทันที ว่าภาคแรกยังโอเคในการนำพาเนื้อเรื่องด้วยรถติดระเบิด ทว่ากับเรือล่ะมีอะไรให้กดดันมากพอจะสติแตกได้ไหม คำตอบคือไม่มี ที่สำคัญตัวการอยู่บนเรือซะด้วยไม่ต้องวิ่งไล่หาแบบภาคแรกที่ต้องปาดเหงื่อตามล่าแทบตาย ว่ากันซื่อๆตามตรงคืออย่าไปคาดหวังอะไรถ้าได้ความมันส์จากภาคแรกเพราะอาจได้ดราม่ากลับมา ไม่ใช่หนังมันเศร้านะ แต่เรานี่แหละจะเศร้าที่หนังมันอ่อนเป็นน้ำน่ะสิ

Speed (1994) เร็วกว่านรก

Speed (1994)
เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Thriller
 
นี้คือหนังแอ็คชั่นลำดับต้นๆที่ไม่ว่ายังไงต้องหามาให้ได้เพราะสไตล์ของเรื่องนี้จำกัดอยู่แค่"ความเร็ว" ซึ่งหมายถึง Non-Stop ตลอดแทบทั้งเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนหนังจบ โดยมีทฤษฏีง่ายๆเกี่ยวกับพาหนะคือ"ลิฟท์ รถเมล์ และรถไฟ" ส่วนเป็นยังไงนั้นลองไปฟังเรื่องย่อที่มาถึงเข้าเรื่องลิฟท์ที่โดนผู้ก่อการร้ายวางระเบิดพร้อมข่มขู่จะฆ่าคนได้อย่างสบายๆเพียงแค่กดก็ระเบิดปล่อยลิฟท์ร่วงไปตาย แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแอลเอที่ชื่อแจ็ค เทรเวน (Keanu Reeves) มาถึง ทำให้แผนผิดสูตรเพราะความฉลาดของแจ็คที่แก้สถานการณ์ได้เฉียบขาด ทว่าตัวแจ็กเองไม่สามารถจับคนร้ายได้เพราะชิงระเบิดตัวเองตายไปก่อน จนกระทั่งแจ็คได้รับสายจากใครบางคนที่ข่มขู่ว่ามีรถเมล์คันหนึ่งติดตั้งระเบิดเอาไว้และพร้อมจะเริ่มทำงานเมื่อมีการขับรถเร็วเลยที่กำหนดแต่ขณะเดียวกันหลังจากระเบิดทำงานไปแล้วก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทั้งต้องรักษาระดับความเร็วของรถที่ 50 ไมล์ต่อชั่วโมงเพื่อไม่ให้รถระเบิด ส่วนคนร้ายที่วางระเบิดไม่ใช่ใครแต่เป็นฮาเวิร์ด เพย์น (Dennis Hopper)  คนเดียวกับที่เกือบจะระเบิดลิฟท์สำเร็จแต่พลาดให้กับแจ็ค และตอนนี้คือการแก้แค้นที่มีเพียงแจ็คที่ต้องตามเกมขณะที่ฮาเวิร์ดคือคนที่คุมเกมตลอดทั้งเกมอย่างไม่คลาดสายตา


