Naked Gun 33 1/3: The Final Insult (1994) ปืนเปลือย 3

 
Naked Gun 33 1/3: The Final Insult (1994) | ปืนเปลือย 3
Director: Peter Segal
Genres: Comedy | Crime
Grade: B- 

มาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วสำหรับนายตำรวจแฟรงค์ เดรบิน (Leslie Nielsen) ไม่สิต้องเรียกเฉยๆว่าแฟรงค์เพราะเลิกลาจากหน้าที่ตำรวจและหันมาใช้ชีวิตอย่างสงบกับเจน สเปนเซอร์ (Priscilla Presley) คนรักที่ตอนนี้เอาดีด้วยการเป็นทนายความในศาล เรื่องราวระหว่างแฟรงค์กับเจนไปได้ดีแต่ขาดสิ่งหนึ่งที่เจนยังไม่ได้นั้นคือพยานแห่งความรักของทั้งสองหรือการให้กำเนิดลูกสักคนซึ่งเป็นความฝันของเจนมาตลอด ทว่าแฟรงค์ต้องอึดอัดกับเรื่องนี้ทุกครั้งที่เจนขอมีลูกจนกระทั่งเริ่มเข้าใจและพร้อมจะมีลูก แต่แล้วเหตุการณ์บังเอิญจังหวะเหมาะกว่าที่แฟรงค์คาดคิดเมื่อเอ็ด ฮ็อคเก้น (George Kennedy) กับนอร์ดเบิร์ก (O.J. Simpson) สหายเก่าจากกรมตำรวจทั้งสองมาขอความช่วยเหลือช่วยสืบคดีลอบวางระเบิดที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งโดยเป็นแผนการของร็อคโค่ ดิลล่อน (Fred Ward) ที่อยู่ในคุกและกำลังจะหลบหนีเพื่อมาวางระเบิด ดังนั้นแฟงค์ต้องกลับมารับหน้าที่อีกครั้งด้วยการปลอมตัวเป็นนักโทษเข้าไปในคุกตีสนิทกับร็อคโค่เพื่อเอาแผนการร้ายก่อนที่คนบริสุทธิ์จะถูกทำร้าย ทว่าการที่แฟรงค์กลับมาทำงานอีกครั้งไม่เป็นที่พอใจของเจนเนื่องจากเพราะงานทำให้ต้องห่างกัน ดังนั้นนอกจากแฟรงค์ต้องตามสืบคดีอย่างเร่งด่วนแล้วยังต้องกลับมาชนะใจเจนเรียกความหวานกลับมาอีกครั้ง

The Naked Gun 2½: The Smell of Fear (1991) ปืนเปลือย 2

The Naked Gun 2½: The Smell of Fear (1991) | ปืนเปลือย 2
Director: David Zucker
Genres: Comedy | Crime
Grade: B
 
เอกลักษณ์อันแสนโดดเด่นของ The Naked Gun คือฉากให้เครดิตเปิดเรื่องด้วยการให้เห็นไฟหวอบนรถตำรวจวิ่งไปมาตามสไตล์ของแต่ละภาคที่ไม่เหมือนกัน เช่นภาคนี้ที่เริ่มด้วยท้องถนนหรือบนฟุตบาทหรือจะวิ่งมั่วไปในสวนสนุกไม่เว้นแม้แต่สนามสู้วัวกระทิงและที่โม้แหลกไปกว่านั้นคือไปวิ่งโผล่ออกมาจากช่องคลอด?! สิ่งนี้เปรียบเสมือนการทำงานของตำรวจที่ไม่ว่าจะที่ไหนก็บุกไปได้ทุกทีไม่หวั่นต่อสถานการณ์ใดๆเป็นการประเมินศักยภาพของตำรวจในแบบขำๆ หลายคนอาจจะคุ้นเรื่องนี้จาก Police Squad! (1982) ที่มีแค่ 6 ตอน ซึ่งนี้ก็คือโปรเจคหนังยาวที่นำมาขยายความสนุกให้มากขึ้น จนที่สุด  The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988) ภาคแรกประสบความสำเร็จด้านเสียงวิจารณ์และรายได้ทำให้มีภาคสองโดยยังได้นักแสดงและผู้กำกับเจ้าเก่าคนเดิมจากภาคแรก มาภาคนี้ยังคงนายตำรวจแฟรงค์ เดรบิน (Leslie Nielsen) เจ้าเก่าที่หลังจากช่วยเจ้าหญิงอลิซาเบธที่ 11 รอดพ้นจากการถูกลอบสังหารก็ได้คุณงามความดีความชอบเลื่อนยศเป็นผู้หมวดกลายเป็นคนดัง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างแฟรงค์กับเจน สเปนเซอร์ (Priscilla Presley) ไม่ได้ราบรื่นตาม กลายเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ห่างหายกันไปแต่ก็ยังคงคิดถึงกันอยู่เสมอ แม้เนื้อเรื่องในภาคแรกจะจบสวยหรูแค่ไหนมาภาคนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแฟรงค์กับเจนให้มากขึ้นกว่าภาคแรกที่ไม่ใช่ความรู้สึกชั่วคราวแต่มีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น นับว่าน่าชื่นชมที่หนังล้อเลียนยังมีความจริงจังผสมอยู่ด้วยแม้เอาเข้าจริงยังคงแฝงมุขให้ยิ้มอยู่เรื่อยๆก็ตาม

The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988) ปืนเปลือย

 
The Naked Gun: From the Files of Police Squad! (1988) | ปืนเปลือย
Director: David Zucker
Genres: Comedy | Crime
Grade: A

หนังกึ่งล้อเลียนที่ผิวเผินเหมือนถอดแบบมาจาก Dirty Harry (1971) ยังไงก็ไม่ทราบจากข้มเข้มเป็นเน้นรับประทานความฮาด้วยนายตำรวจแฟรงค์ เดรบิน (Leslie Nielsen) บุคคลที่ได้รับกล่าวขวัญถึงฝีมือแสนไม่ธรรมดาต้องตามสืบความจริงที่ซ่อนอยู่จากนอร์ดเบิร์ก (O.J. Simpson) เพื่อนตำรวจของแฟรงค์ที่ไปสืบคดีหนึ่งแต่พลาดท่าบาดเจ็บสาหัสเข้าโรงพยาบาลโดยมีคนที่น่าสงสัยคือวินเซนต์ ลุดวิก (Ricardo Montalban) นักธุรกิจผู้มีผู้แผนการบางอย่างที่แฟรงค์ไม่อาจคาดถึงแต่จะเป็นร้ายหรือดีเนี่ยสิคือสิ่งที่แฟรงค์ต้องลงมือสืบหาความจริงด้วยความสามารถที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน และยังมีเจน สเปนเซอร์ (Priscilla Presley) เลขาของวินเซนต์มาเป็นผู้ช่วย เห็นว่าพล็อตเรื่องกระชับสั้นได้ใจแถมยังตามธรรมเนียมแนวตำรวจสืบสวนอย่างมิต้องสงสัยเพียงแค่ว่าเป็นหนังตลกแค่นั้นเอง ส่วนจะสนุกมากน้อยแค่ไหนรับประกันผลงานชิ้นก่อนอย่าง Airplane! (1980) ที่เดิมผู้กำกับ David Zucker เป็นหนึ่งในทีมผู้สร้างส่วนเรื่องนี้แยกเดี่ยวออกมาแล้วผลที่ได้คือสนุกสมกับหนังแนว Spoof แอบกัดนิดนั้นหน่อยแต่มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง

