King Arthur: Legend of the Sword (2017) คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์

King Arthur: Legend of the Sword (2017) | คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์
Director: Guy Ritchie
Genres: Action | Adventure | Drama | Fantasy
Grade: C+

เรื่องราวของดาบเอกซ์แคลิเบอร์วนเวียนกันอยู่ไม่กี่อย่าง แต่อาศัยว่าคือตำนานที่เล่าปากต่อปากกันอย่างสนุกสนานทำให้ได้รับการเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง ขนาดที่บางทีทำให้หนังที่ใช้เรื่องราวนี้เป็นความน่าเบื่อเพราะยังไงเนื้อเรื่องไม่พ้นสิ่งที่รู้กันอยู่ดี แต่ถึงจะพล็อตจะซ้ำซากยังไงก็ต้องขึ้นอยู่กับคนเล่า ซึ่งผู้กำกับ Guy Ritchie เล่าเรื่องได้กวนโอ้ยตามความถนัดของตัวเองจนทิศทางความโบร่ำโบราณกลายเป็นความแปลกที่ไม่มีใครทำเหมือนมาก่อน(หรือในอนาคตอาจไม่มีใครทำเหมือน) นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีคนชอบกันนักชอบกันหนาเพราะมันสดใหม่ไม่เหมือนใครๆ


สิ่งที่คิดว่าแปลกคือมาแนวแก๊งสเตอร์มากกว่าที่จะเป็นหนังชิงบัลลังก์ มาเป็นขบวนการไม่ใช่แนวกล้าหาญซื้อใจประชาชนที่ต้องสู้รบฆ่าฟันเป็นร้อยเป็นพันจึงจะช่วงชิงบัลลังก์คืนมาได้ การวางแผนแต่ละทีจึงเหมือนกองโจรไม่สนว่าเป็นเจ้าชายจะต้องสู้ด้วยศักดิ์ศรีซึ่งๆหน้า อันนี้ขอแค่กำจัดตัวการได้ก็สิ้นเรื่อง จึงไม่แปลกใจถ้าจะรู้สึกแตกต่างกับหนังสู้รบด้วยดาบที่ใส่ชุดเกาะมีกองทัพสั่งลุย แบบสมัยโบราณดั้งเดิมเห็นบ่อยไม่รู้สึกน่าสนใจเท่าไร แต่พอเป็นลูกผสมทำให้ดูร่วมสมัยแบบใหม่ ฉะนั้นต่อให้เรื่องเก่ายังคงน่าติดตามด้วยมุมมองที่ต่างจากเดิม

สิ่งแรกที่เห็นชัดคือความเป็นแฟนตาซีในฉากเริ่มเรื่องที่โชว์งาน CGI กันเต็มที่ด้วยฉากกองทัพช้างยักที่มาพร้อมกับโทนหนังแบบทะมึนมืดราวกับอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความหดหู่ แน่นอนว่าเรื่องเอฟเฟคทำได้ดีหมดจนกระทั่งไปประยุกต์กับมุมกล้องและการตัดต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับ Guy Ritchie ถนัดนักเชียวเรื่องนี้ ทำให้ได้แอ็คชั่นแปลกตาไม่เหมือนดาบปะทะดาบที่เห็นแล้วก็งั้นๆเพราะเต็มไปด้วยท่วงท่าที่ให้ความมันส์ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนไม่รู้สึกจำเจแถมยังรู้สึกถึงพลังที่รุนแรงอีกด้วย ฉะนั้นเรื่องแอ็คชั่นยกนิ้วให้เลย


กระนั้นแอ็คชั่นจะมันส์แค่ไหนหรือการตัดต่อที่ว่องไวอย่างมีสไตล์จนตื่นเต้นเพียงใดก็ไม่อาจหลบข้อเสียที่ใหญ่หลวงอย่างการเล่าเรื่องได้ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของ อาร์เธอร์ (Charlie Hunnam) ที่ต้องการคืนบัลลังก์คาเมล็อตเพื่อความสงบสุขของประชาชน โดยต้องเข้าต่อสู้กับ วอร์ติเกิร์น (Jude Law) ที่ทรยศหักหลังตามสูตรสำเร็จของหนังประเภทนี้ แต่เป็นความนิ่งความง่ายที่หากเป็นฉากธรรมดาไม่มีลูกเล่นจะรู้สึกเฉยๆจนถึงขั้นน่าเบื่อในทันที เป็นไปได้ว่าจะเล่นเรื่องภาพมากไปทำให้ขาดสมดุลของเนื้อเรื่อง

ถึงเรื่องจะดูธรรมดาแต่สิ่งหนึ่งที่เด็ดไม่แพ้เรื่องมุมกล้องคือนักแสดง ไม่ว่าจะ Djimon Hounsou,Eric Bana และ Aidan Gillen มารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน อีกทั้งต่างคนต่างมีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นทำให้นึกอยากติดตามตัวละครเหล่านี้ แต่บางทีรู้สึกผิดใจกับ Charlie Hunnam ที่เล่นเป็นพระเอกของเรื่องก็ไม่รู้สีกจะเด่นกว่าคนอื่นเท่าไรนัก ถึงจะเท่หรือดูแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจพาสำรวจจิตใจตัวละครให้ลึกซึ้งเท่าที่ควร(แต่เวลาฉากแอ็คชั่นอารมณ์พามันส์เอาเรื่อง) Jude Law เป็นตัวร้ายที่น่าสนใจด้วยปมและประเด็นที่ซ่อนในใจทำให้เห็นหลายมุมมองเกินกว่าจะเป็นตัวร้ายที่โหดเหี้ยมเพียงด้านเดียว


King Arthur: Legend of the Sword ความน่าติดตามของการเล่าเรื่องที่แสนแบนราบทำให้พล็อตที่ว่าซ้ำแล้วดูจืดชืดเข้าไปใหญ่ แต่เว้นให้กับความตื่นเต้นตามฉากแอ็คชั่นที่ประคับประคองให้หนังซื้อใจผู้ชมด้วยลีลามุมกล้อง ทำให้ตำนานเก่าถูกเล่าให้เห็นในลักษณะที่ใหม่และตื่นตาเร้าใจต่างจากหนังทำนองเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจะหวังเนื้อเรื่องคงไม่ได้เพราะยังคงเดิมๆและการเล่ายังไม่เข้มข้นให้รู้สึกสนุกกับแผนชิงบัลลังก์ ที่เข้าท่าได้อารมณ์คือฉากแอ็คชั่นกับลีลามุมกล้องและตัดต่อที่สนุกสุดเหวี่ยงผิดยุคผิดสมัย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)