สิ่งแรกที่บอกได้คือมันส์มาก มันส์ตั้งแต่เปิดเรื่องจนหนังจบแทบไม่เป็นอันพักหายใจกันสักนิด แถมยังรู้สึกได้ว่าความมันส์ที่ได้เป็นความคุ้มค่าที่ตีค่ามากกว่าฉากยิงหรือระเบิดอันวินาศสันตะโร เพราะ Speed คือความเร็วและแรงในการจับเนื้อเรื่องอันเข้มข้นที่ทำให้ผู้ร้ายฉลาดเข้าไว้ส่วนพระเอกตามเกมส์แก้ปัญหาให้ทัน ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าไม่มีฉากยิงหรือการดวลกันระหว่างผู้เอกกับผู้ร้ายตรงๆแต่สติปัญญานี่แหละที่ทำหน้าวัดกึ๋นทั้งสองฝ่ายว่าใครควรจะเหนือกว่าใครกันแน่ ซึ่งหนังมาได้ถูกทางอย่างที่สุดในแง่การทำแอ็คชั่นโดยไม่มีคำว่าล้นหรือน้อยเกินไป อีกอย่างคือหนังจะหนักไปทางลุ้นระทึกจึงมีอะไรให้น่าติดตามตลอดเวลายิ่งตอนที่มารู้ว่ารถเมลล์ติดระเบิดอยู่นี้ก็เป็นปัญหาชุดใหญ่แล้วว่าเป็นรถคันไหนล่ะ แต่คนร้ายใจดีบอกเลขบอกเวลาให้เสร็จสรรพปล่อยให้พระเอกไปตามล่ารถคันนั้นเอง ในฉากตามไล่กวดรถเมล์นี้ก็มันส์แสดงออกถึงความระห่ำของพระเอกชัดมากจนรู้แล้วล่ะว่าต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ลุยไปได้ทุกสถานการณ์ต่อให้เว่อร์มากก็ตาม และเป็นแบบนั้นจริงๆนะ คือตอนเริ่มเรื่องจะเป็นลิฟท์เหมือนๆอาหารออเดอร์แล้วจานหลักคือรถเมล์ที่ลุ้นทั้งเรื่องก่อนจะปิดของหวานด้วยรถไฟ ไม่บอกนะว่าไปได้ยังไงแต่บอกได้เลยว่ามันเป็นอะไรที่สุดๆของสายแอ็คชั่นไม่เน้นบู๊แต่เน้นชิงไหวพริบ

เป็นหนังที่สร้างแล้วดังสนั่นไปทั่วจนนักแสดงอย่าง Keanu Reeves ต้องแจ้งเกิดไปตามๆกัน และดูจะใช่ซะด้วยที่มาทางนี้เพราะบทตัวเอกจะแข็งๆหน่อยแลดูซีเรียสและจริงจังตลอดเวลา แต่ก่อนหน้านี้คนที่เล่นบทตัวเอกคือ Jeff Bridges นะ แต่เกิดการขัดเกลาครั้งใหญ่ทั้งบททั้งนักแสดงทำให้ผลที่ออกมาเป็นเช่นนี้(ซึ่งเป็นอะไรที่น่าพอใจ) และเพราะแบบนั้นไม่รู้ว่าหนังจริงจังไปหรือเปล่าเพราะ Keanu Reeves เล่นแข็งไปหน่อยในบางช่วงจนเกือบจะไร้อารมณ์

ส่วนหนึ่งตัวเองก็พยายามปรับความเข้าใจเกี่ยวกับคาแรกเตอร์ที่มาดนิ่งของพระเอกว่าเป็นพวกใจเย็น รอบคอบ และไม่แหกกฎ ที่บอกไม่แหกกฎเพราะหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่พระเอกมักจะชอบทำอะไรที่ขัดใจผู้ร้ายอยู่บ่อยๆไม่ยอมให้สมหวังกันง่ายๆต่อให้มีเงื่อนไขก็ตามผิดกับเรื่องนี้ที่ต้องตามใจผู้ร้ายทุกระเบียบนิ้ว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับด้วยว่าคนร้ายเก่งจริงในการวางแผนอย่างรอบคอบที่ปิดทางออกไปเกือบหมดจึงไม่แปลกใจถ้าพระเอกของเราจะทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไปก่อน


