Back to the Future (1985) เจาะเวลาหาอดีต

Back to the Future (1985) | เจาะเวลาหาอดีต
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi
Grade: S

"ขอรับประกันว่าถ้าพูดถึงหนังไซไฟสักเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาต้องมี Back to the Future ติดโผล่ในอันดับหนังที่อยากแนะนำอย่างแน่นอน"

เรื่องได้เกิดขึ้นในปี 1985 กับหนุ่มมาร์ตี้ แมคฟลาย (Michael J. Fox) ที่มีชีวิตครอบครัวอันตกต่ำเพราะถูกกดดันจากบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) ผู้เป็นหัวหน้างานเจ้าบงการให้จอร์จ แมคฟลาย (Crispin Glover) พ่อของเขาทำงานให้แทน ซึ่งนั้นกลายเป็นปัญหาสุดหน่ายของมาร์ตี้ที่น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทว่าเหมือนเรื่องราวกำลังจะเปลี่ยนไปจากการรู้จักดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ผู้สามารถค้นคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ทดลองต่างๆมากๆไม่ต่างกับของเล่น แต่วันนี้ได้อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่ไม่เหมือนอย่างเคยเพราะสิ่งนั้นคือไทม์แมชชีน เป็นยานเจาะเวลาที่สร้างขึ้นมาจากรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานอะตอมนิวเคลียร์ โดยคืนนี้จะมีการทดลองใช้รถข้ามเวลานี้ว่าสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ทว่าหลังจากผ่านการทดลองไปได้ด้วยดีก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้าจนเป็นเหตุบังเอิญทำให้มาร์ตี้เจาะเวลาข้ามไปอดีตอย่างไม่ทันตั้งใจ และเวลาที่มาร์ตี้ย้อนกลับไปคือ 30 ปีก่อน เป็นปี 1955 นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่เขายังไม่เกิดแน่ๆ ซึ่งรวมถึงพ่อกับแม่ (Lea Thompson) ของเขายังไม่รักกันด้วย ซึ่งปัญหามันอยู่หลังจากนี้ที่ว่าเขาจะกลับบ้านยังไงในเมื่อพลังงานหมด


หลังจากที่มาร์ตี้ข้ามเวลาไปสู่ปี 1955 อย่างไม่ตั้งใจเพราะสถานการณ์พาไปก็กลายเป็นว่าเขาต้องติดอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง รวมถึงที่ว่าเขาจะกลับไปสู่ยุคของตัวเองยังไงในเมื่อปราศจากพลังงานที่หาไม่ได้ง่ายๆในยุคนี้ ถ้านั้นคือปัญหาชิ้นใหญ่ต้องตอบว่าไม่ใช่อีกแล้วเพราะหลังจากข้ามเวลามาอยู่ในยุคสมัยนี้ทำให้เขาได้เจอกับคนที่ตัวเองคุ้นเคยอย่างดีที่สุด คือพ่อกับแม่ที่ยังเป็นวัยรุ่นที่ตอนนั้นยังไม่ได้จีบกันเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องวุ่นๆก็พาทำให้มาร์ตี้ไปสลับตำแหน่งกับพ่อของตัวเองจากแทนที่แม่ควรจะไปหลงเสน่ห์พ่อ กลายเป็นว่าแม่ไปชอบมาร์ตี้ซะแทน จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่ถ้าเวลานี้พ่อกับแม่ไม่ได้รักกันเขาในอนาคตจะไม่มีตัวตนอีกต่อไป เท่านั้นยังไม่จบกับศัตรูตัวฉกาจบีฟที่เล่นงานพ่อไม่จบสิ้นทุกวี่ทุกวันจนเขาเองต้องลงมือช่วยจัดการเข้าช่วย นอกจากจะต้องทำให้พ่อกับแม่รักกันให้ได้แล้วยังต้องจัดการบีฟจอมวางอำนาจ เท่านั้นยังไม่พอกับดร.เอ็มเมทตอนหนุ่มที่ยังไม่มีความคิดเรื่องเจาะเวลาว่าจะทำยังไงต้องมาทำให้เจ้ารถข้ามเวลาทำงานให้ได้อีกครั้งเพื่อส่งมาร์ตี้ไปอนาคต แต่ผลลัพธ์มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ

