Speed 2: Cruise Control (1997) สปีด 2 เร็วกว่านรก

Speed 2: Cruise Control (1997)
สปีด 2 เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Crime | Romance | Thriller

"ภาคแรก Speed สมชื่อ ส่วนภาคนี้ Slow เกินคาด"

"ทำไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้" นี่คือสิ่งที่ตัวเองบอกกับหนังภาคต่อเรื่องนี้ที่มีสถานะภาพควรจะไม่ทิ้งห่างภาคแรกทั้งที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะผู้กำกับ Jan de Bont ที่ยังสานต่อเองกับมือแท้ๆแต่อารมณ์มันคงละฟิลล์ตั้งแต่ลงเรือยอร์ชอันแสนน่าเบื่อ แต่อย่างหนึ่งที่เราเห็นคือพล็อตเรื่องที่ยังคงคล้ายๆกันกับสิ่งพาหนะที่ต้องเร็วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนสิ่งนี้คือเรือยอร์ชลำยักษ์ที่ขนผู้โดยสารมาเต็มลำพร้อมกับงานสังสรรค์เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบมีเล่ห์นัยเช่นภาคแรกที่ผู้ร้ายต้องวางแผนให้เนียบเนียนก่อนทำขั้นต่อไปจึงจะเป็นฝ่ายคุมเกมส์ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เนื้อเรื่องออกทำนองงั้นๆมากโดยเฉพาะพล็อตที่หาได้มีความเกี่ยวโยงอะไร เพียงแค่เป็นเรื่องของการปล้นเท่านั้น ปล้นด้วยตัวคนเดียวและใช้ทักษะจัดการกับเรือที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือจะบอกว่าเรือไปเองโดยอัตโนมัติ หยุดไม่ได้ เลี้ยวไม่ไป แต่ถามหน่อยเถอะว่าในทะเลที่แสนจะกว้างใหญ่ไพศาลนี้เราควรกลัวอะไร? กลัวไปชนปะการังหรือยังไง นี่ไม่ใช่รถนะที่ต้องลุ้นต้องจับพวงมาลัยให้มั่นวิ่งเฉียวชนโน้นนี้แถมมีระเบิดที่บังคับด้วยว่าจะระเบิดถ้าขับรถเบาและเจ้าคนร้ายก็เฝ้ามองพฤติกรรมต่างๆจนถ้าเล่นตุกติกมีบึ้มได้ทันที ว่าภาคแรกยังโอเคในการนำพาเนื้อเรื่องด้วยรถติดระเบิด ทว่ากับเรือล่ะมีอะไรให้กดดันมากพอจะสติแตกได้ไหม คำตอบคือไม่มี ที่สำคัญตัวการอยู่บนเรือซะด้วยไม่ต้องวิ่งไล่หาแบบภาคแรกที่ต้องปาดเหงื่อตามล่าแทบตาย ว่ากันซื่อๆตามตรงคืออย่าไปคาดหวังอะไรถ้าได้ความมันส์จากภาคแรกเพราะอาจได้ดราม่ากลับมา ไม่ใช่หนังมันเศร้านะ แต่เรานี่แหละจะเศร้าที่หนังมันอ่อนเป็นน้ำน่ะสิ

Speed (1994) เร็วกว่านรก

Speed (1994)
เร็วกว่านรก
Director: Jan de Bont
Genres: Action | Adventure | Thriller
 