Street Fighter (1994) ยอดคนประจัญบาน

 
Street Fighter (1994)
ยอดคนประจัญบาน
Director: Steven E. de Souza
Genres: Action | Adventure | Comedy | Thriller
Grade: D
  
ถ้าพูดถึงเกมต่อสู้ใครๆต้องพูดถึงชื่อสตีทไฟเตอร์ที่กลายเป็นเกมฮิตตลอดกาลจนมีให้เห็นอย่างมากในเกมตู้หยอดเหรียญ ซึ่งเอกลักษณะความโด่งดังมาจากโดดเด่นของตัวละคร การต่อสู้ และเนื้อเรื่องที่สนุกชวนน่าติดตาม แต่จะให้เป็นที่รู้จักและดังจริงๆเริ่มต้นที่ Street Fighter II: The World Warrior ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นจนได้หน้าตัวละครตามหนังเรื่องนี้ที่ถอดแบบมาอีกที ซึ่งโปรเจ็คนี้ก็ได้ผู้กำกับ Steven E. de Souza เป็นมือใหม่แต่เก๋าเรื่องเขียนบทมาก่อนอย่าง Die Hard 2 ภาคแรกและอีกหลายเรื่องในทางสายแอ็คชั่นเป็นหลัก เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนประเดิมด้วยตัวร้ายของเรื่องด้วยนายพลเอ็ม ไบสัน (Raul Julia) ผู้ครองครองอาณาจักรชาดาลูที่ตอนนี้ได้ยึดตัวประกันเอาไว้หลายคนและจะจัดการฆ่าให้หมดหากอเมริกาไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องส่งเงินหลายล้านสหรัฐมาให้ ซึ่งตอนเปิดเรื่องก็ทำให้ดูเหมือนเป็นสงครามกลางเมืองจนกระทั่งระหว่างออกสื่อผู้การไกล์ (Jean-Claude Van Damme) ก็ขอท้านายพลเอ็ม ไบสันเอาซะดื้อๆจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าจนได้ แต่ที่ทำแบบนั้นเป็นแผนของผู้การไกล์จะได้รู้ที่ตั้งของนายพลเอ็ม ไบสันแอบซ่อนอยู่ที่ไหน ที่เห็นคือเนื้อเรื่องสเกลใหญ่สุดที่ว่าพล็อตพระเอกไปจัดการเหล่าร้ายเพื่อช่วยตัวประกัน ประเด็นคือเนื้อเรื่องย่อยลงแหละที่ทำเอาปวดหัวเสียนี่กระไร

Full Metal Jacket (1987) เกิดเพื่อฆ่า

 
Full Metal Jacket (1987)
เกิดเพื่อฆ่า
Director: Stanley Kubrick
Genres: Drama | War
Grade: S

 สำหรับหนังสงครามที่คุ้นเคยอย่างมากเห็นจะเป็นสงครามเวียดนามหรือไม่ก็สงครามโลกครั้งที่สองแต่เหมือนอย่างหลังดูค่อนข้างแน่นอนในชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในขณะที่อย่างแรกคือความพ่ายแพ้ด้วยรอยแผลที่ตัวเองสร้างขึ้น ข้อได้เปรียบของทหารเวียดกงคือยุทธศาสตร์บ้านเกิดปะปนกับธรรมชาติแฝงตัวกลมกลืนกับชาวบ้านที่บางทีไม่อาจแยกออกระหว่างชาวบ้านกับทหารได้อย่างชัดเจน สิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาแพ้ไม่ใช่ความทันสมัยหรือจำนวนคนแต่เกิดจากความไม่รู้เรื่องรู้ราวในขณะที่ทหารฝ่ายอเมริกาเดินบนดินก็ไม่รู้เลยว่าข้าศึกได้ซุ่มอยู่ทุกที่ที่มีดิน จะบอกก็คือการสร้างอุโมงค์ใต้ดินลัดเลาะไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครเห็นซึ่งเป็นเอกลักษณ์การทำสงครามของเหล่าเวียดกงที่มาก็หายไปซะเฉยๆ ทว่ากับ Full Metal Jacket ไม่ใช่หนังสงครามที่เรามีโอกาสได้มันส์กับกลิ่นดินปืน เลือดนองพื้น เสียงปืนไม่ขาดสายหรือการวางกำลังต่อสู้เพราะนี้คือหนังสงครามที่สู้โดยไม่ต้องสัมผัสปืนก็ยังได้ นี้ไม่ใช่การเล่าเรื่องแบบสงครามเย็นที่ประชันด้วยจิตวิทยาแต่เป็นการเล่าเรื่องด้วยปัจจัยผ่านมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างก่อนเป็นทหารที่ตั้งเป้าหมายสูงสุดคือเกิดมาเพื่อฆ่าข้าศึกกับหลังเป็นทหารเพื่อสู้รบไม่มีวันถอยหนี ฟังดูแล้วทหารคือผู้เข้มแข็งไม่กลัวต่อความตายหรือข้าศึกต่อหน้า บุคคลเหล่านี้น่าเชิดชูเกียรติเพราะรบเพื่อชาติและยอมตายเพื่อชาติ แต่หารู้ไม่ก่อนจะมีทหารได้นั้นบุคคลเหล่านี้ก็คือประชาชนไม่แตกต่างจากทุกคนในสังคม จึงเกิดคำถามว่าจะมีสักกี่คนอยากเป็นทหารเพื่อไปรบที่มีโอกาสตายสูงกว่าใช้ชีวิตตามปกติถ้าไม่นับรวมพวกกระหายสงครามตั้งใจเป็นทหารอยู่ก่อน คำตอบที่ได้เห็นจะเป็นตอนเปิดเรื่องด้วยอารมณ์เด็กวัยรุ่นที่รู้สึกเซ็งกับชีวิตที่แสนสุขแต่ดันต้องเข้ารับเกณฑ์ทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งที่ไม่ใช่สงครามของเราก็ตามแต่