หนังเขียนบทโดย Robert Zemeckis และ Bob Gale โดยพล็อตส่วนใหญ่ได้มาจากรายหลังที่เกิดไอเดียอยากย้อนเวลาไปหาพ่อสมัยหนุ่มๆจากการไปเปิดสมุดรุ่นดู ซึ่งไอเดียนี้เดิมทีการย้อนเวลาไม่ได้มาจากรถยนต์ที่ดัดแปลงเป็นไทม์แมชชีนแต่เป็นตู้เย็นต่างหากที่เป็นไทม์แมชชีน(ก่อนหน้าตู้เย็นคือใช้เลเซอร์ยิงเจาะเวลามิติ แต่คิดว่าดูธรรมดาสามัญไปจึงเปลี่ยน) ทว่าความคิดเรื่องนี้ได้ถูกทิ้งไปเพราะความไม่เห็นด้วยระหว่าง Robert Zemeckis กับ Steven Spielberg ที่ไม่อยากให้เด็กดูแล้วคิดเลียนแบบอยากทำตามปีนเข้าตู้เย็นแล้วออกมาไม่ได้เพียงเพราะเด็กคิดว่าเมื่อเข้าไปคงย้อนเวลาได้บ้าง ด้วยเหตุนี้พล็อตแรกจึงถูกตัดออกไปแล้วใช้รถยนต์แทน ซึ่งมันดูเหมาะอย่างมากในการใช้รถที่วิ่งด้วยความเร็ว 88 ไมล์ต่อชั่วโมงแล้วผสานกับวงจรพลังงานอะตอมนิวเคลียร์จนเกิดพลังงานพาข้ามเวลาไปตามที่กำหนดเป้าหมายเอาไว้ได้ ฟังดูเข้าท่ากว่าตู้เย็นเยอะเลย แต่ที่เข้าท่ากว่าคือเรื่องเจาะเวลานี้แหละที่พอได้นั่งไทม์แมชชีนเมื่อไหร่ความสนุกก็เทมาไม่ยั้งทันที ส่วนจะสนุกมากมายแค่ไหนขอรับประกันให้หาชมมาทันทีเลย


สิ่งที่ทำให้ Back to the Future รู้สึกสนุกตลอดทั้งเรื่องคือการวางปมปัญหาเอาไว้หลายอย่าง และไล่ลำดับคลี่คลายปัญหาไปทีละอย่างโดยไม่ทิ้งเอาไว้ให้คาใจ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยแล้วยังเป็นการทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินตลอดเวลาจนแทบไม่มีการพักใดๆ อาจจะเสียเวลาไปบ้างในช่วงแรกๆของหนังที่พยายามปูพื้นฐานตัวละครทั้งหมดด้วยภาพลักษณ์ของเวลาปัจจุบันว่าเป็นยังไงบ้างจนผู้ชมเห็นสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวแมคฟลายได้อย่างเข้าใจในระดับเบื้องต้นว่าแม่ของมาร์ตี้เป็นยังไง ทำไมบีฟถึงเป็นเจ้านายทั้งที่พ่อมาร์ตี้ฉลาดกว่า รวมถึงเหตุผลหลายอย่างที่ช่วงแรกหาคำพูดอธิบายเอาไว้ในอดีตอย่างแม่เจอพ่อได้เพราะอะไร และย้อนอดีตกลับไปจะทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่หนังปล่อยมุขกัดจิกขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องหาความหมายเพิ่มเติม ใช่แล้วนอกจากจะมีความต่อเนื่องที่ลื่นไหลกับความเป็นไซไฟที่ดูตื่นตาแล้วยังมีความตลกขบขันที่ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างดีเหมาะสมกับผู้ชมทั่วไป ผลก็คือดูเพลินเข้าใจง่ายไม่มีวิทยาศาสตร์เข้ามาอธิบายจนถึงกับงงงวงแค่ข้ามเวลาไปหาอดีตแล้วทำให้ทุกอย่างดูเป็นปกติอย่างที่สมควรเป็นเพื่อรักษาองค์ประกอบของเวลาให้เหมือนเดิม เป็นพื้นฐานความเข้าใจง่ายๆที่ตัวหนังนำเสนอ อย่างถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกันมาร์ตี้ในอนาคตจะหายไป ดังนั้นเมื่อมาร์ตี้ไปทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนไปเขาต้องกลับมาแก้ไขเพื่อตัวเองในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าการทำให้ทุกอย่างปรับมาเข้ารูปเข้าทางไม่ได้ง่ายเพราะมีอุปสรรคตลอดเวลาทั้งเรื่องและการแก้ปัญหานี่แหละคือจุดพลิกล็อคในการให้ความสำคัญว่าไม่ควรทำอะไรที่โดดเด่นเกินไป เป็นที่น่าจดจำมากไป หรือไปทำอะไรที่ส่งผลต่อเวลาในอนาคต ถือเป็นการบีบเค้นตัวเองให้ต้องคิดแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูอย่างการไปปลุกเน้าความคิดพ่อของมาร์ตี้ด้วยการใส่ชุดป้องกันรังสีที่สมัยนั้นไม่มีแล้วมาบอกว่ามาจากนอกโลก จะว่าไปในสมัยนั้นเรื่องไซไฟวิทยาศาสตร์กำลังเป็นที่ฮิตน่าสนใจระดับหนึ่งทีเดียว ที่ดูขบขันคงจะไม่พ้นฉากที่มาร์ตี้เจาะเวลาไป 30 ปีแล้วไปลงจอดที่ไร่ก่อนภายหลังเจ้าของบ้านจะมาเห็นในสภาพชุดสีเหลืองพร้อมกับของแปลกตา(รถยนต์)จนเจ้าของบ้านคิดว่าเอเลี่ยนบุกโลก จะว่าไปรูปลักษณ์เหมือนกับหน้าปกนิยายไซไฟสมัยก่อนเลยแหะ