ดูแล้วเป็นเรื่องที่ดีเพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินขนาดนี้เป็นใครต้องมีสติหลุดไปเถียงคนร้ายกันบ้าง จะว่าคนร้ายในเรื่องมีเพียงคนเดียวเท่านั้นและแสดงโดย Dennis Hopper ดูท่าแสดงได้ดีไม่น้อยเหมือนพวกคลั่งระเบิดพอสมควร น่าเสียดายที่ในเรื่องเล่นไม่เยอะเท่าไหร่เพราะตลอดทั้งเรื่องส่วนใหญ่จะนั่งเก้าอี้ไล่ดูข่าวในทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดเกี่ยวกับรถเมล์ติดระเบิด พูดแบบนี้ตัวหนังแอบกัดจิกพวกสื่อนักข่าวอยู่หน่อยๆด้วยนะ หาว่าเป็นตัวป่วนทำแผนตำรวจพังเพราะคนร้ายมันรู้น่ะสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ที่ขาดไม่ได้คือตัวละครที่ทำให้หนังดูมีมิติคือแอนนี พอตเตอร์ เล่นโดย Sandra Bullock ตลอดทั้งเรื่องก็น้อยบทบาทไม่ได้ทำอะไรนอกจากขับรถเมล์แทนคนขับรถที่โดนยิงแทบทั้งเรื่อง พอมานึกๆแล้วหนังไม่มุ่งไปที่การแสดงคาแรกเตอร์ตัวละครมากนักเพราะพยายามเอาหลักความเป็นจริง สถานการณ์ต้องซีเรียส ดังนั้นไม่มีใครอยากเล่นบทพระเอกโชว์เท่นอกจากจะบอกว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้คือหนทางรอด ไม่งั้นก็นั่งไปเฉยๆทำหน้าที่ของตัวเองแล้วปล่อยให้คนเก่งจริงทำต่อไป ฉะนั้นไม่มีหรอกตัวละครโชว์ความงี่เง่าของตัวเองแสดงถึงความเห็นแก่ตัวจนน่าบ่น จะมีแค่ตัวละครแสดงความหวาดกลัวออกมาทำให้เราเชื่อว่ามันน่าโดดออกจากรถติดระเบิดจริงๆ เนื่องจากสถานที่มันปิดตายเฉพาะในรถและรถต้องวิ่งโดยห้ามความเร็วต่ำกว่าที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่ใช่เพราะการผสานงานที่ได้ประสิทธิภาพของเหล่าตำรวจชี้ทางไปโน้นไปนี้ให้ดีๆอาจเจอรถติดได้ ซึ่งนั้นหมายถึงระเบิดไงล่ะ ลุ้นเอาการมิใช่น้อยที่หนังจะหาเนื้อเรื่องที่น้อยแต่เรื่องไปต่อยาวได้ไม่ซ้ำซากหรือน่าเบื่อ ส่วนหนึ่งมาจากความบ้าของพระเอก อย่างที่บอกคือพระเอกระห่ำมากยิ่งตอนวิ่งไล่กวดรถเมล์คือความมันส์ที่ไม่น่าเกิดแต่ก็เกิดขึ้นได้แถมแอบขำๆไปกับคนที่ถูกพระเอกยืมรถด้วย แล้วคิดไหมว่ารถเมล์ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 ไมล์ต่อชั่วโมงพระเอกของเราจะขึ้นไปยังไง?


นี่ลืม Sandra Bullock ไปเลยกับตัวประกอบที่เพิ่มเข้ามาให้หนังดูน่าสดใสมากขึ้น(อันที่จริงต้องบอกว่าน่ารักมากขึ้นมากกว่า) แต่ดูแล้วเล่นดีเหมือนกันแถมดูเป็นตัวละครที่น่าเอาอย่างในสถานการ์ร้ายๆแต่ยังอาสายินดีขับรถแทนทั้งที่ตัวละครอื่นบนรถพากันสติแตกเพราะไม่เข้าใจว่าจะขับรถต่อไปทำไมถ้ามีระเบิดติดอยู่ แต่น่าเครียดไม่น้อยกับรถที่ต้องวิ่งโดยมีระเบิดติดอยู่ที่พร้อมระเบิดได้ 2 กรณี ระหว่างวิ่งรถช้าชนวนทำงานกับตัวร้ายไม่พอใจกดบรึ้มได้เองโดยไม่เสียเวลาคอย มันน่าลุ้นจริงๆต้องวิ่งบนถนนที่มีรถไปมา(คงไม่ต้องพูดถึงถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ในกรุงเทพฯ) แต่ที่เซอร์ไพร์สไม่หายคือเจ้าตัวโกงมันเก่งที่คุมการกระทำของคนนอกรถกับในรถได้แล้วแบบนี้จะไปแก้เกมส์มันได้ยังไงล่ะ งานนี้เลยต่างชิงไหวพริบกันอย่างเมามันส์จับจุดแก้หน้ากันใหญ่ ที่สำคัญคือจังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลาที่เดินไม่ลดลงเลยสักนิด พูดง่ายๆคือถ้าหนังจบคือจบไม่กั๊กทุกอย่างเคลียร์โดยสมบูรณ์เต็มที่โดยปริยาย มันส์เป็นมันส์ แอ็คชั่นเป็นแอ็คชั่น ไม่เสียเวลามานั่งอธิบายแค่รู้ว่าระเบิดติดรถและอย่าหยุดวิ่งแค่นั้นแหละ ฟังดูแล้วมันส์ได้ไงก็ลองไปหาดูแค่นั้นแหละที่บอกได้