The Babadook (2014) บาบาดุค ปลุกปีศาจ

The Babadook (2014)
บาบาดุค ปลุกปีศาจ
Director: Jennifer Kent
Genres: Horror | Mystery
Grade: B+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

นี้คือหนังผีที่ลึกๆแล้วเป็นผีที่มีตัวมีตนมีเลือดเนื้อแบบคนอย่างเราๆเว้นบางสิ่งที่ถูกตีแยกออกไปกลายเป็นการกระทำเหนือธรรมชาติบนพื้นฐานความหลอกลวง หลายสิ่งหลายอย่างมาจากการเพาะบ่มจนเกิดด้านมืดในจิตใจจากผลกระทบต่างๆมากมายเช่นเดียวกับหนังสยองขวัญจากออสเตรเลียเรื่องนี้ที่แสดงถึงแล้วว่าความน่ากลัวจริงๆไม่ได้เกิดจากวิญญาณผีร้ายเป็นหลักแต่เริ่มที่บรรยากาศโดยรวมจนไม่จำเป็นที่ว่าผู้ชมจะเห็นหน้าตาของผีเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถหลอนได้เพราะเกิดจากความไม่ไว้ใจ หวาดระแวง และสงสัย ทว่านอกจากความกลัวที่ตัวหนังพยายามกัดกินผู้ชมนั้นยังเสริมด้วยความตึงเครียดจากสองแม่ลูกระหว่างเอมิเลีย แวเน็ค (Essie Davis) แม่ผู้ซึมเศร้าต่อการตายของสามีจนรู้สึกหน่ายต่อสังคมกับแซมเมล แวเน็ค (Noah Wiseman) เด็กที่มีนิสัยก้าวร้าวต่อต้านในหลายๆสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมรับ สิ่งแรกของการเล่าเรื่องคือความสัมพันธ์แม่ลูกอันแสนหม่นหมองและย่ำแย่ในแง่คนในครอบครัวเนื่องจากทั้งแม่ทั้งลูกก็ล้วนไม่มีความเข้าหาด้วยความจริงใจกันเลย ราวกับทั้งสองมีเรื่องบาดหมางไม่พอใจเก็บซ่อนเอาไว้แล้วพูดออกมาและเมื่อไม่บอกกันตรงๆก็สะสมอาการมาเรื่อยๆจนเป็นที่น่าขัดข้องใจว่าเพราะอะไร อีกทั้งงานวันเกิดของแซมเมลก็ดูจะเป็นวันธรรมดาเช่นทุกวันไม่มีอะไรพิเศษแบบที่ในวันเกิด ซึ่งเอมิเลียไม่เคยสักครั้งที่จะฉลองงานวันเกิดให้ลูกตัวเอง นั้นทำให้แซมเมลไม่พอใจในความเอาใจใส่ของแม่และหาหนทางเรียกร้องความสนใจ ในทางกลับกันยิ่งกลายเป็นกระตุ้นเรื่องอดีตอันแสนเลวร้ายของเอมิเลียเพราะวันเกิดของลูกตรงกับวันที่เสียสามีของเธอไป

Vampires (1998) รับจ้างล้างพันธุ์แวมไพร์

 
Vampires (1998) | รับจ้างล้างพันธุ์แวมไพร์
Director: John Carpenter
Genres: Action | Horror | Thriller
Grade: C
 
 เรื่องสร้างหนังทุนต่ำไว้ใจผู้กำกับ John Carpenter ได้อย่างไม่ต้องมีปัญหาเพราะแกไม่ชอบอะไรที่อลังการงานสร้างจะมาเน้นลูกเล่นกับความแปลกใหม่ที่น่าจะใหม่มากกว่า ดูเอาจากทุนสร้างเดิม 50 ล้านสหรัฐเหลือ 20 ล้านสหัฐไปซะนี่ ผลที่ได้จึงกลายเป็นหนังนักล่าแวมไพร์สไตล์คาวบอยโทนเม็กซิกัน มีแต่ต้นหญ้าแห้งๆ สถานที่โล่งๆ ท้องถนนเปื้อนฝุ่น และสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรม ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นอย่างที่บอกทั้งเรื่องหรอกนะไม่งั้นคงหิวน้ำระหว่างดูแน่ๆเพราะในเรื่องบรรยากาศเป็นช่วงฤดูร้อน แต่มันก็แปลกใช่ไหมล่ะว่าแวมไพร์ไปอยู่ที่ๆแสงแดดเปรี้ยงปร้างกันได้ยังไง จะบอกว่านี้คือความใหม่ของเรื่องนี้แหละ แวมไพร์อยู่กลางดงความแห้งแล้งที่น่าจะโดนเผาแต่ดันอยู่ได้ประกอบกับทีมนักล่าที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากมาเป็นแก๊ง 7-8 คนอย่างกับสิงมอเตอร์ไซค์ไม่มีผิด อารมณ์ประมาณนักเลงเก๋ามีอายุหน่อยมาฉะกันไม่มีผิด แค่นั้นคงไม่พอโดยเฉพาะเนื้อเรื่องฉบับดั้งเดิมอลังการกว่าที่มาเป็นองค์กรนักล่าแวมไพร์ คือทุกอย่างเป็นหนังใหญ่แต่พอมาถึงมือผู้กำกับท่านนี้ก็ทุนต่ำไปโดยปริยาย นึกว่าลองของแปลกก็ไม่เลวเพราะนานทีจะมีอะไรที่ผิดหูผิดตาให้ดู เป็นอีกความน่าสนใจที่ไม่น่าลงตัวแต่เอาจนได้

Dracula Untold (2014) แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้

Dracula Untold (2014) | แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้
Director: Gary Shore
Genres: Action | Drama | Fantasy | Horror | War
Grade: C+