การดำเนินเรื่องฉับไวและประติดประต่อเรื่องราวชวนลุ้นอยู่หลายรอบ แต่ที่น่าสนใจสุดๆคือการคัดนักแสดงแต่ละคนมาสวมบทบาทได้เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไม่ขัดตาเลยสักบทบาท เช่น Michael J. Fox ในบทมาร์ตี้ที่ดูเป็นหนุ่มสง่า กล้าได้กล้าเสีย และพร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาได้ทุกเวลา สรุปคือเหมาะกับบทเด็กรุ่นที่ยังใช้ความรู้สึกส่วนตัวไม่ต่างกับการใช้ความคิดแก้ปัญหา ทำให้ดูมีความหลากหลายที่น่าสนใจและน่าจดจำอยู่หลายฉาก แต่รู้ไหมว่าก่อนหน้านี้คนที่จะมาเล่นบทมาร์ตี้คือ Eric Stoltz อันที่จริงเล่นไปแล้วด้วยซ้ำหลายฉาก แต่เผอิญว่าไม่เป็นที่น่าพึ่งพอใจเท่าไหร่เพราะการแสดงกับภาพลักษณ์ดูไม่ค่ยเหมาะสมเท่าไหร่ถึงเปลี่ยนเป็น Michael J. Fox แทนตามที่เราเห็นนั่นแหละ ซึ่งเจ้าตัวใช่ว่าจะว่างเสมอเวลา เนื่องจากกำลังยุ่งอยู่กับงานซีรี่ย์เรื่อง Family Ties (TV Series 1982–1989) และเพื่อไม่ให้เสียการเสียงานจึงแบ่งเวลาแบบเอาเป็นเอาตายเล่นมันทั้งสองเรื่องจนได้และยังเล่นได้ดีราวกับคนปกติอีกต่างหาก หลังจากเลือกนักแสดงคนใหม่มาเล่นเล่นบทมาร์ตี้ทีมงานต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อแข่งกับเวลา เพราะเมื่อเปลี่ยนตัวเอกไปจึงไม่ต่างกับถ่ายใหม่แทบทั้งเรื่อง และเพราะแบบนั้นการทำงานจึงดูรอบคอบไม่ปล่อยให้เวลาสูญเสียไปเปล่าๆ รู้สึกจะถ่ายแก้เสร็จภายในร้อยวันน่าจะได้ ขนาดว่ารีบยังได้งานระดับมาสเตอร์เชียวนะเนี้ย