นี้คือหนังแอ็คชั่นลำดับต้นๆที่ไม่ว่ายังไงต้องหามาให้ได้เพราะสไตล์ของเรื่องนี้จำกัดอยู่แค่"ความเร็ว" ซึ่งหมายถึง Non-Stop ตลอดแทบทั้งเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนหนังจบ โดยมีทฤษฏีง่ายๆเกี่ยวกับพาหนะคือ"ลิฟท์ รถเมล์ และรถไฟ" ส่วนเป็นยังไงนั้นลองไปฟังเรื่องย่อที่มาถึงเข้าเรื่องลิฟท์ที่โดนผู้ก่อการร้ายวางระเบิดพร้อมข่มขู่จะฆ่าคนได้อย่างสบายๆเพียงแค่กดก็ระเบิดปล่อยลิฟท์ร่วงไปตาย แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแอลเอที่ชื่อแจ็ค เทรเวน (Keanu Reeves) มาถึง ทำให้แผนผิดสูตรเพราะความฉลาดของแจ็คที่แก้สถานการณ์ได้เฉียบขาด ทว่าตัวแจ็กเองไม่สามารถจับคนร้ายได้เพราะชิงระเบิดตัวเองตายไปก่อน จนกระทั่งแจ็คได้รับสายจากใครบางคนที่ข่มขู่ว่ามีรถเมล์คันหนึ่งติดตั้งระเบิดเอาไว้และพร้อมจะเริ่มทำงานเมื่อมีการขับรถเร็วเลยที่กำหนดแต่ขณะเดียวกันหลังจากระเบิดทำงานไปแล้วก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทั้งต้องรักษาระดับความเร็วของรถที่ 50 ไมล์ต่อชั่วโมงเพื่อไม่ให้รถระเบิด ส่วนคนร้ายที่วางระเบิดไม่ใช่ใครแต่เป็นฮาเวิร์ด เพย์น (Dennis Hopper)  คนเดียวกับที่เกือบจะระเบิดลิฟท์สำเร็จแต่พลาดให้กับแจ็ค และตอนนี้คือการแก้แค้นที่มีเพียงแจ็คที่ต้องตามเกมขณะที่ฮาเวิร์ดคือคนที่คุมเกมตลอดทั้งเกมอย่างไม่คลาดสายตา


สิ่งแรกที่บอกได้คือมันส์มาก มันส์ตั้งแต่เปิดเรื่องจนหนังจบแทบไม่เป็นอันพักหายใจกันสักนิด แถมยังรู้สึกได้ว่าความมันส์ที่ได้เป็นความคุ้มค่าที่ตีค่ามากกว่าฉากยิงหรือระเบิดอันวินาศสันตะโร เพราะ Speed คือความเร็วและแรงในการจับเนื้อเรื่องอันเข้มข้นที่ทำให้ผู้ร้ายฉลาดเข้าไว้ส่วนพระเอกตามเกมส์แก้ปัญหาให้ทัน ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าไม่มีฉากยิงหรือการดวลกันระหว่างผู้เอกกับผู้ร้ายตรงๆแต่สติปัญญานี่แหละที่ทำหน้าวัดกึ๋นทั้งสองฝ่ายว่าใครควรจะเหนือกว่าใครกันแน่ ซึ่งหนังมาได้ถูกทางอย่างที่สุดในแง่การทำแอ็คชั่นโดยไม่มีคำว่าล้นหรือน้อยเกินไป อีกอย่างคือหนังจะหนักไปทางลุ้นระทึกจึงมีอะไรให้น่าติดตามตลอดเวลายิ่งตอนที่มารู้ว่ารถเมลล์ติดระเบิดอยู่นี้ก็เป็นปัญหาชุดใหญ่แล้วว่าเป็นรถคันไหนล่ะ แต่คนร้ายใจดีบอกเลขบอกเวลาให้เสร็จสรรพปล่อยให้พระเอกไปตามล่ารถคันนั้นเอง ในฉากตามไล่กวดรถเมล์นี้ก็มันส์แสดงออกถึงความระห่ำของพระเอกชัดมากจนรู้แล้วล่ะว่าต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็ลุยไปได้ทุกสถานการณ์ต่อให้เว่อร์มากก็ตาม และเป็นแบบนั้นจริงๆนะ คือตอนเริ่มเรื่องจะเป็นลิฟท์เหมือนๆอาหารออเดอร์แล้วจานหลักคือรถเมล์ที่ลุ้นทั้งเรื่องก่อนจะปิดของหวานด้วยรถไฟ ไม่บอกนะว่าไปได้ยังไงแต่บอกได้เลยว่ามันเป็นอะไรที่สุดๆของสายแอ็คชั่นไม่เน้นบู๊แต่เน้นชิงไหวพริบ