อย่างแรกรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวกับพล็อตเรื่องแดร็กคูล่าที่เล่าได้สดใหม่และผูกเรื่องราวถึงความจำเป็นที่ตัวเองต้องกลายเป็นที่รังเกียจของผู้คน อย่างที่สองรู้สึกผิดหวังที่ขาดการชักจูงมิติตัวละครให้ชวนร่วมอรรถรสจนไม่สามารถดึงในส่วนนั้นๆออกมาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายกลายเป็นหนังที่น่าสนใจแต่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไร ถ้าถามว่าสนุกไหมยังจัดว่าสนุกในระดับที่โอเคไม่ดูน่าเกลียดเกินไปอย่างเรื่องของเอฟเฟคต่างๆที่ยังดูเนียนและได้กลิ่นอายด้านมืดอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือจ้าวแห่งแวมไพร์ (Charles Dance) ที่บทน้อยแต่โดดเด่นเรื่องการใชคำพูดหลอกล่อเจ้าชายวลาด (Luke Evans) แห่งวัลลาเชียให้หมดทางเลือก เนื่องจากวลาดเกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้นเมื่อเมห์เม็ด (Dominic Cooper) หรือผู้นำเติร์กต้องการเกณฑ์คนมาเป็นทหารเพิ่ม แต่วลาดเหมือนจะปฏิเสธเพราะเลือกอยู่อย่างสงบทว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะใช้วิธีบังคับให้ประชาชนของวลาดทุกคนมาเป็นทหารไม่เลือกหน้าและถูกกวาดล้างเมือง แม้แต่อินเกรัส (Art Parkinson) ลูกของวลาดต้องไปอยู่กับเมห์เม็ดในการทำศึกด้วย ทำให้วลาดทำใจข้อเสนอนี้ไม่ได้ที่ถูกกดขี่มากเกินไปจึงต้องปกป้องชาวเมืองจากการรุกรานของพวกเติร์กด้วยการทำลายข้อเสนอที่บังคับนี้และพาชาวเมืองหลบหนี ทว่าด้วยความสามารถที่มีก็ไม่อาจยับยั้งได้ตลอดรอดฝั่งจึงไปหาตำนานที่อยู่ในเขาแห่งหนึ่งที่มีถ้ำซึ่งมีปีศาจอยู่ และนั้นทำให้วลาดเจอกับเจ้าแวมไพร์ที่มีข้อเสนอชวนหลงใหลที่จะมอบอำนาจพิเศษมีพลังเกินมากมายที่หาใครสู้ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเมื่อรับพลังนี้แล้วจะไม่อาจทนต่อแสงแดด แพ้ของที่ทำด้วยเงิน และเกิดความกระหายเลือดที่หักห้ามใจได้ยาก กระนั้นถ้าพ้น 3 วันแล้วไม่ได้ดื่มเลือดจากใครจะหายกลายเป็นคนธรรมดาเว้นแต่ถ้าดื่มไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ตลอดกาล

The Admiral: Roaring Currents (2014) ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

The Admiral: Roaring Currents (2014)
ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม
Director: Han-min Kim
Genres: Action | Drama | History | War
Grade: B+

เป็นเรื่องจริงของประวัติศาสตร์เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1597 ด้วยการเอาชนะกองทัพเรือญี่ปุ่นกว่า 300 ลำทั้งที่ตัวเองมีแค่ 13 ลำเท่านั้น อาจจะฟังดูเวอร์เกินจริงไปบ้างแต่เรื่องนี้ได้พิสูจน์ถึงกลยุทธ์อย่างช่ำชองถึงการวางแผนที่แยบยลกับความกล้าหาญที่ไม่ยอมแพ้ โดยทางเรื่องเริ่มต้นที่ยีซุนชิน (Min-sik Choi) แม่ทัพเรือฝ่ายเกาหลีที่เจอศึกหนักทำหน้าที่เป็นด่านทางน้ำกันพวกญี่ปุ่นขึ้นฝั่งไปเมืองหลวง แน่นอนว่าในขณะนั้นฝ่ายเกาหลีมีสภาพที่ย่ำแย่ตกรองจนโอกาสคว้าชัยกลับมาเป็นเรื่องได้ยาก โดยเฉพาะกำลังใจที่ค่อยๆเลื่อนหายไปจากเหล่าทหารทีละเล็กทีละน้อย ไม่เว้นแม้แต่ยีซุนชินที่ทรุดหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจกับการถูกฝ่ายญี่ปุ่นหลอกใช้และถูกทำโทษสถานหนักก่อนจะเล็งเห็นความสำคัญในตัวยีซุนชินให้กลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง แต่อะไรไม่เท่ากับการทำศึกน่านน้ำที่แทบจะไม่มีชัยชนะเพราะกำลังพลที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว ซึ่งความหวังสุดท้ายคือการใช้กลยุทธ์เรือเต่าอันเป็นแผนเด็ดของยีซุนชินที่ใช้สู้แบบมุทะลุลุยใส่ข้าศึกด้วยเรือที่แข็งแกร่งกว่า ทว่าระหว่างรอเรือเต่าที่ใกล้เสร็จก็มีเรื่องมากวนใจมากมายและหนึ่งในนั้นคือความเห็นของทหารคนอื่นๆที่มองในตัวยีซุนชินกลายเป็นคนไร้สติประเมินตัวเองสูงเกินไปทั้งที่ผลลัพธ์ก็ปรากฎตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่แล้วประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ว่าคนที่ทำศึกได้อย่างชาญฉลาดต้องยึดหลักความอดทนและใจเย็นเท่านั้นถึงจะสำเร็จได้ และยีซุนชินคือคนนั้นที่สามารถสยบทัพเรือญี่ปุ่นด้วยตัวเพียงคนเดียว

The Fountain (2006) เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์

The Fountain (2006)
เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์
Director: Darren Aronofsky
Genres: Drama | Mystery | Romance | Sci-Fi
Grade: B+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ความรักดังรากไม้ที่ลงลึกเสมือนความเจ็บปวดที่อยู่นาน ถ้าเลิกยึดติดยอมปล่อยให้เป็นอิสระเราเองก็พบหนทางปลดจากความทุกข์ทรมาน"

