Biri Gal (2015) | บีลี่เกล สาวน้อยวัยวุ่น
Director: Nobuhiro Doi
Genres: Comedy | Drama
Grade: S
"มีความสุขมากๆกับหนังเรื่องนี้และช่วยให้ใจพองโตขึ้นมาเลย ยิ่งกับใครที่คิดว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้หรือหมดความพยายามขอแนะนำเรื่องนี้เลยนะ ถือว่าช่วยฟื้นกำลังใจได้มากทีเดียว ถ้าไม่ยอมแพ้ต่อให้อุปสรรคใหญ่แค่ไหนก็ฝ่าไปได้"
หนังเรื่องนี้ที่สร้างจากนวนิยายชื่อ "Gakunen Biri no Gyaru ga 1 nen de Hensachi o 40 Agete Keio Daigaku ni Geneki Gokaku Shita Hanashi" (ชื่อยาวจังแหะ) เขียนโดย Nobutaka Tsubota ที่นำชีวิตจริงของ Sayaka Kobayashi มาเล่าถึงช่วงชีวิตม.ปลายที่ไม่เอาไหนเรื่องเรียนแต่สามารถสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยความสามารถของเธอเอง เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่เล่าถึงชีวิตของ ซายากะ (Kasumi Arimura) ว่าก่อนถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
เริ่มต้นตั้งแต่ซายากะยังเป็นเด็กที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งจน อาจัง (Yô Yoshida) หรือแม่ต้องออกมาปกป้องและทำให้ต้องย้ายโรงเรียนเพื่อสังคมที่ดีกว่า ทว่าการย้ายโรงเรียนทำให้ซายากะพบเพื่อนใหม่จนกลายเป็นคนติดเพื่อน วงจรชีวิตจึงติดอยู่กับการเที่ยวเล่นเป็นส่วนใหญ่ ผลการเรียนจึงตกต่ำพร้อมกับถูกมองจากอาจารย์เป็นเพียงขยะของสังคม เช่นเดียวกับ พ่อของซายากะ (Tetsushi Tanaka) ที่ไม่ได้สนใจเพราะเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไม่เอาไหนจนไม่น่าจะมีอนาคตที่ก้าวไกล ด้วยคำกล่าวหาที่มากมายทำให้ซายากะต้องลบคำสบประมาทนี้ออกจากตัวเธอ วิธีที่จะทำให้ทุกคนเห็นว่าเธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเคโอได้
ซายากะเป็นตัวละครมีปมตั้งแต่เด็ก สิ่งแรกคือเรื่องเพื่อนที่ถูกกลั่นแกล้งจนแม่ต้องเข้ามาปรึกษาคุยถึงห้องปกครอง ทว่าการพูดคุยระหว่างอาจารย์กับคนเป็นแม่มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทางอาจารย์มองเป็นเรื่องปกติของเด็กที่ต้องมีพฤติกรรมกลั่นแกล้ง อีกทั้งยังเป็นเรื่องของเด็กที่ต้องรู้จักเติบโตมีถูกมีผิดเป็นเรื่องธรรมดา กลับกันแม่ซายากะรู้สึกไม่ใช่หนทางที่ดีหากปล่อยไว้เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะแกล้งกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องย้ายโรงเรียนและได้เพื่อนสนิทที่เก่งเรื่องสวยเรื่องเที่ยวจนเสียการเรียน