เอาเป็นว่าทั้งลุ้นทั้งมันส์ทั้งเรื่องโดยไม่ต้องมีอะไรมากมายแค่ลุ้นเสียวไปตลอดระยะทางที่รถวิ่ง นับว่าสมชื่อ Speed แถมยังแจ้งเกิด Keanu Reeves จนเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมาดแข็งทื่อแต่เก่งจนเรียกว่าอะไร ประมาณว่ามาดเข้มล่ะกัน เรื่องนี้แน่ะนำไปหาดูกันให้ได้โดยเฉพาะภาคแรกภาคนี้เท่านั้น ที่ต้องย้ำเพราะภาคต่อนั้นสุดแสนจะว่าไงดี ทั้งที่ผู้กำกับคนเดิมแต่อารมณ์หนังมันคนละขั้วโลกมาก ส่วนสถานการณ์เปลี่ยนเป็นเรือยอร์ชแบบโล่งๆในทะเลไม่เสียวไม่ลุ้นไม่ต้องพะวงว่าจะชนอะไร บอกแค่นี้จะดูภาคต่อไหมล่ะ ถ้าภาคแรกคือสิ่งที่ล้ำค่าภาคต่อคงเป็นเม็ดทรายไปเลยถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าอยากลองสัมผัสก็น่าจะได้อยู่เพราะ Sandra Bullock ยังคงเล่นเป็นนางเอกแสนน่ารักเช่นเคยเพียงแค่ว่าพระเอกเปลี่ยนคนนะเออ

I Saw the Devil (2010) เกมโหดล่าโหด

I Saw the Devil (2010)
เกมโหดล่าโหด
Director: Kim Jee-woon
Genres: Action | Crime | Drama | Horror | Thriller
Grade: A+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก ฉันตามแค้นปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ สู้กับพวกปีศาจ ฉันปล่อยปีศาจ ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก จับปีศาจทรมาน ให้ปีศาจรู้คำว่าเจ็บ ฉันกลายเป็นปีศาจ"

Phone Booth (2002) โฟนบูธ วิกฤติโทรศัพท์สะท้านเมือง

Phone Booth (2002)
โฟนบูธ วิกฤติโทรศัพท์สะท้านเมือง
Director: Joel Schumacher
Genres: Crime | Thriller