เป็นเรื่องของช่วงเวลาหลังความเป็นความตายที่อยู่ในสภาวะก่ำกึ่งระหว่างช่วงเวลา 3 ช่วง โดยแต่ละช่วงมีความเหมือนและแตกต่างกันทั้งสอดคล้องกันอย่างมีนัยยะ เริ่มที่เรื่องแรกที่กล่าวถึงทอมมี่ (Hugh Jackman) นักวิทยาศาสตร์ผู้พยายามค้นหายารักษามะเร็งสมองให้อิซซี่ (Rachel Weisz) ภรรยาของเขาด้วยการทดลองกับลิง กระนั้นความพยายามหลายต่อหลายครั้งยังคงหาผลสำเร็จไม่ได้สักครั้งเดียว เขาจึงแหกกฎก่อนที่จะบอกกับคนอื่นด้วยการนำส่วนของต้นไม้ที่ได้มาจากกัวเตมาลาที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาทำเป็นยา ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพึ่งพอใจและดีขึ้นมากและรอผลที่จะใช้กับอิซซี่เพื่อต่ออายุของเธอ แต่ก่อนหน้านี้ชีวิตทั้งสองไม่ได้สุขอย่างที่คิดเพราะอาการที่หนักขึ้นของอิซซี่ทำให้ทอมมี่เป็นกังวล และด้วยเช่นนั้นทำให้ทอมมี่มีอารมณ์ที่รีบเร่งฝืนการทดลองติดๆกันแม้ผลลัพธ์จะดีขึ้นทว่ากับคนรอบข้างไม่เป็นที่พอใจในพฤติกรรมมากนักกับความใจร้อนเกินหน้าเกินตา ทอมมี่ที่มุ่งมั่นแต่จะหายารักษาดูผิดกับอิซซี่ที่ใจเย็นกับชะตากรรมของตัวเองและหางานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Fountain ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการนั่งมองดาวโดยหนึ่งในนั้นคือชิบาลบาดวงดาวที่มีหมอกควันเป็นการส่งสัญญาณกำลังจะดับสูญ เนื้อเรื่องภายในหนังสือที่เขียนนั้นได้กล่าวถึงสเปนในยุคกลียุคที่มีราชินีอิซาเบลลากำลังจะโดนล้มล้างราชบังลังก์โดยขุนนาง ราชินีจึงมีภารกิจก่อนโดนโค้นล้มด้วยการมอบหมายงานชิ้นหนึ่งให้องครักษ์โทมัสไปยังดินแดนที่มี Tree of Life หรือต้นไม้อมตะที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้อายุยื่นนานไม่เสื่อมสลาย แต่ก่อนจากลากันราชินีอิซาเบลลาได้มอบแหวนแก่โทมัสพร้อมคำมั่นสัญญาถ้ากลับมาได้สำเร็จจะพร้อมตกเป็นของเขาตลอดกาล

Zombeavers (2014) บีเวอร์ซอมบี้

Zombeavers (2014) | บีเวอร์ซอมบี้
Director: Jordan Rubin
Genres: Action | Comedy | Fantasy | Horror
Grade: C
 
จะซอมบี้ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็คือคนที่ไล่กัดกินคนด้วยความกระหายไม่รู้จักจบสิ้นและก็วนเวียนกันอยู่แค่สัตว์ชั้นสูงที่ไม่ว่าหมาแมวเป็ดไก่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับบางเรื่องอาจนำสุนัขสัตว์คู่ใจที่เชื่องต่อการจงรักภักดีมาช่วยเหลือเพราะประการแรกพวกมันไวต่อการสัมผัสช่วยได้ในยามเราเผลอ ประการที่สองมันช่วยได้เพราะตัวมันเองไม่มีปัญหากับซอมบี้เนื่องจากไม่ใช่อาหารจานโปรดที่โดนเขมือบได้ และประการสุดท้ายพวกมันซื่อสัตย์ นี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไรกับสัตว์เลี้ยงที่พบได้อยู่ประจำ แต่ถ้าเกิดไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแต่เป็นสัตว์ป่าธรรมดาชนิดหนึ่งแบบที่หนังเรื่องนี้ยกมาเราจะแปลกใจไหม ในขณะเดียวไม่ได้เล่ามาในเชิงเป็นมิตรเสียด้วยหากเป็นภัยคุกคามที่คาดว่าจะขยายเป็นระดับโลกในไม่ช้าจากจุดเกิดเหตุเล็กๆ นั้นคือบีเวอร์ที่กล่าวได้ว่าคือสัตว์จอมขยันสร้างเขื่อนกั้นน้ำตลอดจนถึงชอบแทะไม้จนนิสัยไม่ต่างกับหนูทั่วๆไปแค่ชอบว่ายน้ำและตัวใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ก็ว่ากันอยู่ในหมู่สายหนังสัตว์โลกน่ารักหรือหนังที่มีสัตว์เป็นตัวเรื่องหลัก(แน่นอนว่าการบอกน่ารักไม่ได้หมายถึงจะน่ารักจริงๆแต่อย่างใดเพราะมันคือตลกร้ายเอาไว้เรียกกลุ่มหนังสยองขวัญ) เช่น แมงมุม งู ปิรันย่าใน แม้กระทั่งมดยังเคยเอามาสร้างเป็นหนัง  สัตว์พวกนี้เดิมทีก็ร้ายอยู่พอตัวแล้วเมื่อเพิ่มมิติของความร้ายกาจลงไปการจะเห็นความน่ากลัวมากขึ้นจึงไม่แปลก ทว่ากับบีเวอร์จะมีกี่คนที่มองเป็นสัตว์น่ากลัวแถมยังปรุงแต่งให้กลายเป็นซอมบี้อีกต่างหาก

The Fugitive (1993) เดอะ ฟูจิทีฟ ขึ้นทำเนียบจับตาย

The Fugitive (1993) | เดอะ ฟูจิทีฟ ขึ้นทำเนียบจับตาย
Director: Andrew Davis
Genres: Action | Crime | Drama | Mystery | Thriller
Grade: A+

 อาจกล่าวได้ว่าความมันส์จริงๆไม่ได้เกิดจากยิงหรือต่อสู้เสมอไปเพราะเรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่าความมันส์อยู่ที่ความเข้มข้นการเล่าเรื่องที่ฉับไว ยิ่งหาอะไรที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายลุยโลดด้วยแล้วยิ่งมันส์กระแทกใจทะลุนรกเลยทีเดียว(อันนี้ก็เว่อร์ไป) ว่าก็เข้าเนื้อเรื่องเล่าถึง ดร.ริชาร์ด คิมเบิ้ล (Harrison Ford) คุณหมอผู้ถูกหาว่าฆาตกรรมภรรยาตัวเองเพราะไม่อาจหาความจริงมาแก้ต่างได้ว่าแท้จริงคืออีกคนที่ตัวเองได้สู้กับคนร้ายในวันเกิดเหตุ สิ่งที่เป็นเบาะแสคือเสียงสุดท้ายในวันที่ภรรยาโทรหาตำรวจแล้วบอกชื่อริชาร์ดก่อนจะสิ้นใจจนเป็นข้อกล่าวหาเพียงหนึ่งเดียวว่าริชาร์ดอาจเป็นคนลงมือทั้งที่ความจริงเจ้าตัวยังคงปฏิเสธเนื่องจากเจอคนร้ายตัวจริงกับตัว ทั้งต่อสู้ทั้งเห็นหน้าโดยเฉพาะจุดเด่นเรื่องการใช้แขนเทียมหนึ่งข้างที่จดจำไม่มีลืม ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีหลักฐานใดๆเหลืออยู่เลยอีกทั้งพยานก็ไม่มีน้ำหนักพอจะบอกว่าไม่ใช่ สุดท้ายริชาร์ดกลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกที่แห่งหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กระนั้นระหว่างกำลังส่งตัวไปยังสถานกักขังระหว่างเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเพราะนักโทษในรถเกิดต่อสู้เป็นเหตุสุดวิสัยทำให้ริชาร์ดต้องตัดสินใจหลบหนีออกมาไม่ใช่เพราะเขาอยากหนีไปที่ไกลๆแต่เป็นการไล่หาความจริงที่่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทำไมภรรยาของเขาจึงถูกฆ่าและใครคนนั้นต้องรับผิดชอบ คนที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องหมดลงไปในค่ำคืนเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องหนีเพื่อหาข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ค้างคาใจและเพื่อแก้แค้น แต่เหมือนจะไม่ง่ายเมื่อริชาร์ดต้องโดนตามล่าจากแซมมวล เจอราร์ด (Tommy Lee Jones) ผู้ตรวจการสหรัฐที่ตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดพร้อมกับอุดมการณ์ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแม้แต่ก้าวเดียวถึงจะต้องจับตายก็ปล่อยไว้ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะระทึกและเข้มข้นแค่ไหนขอชมก่อนว่าหามาดูก่อนเลยน่าจะเข้าท่ากว่า