ทว่าแค่นั้นยังไม่หมด หากพูดถึงซายากะที่เปลี่ยนแปลงตามเพื่อนเรื่องแฟชั่นจนเป็นสาวเกล(เรียกอีกอย่างว่า Miniskirt มีสไตล์การแต่งตัวกระโปรงสั้นมากและย้อมผมสีบลอนด์ แนวโน้มการแต่งกายเริ่มต้นจากนักร้องญี่ปุ่นยอดนิยมชื่อ Namie Amuro ในช่วงยุค 90s) จากนักเรียนสาวหน้าใสกลายเป็นสาวแต่งตัวตามรสนิยมที่ทำตัวไฮโซด้วยเครื่ององค์แต่งหน้าแต่งตาจนใครก็มองสวย แต่ไม่ใช่แค่แฟชั่นที่เธอตามเท่านั้นเพราะยังรวมถึงพฤติกรรมที่มองว่าเท่อย่างการสูบบุหรี่ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ถูกพักการเรียนโดยที่แม่ของซายากะก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อถูกพักการเรียนก็ไม่มีทำและดีไม่ดีจะเรียนตามเพื่อนไม่ทันแม้ว่าตัวเองจะตามไม่ทันอยู่แล้ว ทำให้ต้องหาครูนอกเวลามาช่วยสอน ซึ่งคนนั้นๆคือ โยะชิทะกะ สึโบะตะ (Atsushi Itô) ครูสอนพิเศษที่ปลุกปั้นนักเรียนเตรียมพร้อมกับอนาคตด้วยสไตล์การสอนที่หาไม่ได้ในโรงเรียน ที่ว่าหาไม่ได้เพราะสิ่งแรกคือการแสดงความเป็นกันเองกับลูกศิษย์ในแบบเพื่อน สิ่งที่สองคือการเข้าอกเข้าใจโดยที่ไม่ดุว่ากล่าวใดๆทั้งสิ้นและให้กำลังใจทุกครั้ง และสิ่งสุดท้ายที่นอกจากจะสนิทแบบเพื่อนและรู้ใจคือการต่อสู้ไปด้วยกัน
โยะชิทะกะคือครูที่น่าชื่นชมที่สามารถปรับตัวเข้าหาลูกศิษย์ได้ทุกคน จะมาในรูปแบบไหนก็เข้าถึงเพราะใช้จิตวิทยาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ตรงจุด จะติดไอดอลหรือติดเกมก็แปลสภาพอาการเหล่าให้เป็นความมุ่งมั่นในการเรียนได้หมด อย่างเช่น เรย์จิ (Shûhei Nomura) เด็กติดเกมจนต้องส่งตัวมาให้โยะชิทะกะจัดการให้ ซึ่งวิธีจัดการเปลี่ยนเกมมาเป็นหนังสือเรียนคือการเอาใจเขามาใส่ใจเราก่อน จะบอกให้ไปอ่านหนังสือทำแบบฝึกหัดนั้นนี้แล้วใครจะไปอยากทำเพราะเหมือนถูกบังคับ ฉะนั้นก่อนจะให้อ่านหนังสือเรียนแทนเล่นเกมต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมถึงสนใจเกมมากกว่า เมื่อรู้สาเหตุแล้วต่อไปจะทำยังไงให้เรื่องเรียนสำคัญไม่แพ้เกม
ต้องยอมรับว่าวิธีการของโยะชิทะกะแต่ละอย่างทำให้เห็นคุณค่าของการเรียนทุกครั้งแต่ไม่มีการพูดถึงว่าสำคัญยังไงหรือต้องเป็นแบบไหน แค่พยายามแนะนำแนวทางว่าต้องมีอะไรบ้าง ส่วนที่เหลือให้ไปจัดการบริหารเอาเองเพื่อไม่เป็นการกดดันจนเกินไป สำหรับซายากะแทบไม่มีองค์ความรู้ใดๆเลยนอกจากเรื่องแฟชั่นทำให้แบบทดสอบแรกทำได้ศูนย์คะแนน ทว่าการไม่มีคำตอบที่ถูกทั้งหมดไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะโยะชิทะกะเห็นถึงความพยายามในการหาคำตอบ อีกทั้งยังพยายามหาคำอธิบายว่าทำไมต้องตอบแบบนี้อีกด้วย สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจแต่ขาดแค่องค์ความรู้เท่านั้น