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

อันที่จริงมันควรจะเป็นหนังเก่าแก่แล้วด้วยซ้ำเพราะว่าพล็อตเรื่องที่เขียนโดย Larry Cohen มีแนวคิดมาตั้งแต่ช่วงยุค 60s แล้ว แถมยังเคยนำไปเสนอผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Alfred Hitchcock มาก่อนจนทั้งกลายเป็นที่น่าสนใจอยากจะสร้างเป็นหนังจริงๆจังๆขึ้นมา แต่เกิดปัญหาเรื่องทางด้านเนื้อเรื่องที่ยังหาความสมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ และปัญหานั้นมาจากการทำยังไงให้คนถูกกักอยู่ในตู้โทรศัพท์ จะว่าลอยๆเหมือนใน The Birds (1963) ก็ไม่ได้(อันที่จริงการจู่โจมของนกมีเหตุผลซ้อนอยู่เพียงแค่ว่าแรงจูงใจยังไม่กระตุ้นผู้ชมในบางคนมากเท่าไหร่จึงเหมือนนกบ้าคลั่งมากกว่า) เมื่อความสมเหตุสมผลหาไม่ได้งานจึงพับเก็บยาวนานจนผ่านไปประมาณ 30 ปีต่อมาก็ได้ไอเดียที่น่าสนใจ ซึ่งเจ้าไอเดียนี้มาจากการนำมือปืนเข้าไปเอี่ยวด้วย พูดง่ายๆคือที่โดนกักอยู่ในตู้โทรศัพท์เป็นเพราะโดนมือปืนที่ซุ่มยิงแอบอยู่ที่ไหนสักที่กำลังขู่บางอย่าง พอได้แนวๆนี้จึงเสนอแล้วได้ไฟเขียวบอกตกลงให้สร้างได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายที่เจ้าเก่าที่อยากสร้างก็ไม่อยู่เสียแล้วจึงได้ผู้กำกับอีกคนหนึ่งคือ Michael Bay และเหมือนจะมี Will Smith มาร่วมเล่นซะด้วย(นี่ถ้าคิดเล่นๆตัวหนังคงไม่ใช่แค่อยู่ในตู้โทรศัพท์แน่นอน หรือจะมีระเบิดเผากระท่อมรอบตู้ก็เป็นได้)  ทว่าข่าวเงียบไร้วี่แววไม่ก้าวหน้าจนสุดท้ายผู้กำกับ Joel Schumacher ที่เกือบแจ้งจบใน Batman & Robin (1997) มาคว้างานนี้เองเพื่อแก้หน้า และกลายเป็นหนังที่เจ๋งกว่างานก่อนหน้านี้หลายเท่าจริงๆ

Mama (2013) ผีหวงลูก

Mama (2013) | ผีหวงลูก
Director: Andres Muschietti
Genres: Fantasy | Horror | Thriller
Grade: C+

เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อ (Matthew Edison) ได้พาวิคตอเรีย (Megan Charpentier) วัย 3 ปี และลิลลี่ (Isabelle Nelisse) วัย 1 ปี ลูกทั้งสองคนออกจากบ้านอย่างรวดเร็วก่อนภายหลังจะประสบอุบัติเหตุรถตกถนนไปเจอกับกระท่อมหลังหนึ่ง โดยทั้งสามยังมีชีวิตรอดอยู่ครบตามปกติเพียงแต่พ่อรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตเหลืออดเพราะปัญหาต่างๆที่รุมเร้าจิตใจจนอยากจบปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายรวมถึงลูกๆอีกสองคนด้วย แต่แล้วบางอย่างได้เกิดขึ้นจนท้ายที่สุดเหลือเพียงวิคตอเรียกับลิลลี่เท่านั้นที่ยังรอดอยู่ ทว่าอะไรบางอย่างได้กำลังปกป้องหนูน้อยทั้งสองภายใต้เงาดำมืดนั้นอยู่อย่างลับๆ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปทั้งสิ้น 5 ปีกับการหายตัวไปคือหนูน้อยทั้งสองอย่างปริศนาจนตอนนี้ได้พบเจออีกครั้งในกระท่อมหลังเดิมที่ต่างคนต่างสภาพไม่ต่างกับสัตว์ป่าที่ไร้การอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนปล่อยให้เผชิญกับการมีชีวิตรอดด้วยตัวเอง แต่ด้วยการค้นพบหนูน้อยทั้งสองที่หายไปทำให้ข่าวได้แพร่ไปถึงญาติอันใกล้คือลูคัส (Nikolaj Coster-Waldau) ผู้เป็นอา และแฟนสาวแอนนาเบล (Jessica Chastain) ได้รับรู้ข่าวนี้ และยินดีจะรับเลี้ยงช่วงต่อในฐานะลูกบุญธรรมทั้งยังพร้อมจะดูแลสั่งสอนให้กลับมาเป็นปกติใชีชีวิตแบบคนธรรมดาอีกครั้ง ทว่าวิคตอเรียกับลิลลี่มีบางอย่างกำลังดูแลปกป้องอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งพวกเธอเรียกว่า"มาม่า!"