Edge of Tomorrow (2014) ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร

Edge of Tomorrow (2014)
ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร
Director: Doug Liman
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: A-

ก่อนจะมาเป็นหนังได้ต้องถูกดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายไลท์โนเวล All You Need Is Kill ของ Hiroshi Sakurazaka ซึ่งเป็นนิยายที่ขายดีมากในญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ซึ่งว่าด้วยทหารนายใหม่นายหนึ่งนามคิริยะ เคย์จิที่เข้าร่วมสงครามต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยนที่เรียกว่ามิมิค แต่ระหว่างทำสงครามต่อสู้กับข้าศึกก็ทำให้เขาต้องได้ค้นพบบางอย่างที่เหลือเชื่อกับตัวเขาเองเมื่อเขาตายลงก็สามารถย้อนกลับไปหาอดีตได้ และเมื่อตายอีกก็กลับมาที่เดิมกลายเป็นลูปที่ไม่รู้จบสิ้นวนเวียนตลอดเวลา และเมื่อมากขึ้นก็ยิ่งเป็นการสะสมค่าประสบการณ์พัฒนาขีดความสามารถยิ่งขึ้นจากทหารธรรมดากลายเป็นทหารแนวหน้า เช่นเดียวกับเนื้อหาในหนังที่เปลี่ยนตัวเอกเป็นพันโทวิลเลียม เคจ (Tom Cruise) ชายทหารดวงซวยที่เหมือนจะสุขสบายกับตำแหน่งด้านสื่อโปรโมทกองทัพที่ไม่ต้องออกไปรบดันต้องไปรบกับเอเลี่ยนที่บุกมาโลกและกลายเป็นสงครามที่เสมือนตกอยู่ในแดนข้าศึกที่มีค่าตายมากกว่ารอด ทว่าการไปรบครั้งแรกเหมือนจะจบลงอย่างรวดเร็วสำหรับเคจที่ไม่มีทักษะการรบเพราะมีหน้าที่เป็นฝ่ายใช้มันสมองมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อเขาตายก็เกิดย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้งราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คือความฝัน แต่ฝันนั้นเหมือนจริงจนเคจรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างเกิดซ้ำไปหมดและเริ่มท่องจำแต่ละเหตุการณ์ได้อย่างไม่คาดเคลื่อน จนทุกอย่างเกิดขึ้นจริงอีกครั้งที่ต้องไปสนามรบและเขาก็ตายอีกครั้ง คราวนี้ก็ฟื้นมาอีกที่เดิมพร้อมกับเหตุการณ์เหมือนเดิมก่อนหน้านี้ ตอนนี้เคจประหลาดใจสุดๆเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองตายเท่าไหร่ก็กลับมาได้ตลอดแล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ คำตอบนี้เหมือนริต้า วาทาสกี้ (Emily Blunt) หรือเจ้าของฉายาเทพสงครามเวอร์ดันกำลังใบ้คำตอบกับเขาเมื่อเธอเอยปากออกเมื่อฟื้นแล้วให้มาหาเขา ทำไมต้องเขา?

Fido (2006) ซอมบี้เพื่อนรัก

Fido (2006)
ซอมบี้เพื่อนรัก
Director: Andrew Currie
Genres: Comedy | Drama | Horror | Sci-Fi
Grade: B+

ไอเดียเก๋ๆประมาณว่าในยุค 1950 เกิดมีรังสีประหลาดจากอวกาศที่แผ่มายังโลกจนทำให้คนตายลุกคืนชีพออกมาไล่กินคนเป็นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนกระทั่งปัญหานี้ได้รุกรามระบาดไปทั่วจนเกิดสงครามระหว่างคนเป็นที่ยังมีลมหายใจกับคนตายที่เรียกกันว่าซอมบี้เพราะมีความกระหายแต่เขลาปัญญา ทว่าสงครามยิ่งเยื้อยื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลดโอกาสมีชีวิตรอดมากขึ้นจนในที่สุดฝ่ายคนเป็นที่กำลังลดลงกับซอมบี้ที่เพิ่มมากขึ้นก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อมีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่ไม่ธรรมดา

Oculus (2013) โอคูลัส ส่องให้เห็นผี

Oculus (2013)
โอคูลัส ส่องให้เห็นผี
Director: Mike Flanagan
Genres: Horror | Mystery
Grade: B+

ก็ว่าเป็นหนังผีที่ประหยัดงบทุนอีกเรื่องจากสภาพที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากการมุ่งเน้นหนักไปทางเนื้อเรื่องในขณะที่องค์ประกอบต่างๆก็ล้วนเป็นตัวเสริมเท่านั้น ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของผีที่ออกมาน้อยแสนน้อยนอกจากความเฮี้ยนผ่านทางกระจกบานเก่าแก่ที่ปล่อยให้ตัวละครเผชิญหน้าแบบสลับหน้าหลังระหว่างอดีตที่แสนโหดร้ายกับปัจจุบันที่เครียดแค้น โดยเรื่องก็มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยที่ทำท่าเหมือนกับว่ากระจกบานนี้กำลังถูกใครบางคนจับจ้องอยู่ แน่นอนว่าคนนั้นคือเคลีย์ รัสเซล (Karen Gillan) หญิงสาวที่มีเรื่องต้องสะสางกับกระจกบานนั้นโดยพยายามตามสืบสาวเพื่อให้ได้ครอบครองกระจกนั้นมาในงานประมูลในฐานะคนดูแลสินค้า นอกจากเธอแล้วยังอีกคนคือทิม รัสเซล (Brenton Thwaites) น้องชายที่พึ่งออกจากโรงพยาบาลบำบัดจิตเพราะความโหดร้ายที่วัยเด็กที่ถูกมองว่าอาจเป็นตัวอันตรายได้ในอนาคตหากไม่รีบแก้ไขความสับสนในใจ แน่นอนว่าเคลีย์คือคนที่เตรียมพร้อมในทุกๆอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ากระจกบานนี้ที่สมควรจะเป็นกระจกธรรมดาที่แสดงถึงเงาสะท้อนนั้นไม่ได้สะท้อนมาเพียงแค่เงา แต่กลับสะท้อนบางอย่างที่มีพลังเหนือธรรมชาติออกมา แน่นอนว่าทิมที่อยากลบล้างความทรงจำในอดีตต้องทำใจอีกครั้งเพราะพี่สาวที่อยากพิสูจน์ในความผิดปกติว่ามันคือเรื่องจริงที่ไม่ใช่ด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างที่หลายคนกล่าวหา มันต้องมีอะไรบางอย่างเก็บเอาไว้และสิ่งนั้นพี่น้องรัสเซลต้องหันหน้าไปเผชิญความโหดร้ายอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะไม่ใครตัวช่วยเหมือนเมื่อก่อนและมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ต้องพึ่งตัวเอง