ถ้ามาร์ตี้เป็นที่น่าจดจำแล้วคงต้องไม่ลืมเขาคนนี้ผู้สร้างเครื่องเจาะเวลากับดร.เอ็มเมท บราวน์หรืออีกชื่อสั้นว่าด็อก ได้นักแสดง Christopher Lloyd มาเล่นจนตัวเองมองคิดเลยว่าจะมีใครมาเทียบการแสดงในบทบาทนี้ได้ ด้วยท่าทางเชิงเพี้ยนๆกวนๆ มีความคิดแปลกประหลาดบวกกับทรงผมที่ฟูทั้งหัวแสดงถึงความยุ่งเหยิง ทำตาโตคล้ายเจอเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อ สมกับเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องของแท้เลยแต่ยามปกติก็ปกติดีนะ ไม่ได้เป็นพวกเจ้าเข้าทั้งเรื่อง นี่ก็เป็นตัวละครที่นอกจากจะขาดไม่ได้แล้วยังเด่นด้านการแสดงและเอกลักษณ์หน้าตาอีกด้วย ทั้งยังเป็นตัวสำคัญที่ช่วยเพิ่มมิติเนื้อเรื่องให้น่าตื่นตามากขึ้นหลายเท่า เท่านั้นยังไม่หมดหลังย้อนไปอดีตจะเห็นว่านักแสดงที่เราเห็นในบทพ่อกับแม่รวมถึงบีฟมาจากการเมคอัพให้แก่กันหมด อันที่จริงหน้ายังใสกันอยู่เลยอย่างนักแสดง Lea Thompson ที่เล่นเป็นลอเรนแม่ของมาร์ตี้ที่ดูสวยใสน่ารักผิดกับตอนแก่ที่ดูเข้มงวดราวกับฟ้าดิน นับว่าทีมงานฝีมือแต่งหน้าทำได้ดีในการแปลงโฉมหน้าให้จากสวยกลายเป็นชราแลขี้บ่นได้ ทั้งนี้ต้องมาจากการแสดงที่เจ้าตัวทำได้เนียนกับคาแรกเตอร์สวยใสแบบอินโนเซ็นต์ที่มาพร้อมกับมุขตลกร้ายที่ส่อแววตาส่งให้มาร์ตี้ว่าคือชายในฝัน กลายเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องไปซะแล้วเมื่อแม่ที่ไม่รู้ตัวกำลังจะจีบลูกของตัวเอง เห็นแล้วก็ขำขันทีเดียวเพราะท่าทางอะไรไปหมดเลย ปัญหาคงอยู่ที่พ่อของมาร์ตี้ว่าจะจีบติดได้หรือเปล่า


และคนที่เล่นเป็นพ่อมาร์ตี้คือ Crispin Glover มาในสภาพที่ดูขี้แพ้แบบสุดๆ ไร้ความกล้าใดๆเลยแถมยังอ่อนแอปวกเปียกอย่างกับอะไรดี แม้แต่มาร์ตี้ยังบ่นทันทีว่าใช่พ่อของเขาแน่เหรอเพราะสภาพมันไม่ให้แต่อย่างใด ในเนื้อเรื่องเป็นพวกไม่เอาไหนแต่พอเห็นการแสดงคงต้องขอปรบมือที่การแต่งกายเอยท่าทางเอยหรือกระทั่งทรงผมที่แบบโดยรวมก็พวกขี้ก้างไม่สู้ใครดีๆนี่เอง แต่เห็นแบบนี้เวลากล้ายังพยายามปลุกใจตัวเองตลอดอย่างตอนไปจีบลอเรนด้วยท่าทางครึ้กครื้นก่อนจะไปที่บาร์แล้วสั่งนมสดช็อกโกแลต อึ้งไปเลยกับการสั่งนมสดเพราะดูท่าทางแล้วไปไม่รอดแน่ๆ แต่ฮาจริงฉากนี้เพราะจังหวะมันให้มากๆ แต่เชื่อไหมว่าเวลาที่มีความกล้าจริงๆขึ้นมาดูกลายเป็นอีกคนไปเลยคล้ายกับได้ปลดเอกจากตัวเองแล้วระเริงอย่างมีความสุขที่พร้อมตะโกนในใจว่าตัวเองทำได้แล้วประมาณนี้ เมื่อมีพระเอกนางเอกกันแล้วย่อมไม่ขาดตัวร้ายที่เล่นโดย Thomas F. Wilson ในบทบีฟกับบุคลิกที่บ้าดีเดือดใช้กำลังมากกว่าเหตุผลแถมยังเป็นพวกเห็นแก่ตัว สรุปคือร้ายทั้งตัวเลยนั่นแหละ นับเป็นสีสันที่บางครั้งมาพร้อมกับมุขตลกจนบางครั้งเห็นแล้วน่าเวทนา ประมาณว่าตัวหนังแก้เผ็ดตัวร้ายให้อยู่สภาพโทรมไปเลยส่วนคนที่ถูกแกล้งก็กลับมามีความสุขอีกครั้งอย่างสบายใจ