Daylight (1996) เดย์ไลท์ ผ่านรกใต้โลก

Daylight (1996)
เดย์ไลท์ ผ่านรกใต้โลก
Director: Rob L. Cohen
Genres: Action | Adventure | Drama | Thriller

แอ็คชั่นยังไม่พอต้องเพิ่มเติมด้วยแนวภัยพิบัติที่ได้ Sylvester Stallone มารับบทเป็นคิท ลาทูร่า อดีตหัวหน้าหน่วยกู้ภัยที่ตอนนี้ได้กลายเป็นคนขับแท็กซี่โชคบังเอิญไปพบปะเหตุการณ์วินาศสันตะโรขึ้นจากเหตุอุโมงค์ลอดแม่น้ำแห่งเมืองนิวยอร์คถล่มเนื่องจากมีการระเบิดครั้งรุนแรงจนปิดทางเข้าออกไม่สามารถออกไปได้ ที่นี่จึงกลายเป็นเรื่องของคนที่รอดชีวิตจากเหตุระเบิดแล้วว่าจะออกไปได้ยังไงในเมื่อถูกปิดตายเสียแล้ว แล้วปัญหาได้เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆทุกทีเมื่ออากาศเริ่มหมดลง น้ำเริ่มทะลัก ดังนั้นความหวังเดียวคือคอยหน่วยกู้ภัยที่จะเข้ามาช่วยเหลือแล้วพาออกไป ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อหนทางที่จะไปอุโมงค์ได้นั้นล้วนแต่เป็นจุดเสี่ยงที่เมื่อไรพยายามจะเข้าไปอุโมงค์จะถล่มไม่เหลือซากและความเสียหายจะมากขึ้นเป็นทวีคูณ สุดท้ายแล้วการกู้ชีพจึงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ลงแต่คิทได้เสนอตัวเข้าช่วยแม้จะหาทางสำเร็จได้ยากก็ตาม แล้วดูเหมือนเขาจะมีทางที่ดีกว่าในการกู้เศษซากแล้วเข้าไปนั้นคือการผ่านเข้าไปในช่องระบายที่ต้องฝ่าใบพัดที่ถูกหยุดซึ่งเป็นการหยุดเพียงชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่สามารถกลับทางเก่าได้ ทำให้คิทต้องแข่งกับเวลาไปหาผู้รอดชีวิตที่เหลือซ้ำต้องหาทางออกใหม่ให้ได้โดยเร็วก่อนที่ออกซิเจนจะหมด แต่ที่เลวร้ายก่อนอากาศจะหมดคือน้ำกำลังท่วมทะลักฝังพวกเขาทั้งเป็น