Outbreak (1995) วิกฤติไวรัสสูบนรก

 
Outbreak (1995)
วิกฤติไวรัสสูบนรก
Director: Wolfgang Petersen
Genres: Action | Drama | Thriller
Grade: B-

ลองมานึกๆดูแล้วจำพวกหนังที่เกี่ยวกับโรคระบาดนี่นับว่าหายากพอตัวไม่ใช่น้อยเพราะเนื้อเรื่องต้องแข็งพอจะอธิบายได้ถึงที่มาที่ไปกับวิธีแก้ไขซึ่งเหมือนว่าถ้าไม่อยากลงทุนเป็นระดับเชื้อล้างโลกก็ต้องมาที่การเริ่มต้นของเชื้อที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอะไรสักอย่าง ซึ่งในที่นี่หมายถึงลิงชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการแพร่เชื้ออย่างไม่ตั้งใจที่ริเริ่มมาจากการจับสัตว์เพื่อการค้าขายก่อนจะบานปลายติดเชื้อไปเรื่อยๆตามทางจากผู้จับและทอดต่อกันมาเป็นผู้ซื้อจนกระทั่งคนที่ติดเชื้อก็แพร่ใส่คนอื่นๆกันเป็นลูกโซ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กว่าจะมารู้ตัวก็สายเกินไปเมื่อเชื้อนี้ได้ระบาดไปทั่วเมืองจากสถานที่แรกคือซาร์อีหรือคองโกที่เหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่กับเหล่าบรรดาหมอที่เจอไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่รู้จัก แน่นอนว่าเวลาต่อมาผู้พันแซม แดเนี่ยลส์ (Dustin Hoffman) ก็เจอกับไวรัสชนิดนี้เข้าและศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้แล้วพบว่ามีอะไรหลายอย่างที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไวรัสอีโบล่าหลายเท่าเพราะไม่ใช่ถึงกับเสียชีวิตแต่เป็นอะไรที่เฉียบพลันได้อย่างรวดเร็วด้วยระยะการฟักตัวในไม่กี่ชั่วโมง สิ่งสำคัญสุดคือแซมกำลังเร่งหาหนทางช่วยให้ทันกาลก่อนที่จะแพร่กระจายเป็นวงกว้างในไม่กี่อึดใจ ทว่าการข้อร้องผู้บังคับบัญชาอย่างท่านนายพลบิลลี่ ฟอร์ด (Morgan Freeman) ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะถูกปฏิเสธและไม่มีการอนุมัติใดๆ จนกระทั่งเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นามว่า"โมทาบ้า"ได้เข้ามาถึงอเมริกาจนได้ และมันจะไม่ใช่แค่นิดเดียวที่ที่ติดเชื้อเพราะเชื้อได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินในไม่ช้า

Scanners (1981) สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้

Scanners (1981) | สแกนเนอร์ หัวหลุดหยุดไม่ได้
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B

กับหนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าชอบก็ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบจะรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวรู้สึกกลางๆว่ามีทั้งชอบและนิ่งในบางช่วง ถ้ามองโดยรวมจริงๆมันค่อนข้างจะสนุกเลยแหละกับสไตล์พลังจิตที่เรียกว่าสแกนเนอร์อะไรทำนองนี้ อีกทั้งหนังยังมีอารมณ์บรรยากาศแบบหม่นๆชวนเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความดาร์คยังไงชอบกล แต่ไม่ได้แปลว่าจะออกมาดูมืดเต็มไปด้วยฉากกลางคืนเพียงอารมณ์มันสื่อได้ทางเข้มข้นเสียมากกว่า และเจ้าความเข้มข้นนี่แหละที่ทำให้หนังสนุกในแบบของตัวเอง ซึ่งอันนี้เป็นผลงานอีกครั้งของผู้กำกับ David Cronenberg ที่โดยส่วนตัวออกจะชอบสไตล์ของบรรยากาศพอสมควรเพราะดูหนักแน่นไม่สดใสหรือให้ความหวังในแบบพระเอกชนะใสๆหรือตัวร้ายพลาดง่ายๆ คือจะว่าตัวฝั่งพระเอกก็ไม่ได้เป็นอะไรที่อยู่โทนขาวเสมอไปเพราะบางครั้งบางช่วงเราจะดูออกเลยว่ามีเล่ห์เหลี่ยมในตัวไม่แพ้กันและพร้อมจะทำในแบบที่ตัวร้ายทำได้อยู่เสมอเพื่อเอาชัย ก็อย่างว่าตามสไตล์ที่มืดหม่นไม่มีความชัดเจนนอกจากบอกได้ว่านี้คือคนที่ยังมีส่วนที่ดีกับไม่ดี ในขณะที่ Scanners บ่งบอกชัดมากในทางด้านพฤติกรรมที่ต่อให้ไม่ตั้งใจก็ถึงกับฆ่าคนตายได้ เจ้าความไม่ตั้งใจนี่แหละที่ทำให้คิดได้ว่าถ้าเกิดแกล้งทำเป็นไม่ตั้งใจจะเป็นยังไงล่ะ

Gremlins 2: The New Batch (1990) เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง

Gremlins 2: The New Batch (1990)
เกรมลินส์ 2 ปีศาจถล่มเมือง
Director: Joe Dante
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