วิธีการสอนของโยะชิทะกะกับซายากะเต็มไปด้วยความสนุกที่ไม่เหมือนลูกศิษย์กับครูอย่างที่เห็นในโรงเรียน แต่เหมือนเพื่อนที่ฉลาดกว่าคอยแนะนำแนวทางการสอนเพื่อนที่ฉลาดน้อยกว่า ไม่รู้สึกกดดันหรือซีเรียสและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บางครั้งยังแอบทดสอบด้วยการถามขึ้นมากระทันหันเพื่อทบทวนความรู้โดยทำเป็นเกมชนิดหนึ่งขึ้นมา เกมที่ว่าหากซายากะตอบไม่ถูกจะต้องแกะขนตารวมถึงทุกอย่างที่ตกแต่งมาเพื่อความสวยงาม(สุดท้ายซายากะไม่เหลืออะไร แต่นี่เป็นการสอนอย่างหนึ่ง โดยต้องการบอกว่าคนเราสวยได้แม้หน้าสดหรืออีกนัยหนึ่งจงมั่นใจกับตัวเองและให้ละทิ้งเรื่องแฟชั่นไปก่อนเพื่อไม่เป็นการรบกวนสมาธิ)
นอกจากสไตล์การสอนที่เป็นกันเองแล้วยังมีรูปแบบการนำเสนอความรู้ที่ง่ายและน่าสนใจ เนื่องจากเวลาอยากได้ความรู้ก็มักจะได้ตำราที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าเบื่ออุดมด้วยตัวหนังสือวิชาการ แต่โยะชิทะกะสามารถหาเนื้อหาสาระที่น่าอ่านนั้นจากหนังสือการ์ตูน เป็นการบอกถึงบางครั้งตำราหนังสือเรียนไม่ได้เหมาะสมกับความเข้าใจได้ทุกคนเสมอไป อาจต้องมีการปรับประยุกต์วิธีเล่าให้ง่ายขึ้นสำหรับบางคน ซึ่งกว่าจะสอนได้ทุกรูปแบบตามเอกลักษณ์แต่ละคนถือว่ายากและนั้นคือการบ้านของโยะชิทะที่ต้องหาอะไรใหม่ๆมานำเสนอแก่ลูกศิษย์
แต่ตัวหนังไม่ได้พูดถึงเรื่องการเรียนพิเศษเท่านั้น แต่ยังมีของครอบครัวที่กลายเป็นปมปัญหาใหญ่ค้างคากันมานาน ไม่ว่าจะแม่ของซายากะที่เคยถูกกล่าวว่าตั้งแต่เด็กจนเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจจนไม่อาจเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ตอนโต ดังนั้นจึงไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเลยปล่อยให้เลือกหนทางตัวเองและพยายามปกป้องมาตลอด ส่วนพ่อของซายากะไม่ยินดียินดาหรือให้กำลังใจเลยแม้แต่น้อยเพราะคิดว่ายังไงเสียลูกสาวของตัวเองไม่เอาไหนอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงฝากความหวังไว้กับลูกชายปลุกปั้นเป็นนักเบสบอลสร้างชื่อเสียงแก่ครอบครัว แต่หารู้ไม่ว่าการสั่งสอนให้เป็นนักเบสบอลนั้นเป็นความปรารถนาของตัวพ่อเองคนเดียวจากปมในอดีตที่ไม่อาจสานฝันถึงจุดนั้นได้
Biri Gal จัดเป็นหนัง Feel Good ที่รู้สึกดูจบแล้วใจเบิกบานมหาศาล แต่ภายใต้รอยยิ้มต้องเจอความทุกข์ยากมาไม่น้อยและปัญหาที่ต้องแก้แล้วแก้อีก ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนหนังสือแต่เป็นปัญหาครอบครัวที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะบอกคือกำลังใจจากคนในครอบครัวและความรักที่ควรมีให้ต่อกัน ส่วนเรื่องเรียนอยู่ที่ความตั้งใจของเราว่าสู้กันถึงที่สุดหรือยัง ซึ่งผลที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ล้วนเป็นความพยายามที่เกิดจากเราทั้งสิ้น จะสอบติดหรือไม่ผ่านไม่เป็นไรถือว่าได้สู้ได้พยายามมาแล้ว โอกาสยังหาได้เรื่อยๆตราบเท่าที่เรายังไม่แพ้