เป็นหนังที่สร้างแล้วดังสนั่นไปทั่วจนนักแสดงอย่าง Keanu Reeves ต้องแจ้งเกิดไปตามๆกัน และดูจะใช่ซะด้วยที่มาทางนี้เพราะบทตัวเอกจะแข็งๆหน่อยแลดูซีเรียสและจริงจังตลอดเวลา แต่ก่อนหน้านี้คนที่เล่นบทตัวเอกคือ Jeff Bridges นะ แต่เกิดการขัดเกลาครั้งใหญ่ทั้งบททั้งนักแสดงทำให้ผลที่ออกมาเป็นเช่นนี้(ซึ่งเป็นอะไรที่น่าพอใจ) และเพราะแบบนั้นไม่รู้ว่าหนังจริงจังไปหรือเปล่าเพราะ Keanu Reeves เล่นแข็งไปหน่อยในบางช่วงจนเกือบจะไร้อารมณ์

ส่วนหนึ่งตัวเองก็พยายามปรับความเข้าใจเกี่ยวกับคาแรกเตอร์ที่มาดนิ่งของพระเอกว่าเป็นพวกใจเย็น รอบคอบ และไม่แหกกฎ ที่บอกไม่แหกกฎเพราะหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่พระเอกมักจะชอบทำอะไรที่ขัดใจผู้ร้ายอยู่บ่อยๆไม่ยอมให้สมหวังกันง่ายๆต่อให้มีเงื่อนไขก็ตามผิดกับเรื่องนี้ที่ต้องตามใจผู้ร้ายทุกระเบียบนิ้ว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับด้วยว่าคนร้ายเก่งจริงในการวางแผนอย่างรอบคอบที่ปิดทางออกไปเกือบหมดจึงไม่แปลกใจถ้าพระเอกของเราจะทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไปก่อน


ดูแล้วเป็นเรื่องที่ดีเพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินขนาดนี้เป็นใครต้องมีสติหลุดไปเถียงคนร้ายกันบ้าง จะว่าคนร้ายในเรื่องมีเพียงคนเดียวเท่านั้นและแสดงโดย Dennis Hopper ดูท่าแสดงได้ดีไม่น้อยเหมือนพวกคลั่งระเบิดพอสมควร น่าเสียดายที่ในเรื่องเล่นไม่เยอะเท่าไหร่เพราะตลอดทั้งเรื่องส่วนใหญ่จะนั่งเก้าอี้ไล่ดูข่าวในทีวีที่กำลังถ่ายทอดสดเกี่ยวกับรถเมล์ติดระเบิด พูดแบบนี้ตัวหนังแอบกัดจิกพวกสื่อนักข่าวอยู่หน่อยๆด้วยนะ หาว่าเป็นตัวป่วนทำแผนตำรวจพังเพราะคนร้ายมันรู้น่ะสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ที่ขาดไม่ได้คือตัวละครที่ทำให้หนังดูมีมิติคือแอนนี พอตเตอร์ เล่นโดย Sandra Bullock ตลอดทั้งเรื่องก็น้อยบทบาทไม่ได้ทำอะไรนอกจากขับรถเมล์แทนคนขับรถที่โดนยิงแทบทั้งเรื่อง พอมานึกๆแล้วหนังไม่มุ่งไปที่การแสดงคาแรกเตอร์ตัวละครมากนักเพราะพยายามเอาหลักความเป็นจริง สถานการณ์ต้องซีเรียส ดังนั้นไม่มีใครอยากเล่นบทพระเอกโชว์เท่นอกจากจะบอกว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้คือหนทางรอด ไม่งั้นก็นั่งไปเฉยๆทำหน้าที่ของตัวเองแล้วปล่อยให้คนเก่งจริงทำต่อไป ฉะนั้นไม่มีหรอกตัวละครโชว์ความงี่เง่าของตัวเองแสดงถึงความเห็นแก่ตัวจนน่าบ่น จะมีแค่ตัวละครแสดงความหวาดกลัวออกมาทำให้เราเชื่อว่ามันน่าโดดออกจากรถติดระเบิดจริงๆ เนื่องจากสถานที่มันปิดตายเฉพาะในรถและรถต้องวิ่งโดยห้ามความเร็วต่ำกว่าที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่ใช่เพราะการผสานงานที่ได้ประสิทธิภาพของเหล่าตำรวจชี้ทางไปโน้นไปนี้ให้ดีๆอาจเจอรถติดได้ ซึ่งนั้นหมายถึงระเบิดไงล่ะ ลุ้นเอาการมิใช่น้อยที่หนังจะหาเนื้อเรื่องที่น้อยแต่เรื่องไปต่อยาวได้ไม่ซ้ำซากหรือน่าเบื่อ ส่วนหนึ่งมาจากความบ้าของพระเอก อย่างที่บอกคือพระเอกระห่ำมากยิ่งตอนวิ่งไล่กวดรถเมล์คือความมันส์ที่ไม่น่าเกิดแต่ก็เกิดขึ้นได้แถมแอบขำๆไปกับคนที่ถูกพระเอกยืมรถด้วย แล้วคิดไหมว่ารถเมล์ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 ไมล์ต่อชั่วโมงพระเอกของเราจะขึ้นไปยังไง?