สงสัยจะป่วนไม่พอเพราะคราวนี้กะจัดเต็มให้วายวอดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่อะไรนั้นคงไม่เท่ากับการสานต่อที่ต้องบอกว่ากะเอาฮามากกว่าชวนเป็นหนังสยองขวัญเสียอีก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ความวุ่นวายจะมากขึ้น ชุลมุนยิ่งขึ้น และเซอร์ไพรส์ด้วยทีเด็ดยิ่งกว่าหนังตลกล้อเลียน Scary Movie ที่รวมหนังทีละนิดทีละหน่อยเป็นเรื่องเดียวกันอย่างงงๆที่ไม่รู้อัดไปได้ไง แต่กับ Gremlins 2: The New Batch อาจไม่เชิงว่าจะตั้งใจล้อเลียนไปซะทั้งหมดหากจะเป็นสะกิดต่อมชวนคิด โดยเฉพาะการแซวหนังแนวๆนี้ในทำนองที่หักเหยิ่งขึ้นแบบที่ภาคแรกได้ทำเอาไว้ด้วยการทำให้ทุกอย่างดูสดใหม่เกินกว่าหนังสัตว์โลกหน้ารักธรรมดาสมควรจะเป็นไม่ว่าจะตัวละครที่ทันต่อสถานการณ์ การเล่นในพื้นที่จำกัดแต่ใช้การอาละวาดได้อย่างทั่วถึง มุขที่ใส่มาถูกจังหวะจนไม่จัดว่าเกินหน้าเกินตากลายเป็นแนวตลกบ้าๆบอๆ และที่สำคัญสุดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผู้ชมรู้ทันทีว่านี้แหละคือหนัง Gremlins คือกฎ 3 ข้อที่เป็นข้อห้ามทั้งหมด ไล่มาตั้งแต่ข้อแรกที่กล่าวเอาไว้อย่าให้โดนแสงเด็ดขาดเพราะจะฆ่ามันได้ ข้อที่สองอย่าให้โดนน้ำ และข้อสุดท้ายที่กลายเป็นหายนะถ้ารักษากฎไม่ได้ คืออย่าให้อาหารหลังเที่ยงคืนไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ซึ่งอีหรอบเดิมคือกฎเหล่านี้รักษาไม่ได้และหายนะความซวยก็มาถึง

Gremlins (1984) เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน

Gremlins (1984)
เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน
Director: Joe Dante
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

"พร้อมจะดูแลรับผิดชอบไหมภายใต้กฎ 3 ข้อ โดยเฉพาะเวลาที่กลายเป็นพวกมัน คุณต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม"

นับเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ที่สุดที่รวมความสยองขวัญกับความน่ารักเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ความน่ารักไม่มีหรอกนะหากไม่ใช่เพราะ Steven Spielberg ซื้อบทหนังจาก Chris Columbus ที่ดั้งเดิมกะเอาโหดไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่ในมือของพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดคราวใดมันย่อมเปลี่ยนแปลงไม่พ้นเหมาะสมสำหรับเด็กด้วยเช่นกัน แม้จะรู้สึกแปลกไปบ้างเพราะดั้งเดิมนั้นเริ่มต้นด้วยสไตล์ระทึกขวัญอย่างที่เราพอจะเห็นอย่าง Jaws (1975) จนทำเอาต้องเลิกเล่นน้ำทะเลไปชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งความชัดเจนได้ปรากฎในเรื่อง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ที่กลายเป็นว่าทำออกมาเหมาะสมกับเด็กเป็นอย่างยิ่งยวด ไม่สิต้องบอกเหมาะกับครอบครัวเสียด้วยซ้ำ ด้วยภาพลักษณ์หนังเอเลี่ยนที่มองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายการทำลายก็กลายเป็นอีกแบบที่แม้แต่เด็กยังเข้าใจได้ดีกว่าผู้ใหญ่บางคนจนเป็นการเปิดกว้างให้กับอวกาศที่ยังมีเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนที่รักสงบและรู้ค่าของการมีชีวิตให้คุ้มค่า ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมากนักแต่การสร้างความโด่งดังที่ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงแต่เป็นตัวหนังเพียวๆกับคุณภาพเรียกน้ำตานี่สิ กลายเป็นแม่แบบที่ดัดแปลงได้อย่างน่าชื่นชม เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่แรกๆหวังสยองขวัญโหดสุดๆกลับกลายเป็นความสยองนั้นคือเรื่องตลกแถมไม่แน่ว่าจะเรียกว่ามันคือความสยองได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่เห็นเป็นเพียงการป่วนเมืองเท่านั้น เป็นเพียงการอาละวาดให้ผู้คนตกใจกลัว ก็แบบกลัวจนอยู่ไม่ได้อ่ะ

Videodrome (1983) วีดีโครม

Videodrome (1983) | วีดีโครม
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: A+

เมื่อไรกันที่ชีวิตคนเราจะต้องมีเอี่ยวกับกับจอสี่เหลี่ยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไรกันที่จอสี่เหลี่ยมนี้มีอิทธิพลมากพอต่อการคุกคามชีวิต และเมื่อไรกันที่โลกความจริงกลายเป็นโลกเสมือนจริงต่อสายตาที่มองจอสี่เหลี่ยม แต่จะอะไรนั้นเรากลับบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังดูมีผลเสียต่อเรายังไงบ้างในแง่การรับชมเพราะเราเลือกได้ว่าจะดูอะไรตามเจตนารมย์ของตัวเอง กระนั้นการเลือกด้วยสำนึกของตัวเองคงไม่พ้นเลยไปกับคำว่าปรารถนาหรืออยากเสียมากกว่าความสงสัย ถ้าในกรณีนี้คือการดูความรุนแรงที่มีการทำร้ายร่างกายจนได้เลือดของเหยื่อที่ร้องคร่ำครวญด้วยความทรมาน สิ่งที่เราคาดคิดคือจะเป็นยังไงต่อไปเกี่ยวกับเหยื่อรายนั้นที่จะกรี๊ดร้องต่อไปได้สักกี่น้ำหรืออาจได้เห็นอะไรที่แปลกใจมากขึ้น เรามีความสงสัยไหมว่าเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งที่เราควรจะมองรายละเอียดในจุดนั้นซึ่งกลายเป็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่บางครั้งเราก็สงสัยทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย นั้นเพราะยังเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับเราที่บอกได้คือยังใหม่ ก็ลองให้กลายเป็นเรื่องปกติไปสิ เอาแบบหนังโป๊ที่ไม่รู้ว่าพระเอกกับนางเอกคือใคร รู้จักหรือไม่ เนื้อเรื่องมีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ลงรายละเอียดไปที่จุดเดียวกับคำว่า "Porn" เราไม่เคยสงสัยมันจะเริ่มยังไงเพียงรู้อย่างหนึ่งคือเอกลักษณ์ของมันแล้วสิ่งนั้นเป็นแบบไหนต่อไปคือสิ่งที่เรากำลังคิดสงสัย
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)