การคัดนักแสดงทำได้ดีเล่นได้ทุกบทบาทอย่างสมหน้าสมเนื้อ การดำเนินเรื่องช่วงแรกอืดไปหน่อยแต่พอเข้าใจในส่วนที่อืดคือโอเคในส่วนนั้นทันทีแล้วจะเข้าใจว่าเวลาที่อืดดูมีความหมายกับคำอธิบายที่เข้าใจคล้ายเป็นการบางบอกว่าทุกเวลาของหนังล้วนมีค่า ส่วนเอฟเฟคว่าไปตามยุคสมัยแต่เหมือนเรื่องนี้จะกลั่นกรองมาดีในส่วนที่ไม่เว่อร์เกินไปไม่อลังการไป มากำลังดีพอเหมาะกับแนวไซไฟผจญภัยแถมยังไม่จำเป็นต้องยึดติดว่ากับพวกเอฟเฟคที่ต้องน่าอัศจรรย์แต่เป็นเนื้อเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นอีกเรื่องที่สนุกจนวางไม่หลงกันเลย


เห็นว่าเป็นหนังย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตย่อมมีข้อคิดดีๆกลับไม้กลับมื้อเป็นเรื่องธรรมดา และคงไม่พ้นเรื่องโอกาสที่เราควรจะทำก่อนที่จะเสียโอกาสไป ทั้งเรื่องใกล้และไกลตัวที่อาจเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราได้ราวพลิกฝ่ามือ ไม่ว่าจะเป็นการจีบผู้หญิงที่รักที่ถึงแม้คนนั้นจะบอกปฏิเสธแต่เราก็ภูมิใจที่บอกให้ฟังว่ารู้สึกยังไง ความกล้าที่เรายังไม่ลองเผชิญกับความกลัว การทำเพื่อตัวเองให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งการทำเพื่อคนอื่น เวลามีมาเสมอจะเหลือแต่เราคว้าสิ่งนั้นได้สำเร็จหรือไม่ และเมื่อเราได้โอกาสในส่วนนั้นมาจะทำยังไงให้โอกาสนั้นมีคุณค่าของความสำเร็จและปลื้มปิติในสิ่งที่ทำ แต่ประเด็นไม่ได้หมดแค่นั้นว่าเราจะได้โอกาสแล้วทำสำเร็จแต่อยู่ที่เลือกว่าจะทำอะไร บางคนใช้โอกาสในทางที่ผิดเพื่อเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงคนอื่น บ้างเพื่อไม่ให้ใครได้โอกาสนั้นแล้วปล่อยมันไปอย่างนิ่งเฉย โดยแต่ละโอกาสถ้าเราทำดีย่อมส่งผลดีในอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าทำไม่ดีย่อมส่งผลเลวร้ายในอนาคตได้เช่นกัน ดังนั้นเวลาคือสิ่งจำเป็นที่ต้องคว้าเข้ามาแล้วทำดีให้ถึงที่สุดเพราะเราไม่อาจแก้ไขในเวลาที่ผ่านไปได้ เนื่องจากสิ่งนั้นไม่ใช่เงินที่เราอาจได้ทอนหรือเพิ่มกลับมาเมื่อเวลาผ่านไปมันผ่านไปเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)