นี่ลืม Sandra Bullock ไปเลยกับตัวประกอบที่เพิ่มเข้ามาให้หนังดูน่าสดใสมากขึ้น(อันที่จริงต้องบอกว่าน่ารักมากขึ้นมากกว่า) แต่ดูแล้วเล่นดีเหมือนกันแถมดูเป็นตัวละครที่น่าเอาอย่างในสถานการ์ร้ายๆแต่ยังอาสายินดีขับรถแทนทั้งที่ตัวละครอื่นบนรถพากันสติแตกเพราะไม่เข้าใจว่าจะขับรถต่อไปทำไมถ้ามีระเบิดติดอยู่ แต่น่าเครียดไม่น้อยกับรถที่ต้องวิ่งโดยมีระเบิดติดอยู่ที่พร้อมระเบิดได้ 2 กรณี ระหว่างวิ่งรถช้าชนวนทำงานกับตัวร้ายไม่พอใจกดบรึ้มได้เองโดยไม่เสียเวลาคอย มันน่าลุ้นจริงๆต้องวิ่งบนถนนที่มีรถไปมา(คงไม่ต้องพูดถึงถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ในกรุงเทพฯ) แต่ที่เซอร์ไพร์สไม่หายคือเจ้าตัวโกงมันเก่งที่คุมการกระทำของคนนอกรถกับในรถได้แล้วแบบนี้จะไปแก้เกมส์มันได้ยังไงล่ะ งานนี้เลยต่างชิงไหวพริบกันอย่างเมามันส์จับจุดแก้หน้ากันใหญ่ ที่สำคัญคือจังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลาที่เดินไม่ลดลงเลยสักนิด พูดง่ายๆคือถ้าหนังจบคือจบไม่กั๊กทุกอย่างเคลียร์โดยสมบูรณ์เต็มที่โดยปริยาย มันส์เป็นมันส์ แอ็คชั่นเป็นแอ็คชั่น ไม่เสียเวลามานั่งอธิบายแค่รู้ว่าระเบิดติดรถและอย่าหยุดวิ่งแค่นั้นแหละ ฟังดูแล้วมันส์ได้ไงก็ลองไปหาดูแค่นั้นแหละที่บอกได้

เอาเป็นว่าทั้งลุ้นทั้งมันส์ทั้งเรื่องโดยไม่ต้องมีอะไรมากมายแค่ลุ้นเสียวไปตลอดระยะทางที่รถวิ่ง นับว่าสมชื่อ Speed แถมยังแจ้งเกิด Keanu Reeves จนเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมาดแข็งทื่อแต่เก่งจนเรียกว่าอะไร ประมาณว่ามาดเข้มล่ะกัน เรื่องนี้แน่ะนำไปหาดูกันให้ได้โดยเฉพาะภาคแรกภาคนี้เท่านั้น ที่ต้องย้ำเพราะภาคต่อนั้นสุดแสนจะว่าไงดี ทั้งที่ผู้กำกับคนเดิมแต่อารมณ์หนังมันคนละขั้วโลกมาก ส่วนสถานการณ์เปลี่ยนเป็นเรือยอร์ชแบบโล่งๆในทะเลไม่เสียวไม่ลุ้นไม่ต้องพะวงว่าจะชนอะไร บอกแค่นี้จะดูภาคต่อไหมล่ะ ถ้าภาคแรกคือสิ่งที่ล้ำค่าภาคต่อคงเป็นเม็ดทรายไปเลยถ้าจะเอามาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าอยากลองสัมผัสก็น่าจะได้อยู่เพราะ Sandra Bullock ยังคงเล่นเป็นนางเอกแสนน่ารักเช่นเคยเพียงแค่ว่าพระเอกเปลี่ยนคนนะเออ