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ลบเธอ...ให้ไม่ลืม

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) | ลบเธอ...ให้ไม่ลืม
Director: Michel Gondry
Genres: Drama | Romance | Sci-Fi
Grade: A+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ไม่จำเป็นทุกครั้งหรอกที่ความรักจะลงเอยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบและแน่นอนมันไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าจะรักกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ มีทะเลาะบ้าง เถียงบ้าง แต่ยังไงซะถ้ารักกันอยู่ก็คงรักต่อไปเรื่อยๆนั่นแหละ ที่ใดมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์มันคือความสัตย์จริงที่ไม่มีข้อโต้แย้งเว้นแต่เราจะรู้จักความรักมากกว่าที่เป็นอยู่ บางครั้งการเราเริ่มรู้สึกเบื่อ ชิงชัง หรือเซ็งกับอีกคนไม่ได้แปลว่าหมดรักหรือเริ่มคิดว่าไม่ใช่คู่ของเรา อันที่จริงความรักมันค่อนข้างจะเรียบง่ายและคงประสิธิภาพตามเจตนารมย์ของเราเสมอ มันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลยเพียงแค่เปิดใจยอมรับมันซะบ้างเพื่อจะได้อะไรหลายๆสิ่งกลับมา แต่เรื่องของเรื่องคือมีคนที่รู้สึกเจ็บกับความรักภายในใจอย่างแสนสาหัสไม่ต่างกับถูกทิ่มแทงจากข้างหลังแล้วปล่อยให้ทนพิษบาดแผลต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นนั้นคือฝ่ายที่มั่นใจในความรักที่ยั่งยืนแล้วคิดว่าจะผ่านไปด้วยกันอย่างมีความสุข ในที่นี้คือโจเอล (Jim Carrey) ที่รักและศรัทธาในความรักที่มีต่อคลีเมนไทน์ (Kate Winslet) อย่างสุดซึ้งเท่าที่เขาจะมีให้เธอได้ ซึ่งเรื่องไม่ได้ยุ่งยากหรือวกวนกับสิ่งเพียงแค่คลีเมนไทน์หมดความรักที่มีต่อโจเอลแล้วเข้าบริษัทลากูน่าเพื่อลบความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้นจนกลายเป็นคนแปลกหน้าที่แม้แต่โจเอลยังแปลกใจ ก่อนรู้ความจริงเขาเจ็บใจที่ถูกเธอเมินเฉยราวกับคนแปลกหน้าอย่างเย็นชา สายตาที่สาดส่องเหมือนไม่คุ้นเคย และยังตัดหน้าด้วยการมีคนใหม่ประหนึ่งโดนหลอกมาตลอดเวลา แต่อะไรเล่าหลังรู้ความจริงยิ่งช้ำใจยิ่งกว่าเดิมเพราะคลีเมนไทน์อยากลบความทรงจำนั้นมาจากการที่รู้สึกทุกข์มากกว่าสุข ด้วยความจริงที่เหยียบย้ำหัวใจจนแหลกจึงทำให้เขาชิงชังยิ่งกว่าเดิมและคิดด้วยว่าถ้าคลีเมนไทน์คือผู้หญิงที่เขารักและน่าจะดีที่สุดสำหรับเธอยังทำกันแบบนี้ได้อย่างไร้เยื่อใยแล้วไฉนเขาจะทำบ้างไม่ได้ถ้ารักนี้มีแต่เจ็บ ดังนั้นโจเอลจึงเดินเข้าไปหาดร.ฮาเวิร์ด ไมเออร์ซเวียก (Tom Wilkinson) เพื่อขอช่วยให้ลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับคลีเมนไทน์ตลอดชีวิตที่เขาเจอตั้งแต่ครั้งแรกจนวินาทีสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน

Demolition Man (1993) ตำรวจมหาประลัย 2032

Demolition Man (1993)
ตำรวจมหาประลัย 2032
Director: Marco Brambilla
Genres: Action | Sci-Fi | Thriller

เป็นการจับคู่ อ่อ! ไม่สิต้องเรียกว่าคู่อริมากกว่าระหว่าง Sylvester Stallone กับ Wesley Snipes ที่ต้องมาห่ำหั่นกันตั้งแต่ช่วงเวลาปกติไปจนถึงช่วงเวลาอนาคตกันเลยทีเดียว ซึ่งตัวหนังจะค่อนไปทางไซไฟมากกว่าจะเป็นแอ็คชั่นบู๊มันส์ระเบิดระเบ้อซึ่งอันนี้แล้วแต่อารมณ์คนชอบว่าจะคิดยังไง แต่บอกไว้เลยว่าหนังมันส์จริงๆนะเนี้ยไม่ได้โม้ จะว่าแล้วมาถึงเปิดเรื่องก็แอ็คชั่นบู๊ระห่ำกันอย่างเมามันส์ทั้งปืนทั้งระเบิดจนเรียกว่าแค่เริ่มเรื่องก็หลั่งอะดรีนาลีนเต็มเปี่ยมแล้ว

Battle Royale II (2003) เกมนรก สถาบันพันธุ์โหด

Battle Royale II (2003)
เกมนรก สถาบันพันธุ์โหด
Director: Kenta Fukasaku, Kinji Fukasaku
Genres: Action | Drama | Thriller

โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของการก่อการร้ายที่สภาพสังคมยังมีการเสื่อมทรามเพิ่มมากขึ้นจากอาชญากรหลบหนีระบบกระบวนการยุติธรรมจนมีความเป็นอยู่แบบแยกแยะผิดชั่วแทบไม่ออก แต่ด้วยสามปีให้หลังจากที่ซูยะ นานาฮาระ (Tatsuya Fujiwara) และโนริโกะ นาคากาวา (Aki Maeda) เป็นผู้รอดจากเกมหฤโหด Battle Royale หรือ BR ได้ทำการหลบหนีออกจากเกาะแห่งนั้นแล้วใช่ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆจนมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพร้อมกับอุดมการณ์ล้างกลุ่มผู้ใหญ่ที่บังคับให้วัยรุ่นฆ่าฟันกันเองเพื่อความอยู่รอด

Battle Royale (2000) เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด

Battle Royale (2000)
เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด
Director: Kinji Fukasaku
Genres: Action | Adventure | Drama | Sci-Fi | Thriller

ผลงานชิ้นโหดขึ้นหิ้งอีกหนึ่งเรื่องที่ทำเพื่อเย้ยหยันสังคมด้วยการฆ่าที่ไม่ใช่แค่ฆ่าธรรมดาๆเพียงเพื่อสนองความโหด แต่เป็นการฆ่าที่เหยียบย้ำจิตใจได้แม้กระทั่งเด็กที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมห้องที่ต้องมาลงเอยด้วยผลลัพธ์ของการฆ่ากันเองเพื่อให้ตัวเองรอด เรื่องนี้ได้ก่อตั้งขึ้นจากรัฐบาลที่ลงความเห็นอย่างจริงจังอันแสนเด็ดขาดด้วยการปฏิรูปการศึกษายุคใหม่ด้วยเกมที่มีชื่อว่า Battle Royale หรือ BR โดยมีกติกาอันแสนง่ายและสะดวกเพียงแค่เฝ้ารอผู้ที่มาเล่นด้วยการสุ่มโรงเรียนที่มีนักเรียนโคตรแย่มาเล่นเกมส์ ซึ่งการดำเนินการนั้นมาจากการคัดเลือกของแต่ละปีจากนักเรียนวัยประมาณ 15 ปีขึ้นมา 1 ชั้นเรียนจากนั้นพาไปปล่อยทิ้งไว้บนเกาะร้าง แต่ก่อนที่จะปล่อยนั้นนักเรียนถูกคนต้องได้รับการชี้แจงวัตถุประสงค์ของเกมครั้งนี้ก่อนว่าต้องทำยังไงบ้างจึงจะไม่เป็นการแหกกฎกติกาเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ตายฟรีๆเสียก่อน โดยกติกาของผู้เข้าร่วมเกมครั้งนี้จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันทุกคน คือโดนสวมปลอกคอระเบิดที่สามารถถูกสั่งการให้ระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้ตามสบายแล้วแต่ผู้สั่งเริ่มเกมนี้ ซึ่งก็คือคนที่นักเรียนคุ้นหน้ารู้จักกันอย่างดีในห้องเรียนกับใครไม่ได้แต่เป็นอาจารย์ที่สอนนักเรียนนั่นแหละ ถ้าคิดว่านี่คือเรื่องตลกที่ตั้งใจจะอำแล้วล่ะก็ จะบอกว่าคิดผิดอย่างแรงเพราะเมื่อได้รับการคัดเลือกให้เล่นแล้วต้องห้ามเลิกเป็นอันขาด เว้นเพียงอยู่แค่ 2 ทางเลือกที่ยุติเกมนี้ได้คือไม่ตายก็รอดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)