I Saw the Devil (2010) เกมโหดล่าโหด

I Saw the Devil (2010)
เกมโหดล่าโหด
Director: Kim Jee-woon
Genres: Action | Crime | Drama | Horror | Thriller
Grade: A+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก ฉันตามแค้นปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ จับปีศาจทรมาน ฉันปล่อยปีศาจ เฝ้าดูมองปีศาจ สู้กับพวกปีศาจ ฉันปล่อยปีศาจ ปีศาจฆ่าคนที่ฉักรัก จับปีศาจทรมาน ให้ปีศาจรู้คำว่าเจ็บ ฉันกลายเป็นปีศาจ"

Phone Booth (2002) โฟนบูธ วิกฤติโทรศัพท์สะท้านเมือง

Phone Booth (2002)
โฟนบูธ วิกฤติโทรศัพท์สะท้านเมือง
Director: Joel Schumacher
Genres: Crime | Thriller

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

อันที่จริงมันควรจะเป็นหนังเก่าแก่แล้วด้วยซ้ำเพราะว่าพล็อตเรื่องที่เขียนโดย Larry Cohen มีแนวคิดมาตั้งแต่ช่วงยุค 60s แล้ว แถมยังเคยนำไปเสนอผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Alfred Hitchcock มาก่อนจนทั้งกลายเป็นที่น่าสนใจอยากจะสร้างเป็นหนังจริงๆจังๆขึ้นมา แต่เกิดปัญหาเรื่องทางด้านเนื้อเรื่องที่ยังหาความสมเหตุสมผลไม่ค่อยได้ และปัญหานั้นมาจากการทำยังไงให้คนถูกกักอยู่ในตู้โทรศัพท์ จะว่าลอยๆเหมือนใน The Birds (1963) ก็ไม่ได้(อันที่จริงการจู่โจมของนกมีเหตุผลซ้อนอยู่เพียงแค่ว่าแรงจูงใจยังไม่กระตุ้นผู้ชมในบางคนมากเท่าไหร่จึงเหมือนนกบ้าคลั่งมากกว่า) เมื่อความสมเหตุสมผลหาไม่ได้งานจึงพับเก็บยาวนานจนผ่านไปประมาณ 30 ปีต่อมาก็ได้ไอเดียที่น่าสนใจ ซึ่งเจ้าไอเดียนี้มาจากการนำมือปืนเข้าไปเอี่ยวด้วย พูดง่ายๆคือที่โดนกักอยู่ในตู้โทรศัพท์เป็นเพราะโดนมือปืนที่ซุ่มยิงแอบอยู่ที่ไหนสักที่กำลังขู่บางอย่าง พอได้แนวๆนี้จึงเสนอแล้วได้ไฟเขียวบอกตกลงให้สร้างได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายที่เจ้าเก่าที่อยากสร้างก็ไม่อยู่เสียแล้วจึงได้ผู้กำกับอีกคนหนึ่งคือ Michael Bay และเหมือนจะมี Will Smith มาร่วมเล่นซะด้วย(นี่ถ้าคิดเล่นๆตัวหนังคงไม่ใช่แค่อยู่ในตู้โทรศัพท์แน่นอน หรือจะมีระเบิดเผากระท่อมรอบตู้ก็เป็นได้)  ทว่าข่าวเงียบไร้วี่แววไม่ก้าวหน้าจนสุดท้ายผู้กำกับ Joel Schumacher ที่เกือบแจ้งจบใน Batman & Robin (1997) มาคว้างานนี้เองเพื่อแก้หน้า และกลายเป็นหนังที่เจ๋งกว่างานก่อนหน้านี้หลายเท่าจริงๆ
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)