Videodrome (1983) วีดีโครม

Videodrome (1983) | วีดีโครม
Director: David Cronenberg
Genres: Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: A+

เมื่อไรกันที่ชีวิตคนเราจะต้องมีเอี่ยวกับกับจอสี่เหลี่ยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไรกันที่จอสี่เหลี่ยมนี้มีอิทธิพลมากพอต่อการคุกคามชีวิต และเมื่อไรกันที่โลกความจริงกลายเป็นโลกเสมือนจริงต่อสายตาที่มองจอสี่เหลี่ยม แต่จะอะไรนั้นเรากลับบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังดูมีผลเสียต่อเรายังไงบ้างในแง่การรับชมเพราะเราเลือกได้ว่าจะดูอะไรตามเจตนารมย์ของตัวเอง กระนั้นการเลือกด้วยสำนึกของตัวเองคงไม่พ้นเลยไปกับคำว่าปรารถนาหรืออยากเสียมากกว่าความสงสัย ถ้าในกรณีนี้คือการดูความรุนแรงที่มีการทำร้ายร่างกายจนได้เลือดของเหยื่อที่ร้องคร่ำครวญด้วยความทรมาน สิ่งที่เราคาดคิดคือจะเป็นยังไงต่อไปเกี่ยวกับเหยื่อรายนั้นที่จะกรี๊ดร้องต่อไปได้สักกี่น้ำหรืออาจได้เห็นอะไรที่แปลกใจมากขึ้น เรามีความสงสัยไหมว่าเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งที่เราควรจะมองรายละเอียดในจุดนั้นซึ่งกลายเป็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่บางครั้งเราก็สงสัยทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย นั้นเพราะยังเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับเราที่บอกได้คือยังใหม่ ก็ลองให้กลายเป็นเรื่องปกติไปสิ เอาแบบหนังโป๊ที่ไม่รู้ว่าพระเอกกับนางเอกคือใคร รู้จักหรือไม่ เนื้อเรื่องมีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ลงรายละเอียดไปที่จุดเดียวกับคำว่า "Porn" เราไม่เคยสงสัยมันจะเริ่มยังไงเพียงรู้อย่างหนึ่งคือเอกลักษณ์ของมันแล้วสิ่งนั้นเป็นแบบไหนต่อไปคือสิ่งที่เรากำลังคิดสงสัย


มีอยู่อย่างหนึ่งที่หนังเรื่องนี้กำลังเล่นงานผู้ชมคือการเล่าเรื่องแบบสับสนระหว่างความจริงกับสิ่งสมมุติประหนึ่งภาพหลอนของผู้เสพยาที่มีอะไรเกินจริงเสมอแต่ในขณะเดียวกันก็มีความจริงอยู่ด้วยไม่ต่างกัน เสมือนโลกคู่ขนานที่วิ่งเสียดสีอยู่ใกล้ๆแต่ไม่เคยชนกันเป็นบทสรุปได้เลย มันเพียงแค่กระแทกสลับปะปนเข้ามาในอีกลูปอย่างเลือนลอยที่เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่จนกลายเป็นไม่แน่นอนติดตา ส่วนหนึ่งของเนื้อหาเรื่องนี้อิงมาจากความคิดสมัยเด็กของผู้กำกับ David Cronenberg ที่ดูทีวีขาวดำจนดึกจนสถานีท้องถิ่นหยุดอากาศ ซึ่งหลังจากนั้นจะมีสัญญาณสถานีของอเมริกาเข้ามาแทรกเป็นคลื่นรบกวนเป็นภาพลางๆ ขาดๆหายๆ เสียงสะดุดไปมา แถมบางครั้งสิ่งที่เห็นก็มีอะไรหลายอย่างแม้กระทั่งการฉายคนมีเซ็กซ์หรืออะไรต่อมิอะไร แต่อะไรนั้นแนวคิดเริ่มจากจุดนี้จากความไม่ชัดเจนที่อยากจะตั้งแง่คิดที่ว่าสิ่งที่ดูเป็นคลื่นรบกวนนี้มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากเราที่กำลังดูแล้วเผลอปล่อยจินตนาการใส่จอสี่เหลี่ยมให้เหมือนกำลังถ่ายทอดอยู่หรือเป็นอะไรบางอย่าง บางอย่างจากที่ไหนสักที่หนึ่งที่ถูกมาจากแดนไกลที่เราอาจรู้จักหรือไม่รู้จักก็เป็นได้ และนี้คือแนวคิดเล็กๆที่ทำให้เกิดเป็น Videodrome ที่สื่อในแบบกึ่งจริง

สนัฟฟ์ฟิล์ม (Snuff Film) คืออะไรเมื่อมีสิ่งนี้ปรากฎในหนัง คำถามนี้อาจคาใจแก่ผู้ชมที่ไม่รู้ศัพท์นี้มากนักเพราะไม่มีเหตุจำเป็นต้องเรียกหนังแนวประเภทนี้เว้นแต่ว่า 2 กรณีคือสิ่งที่ถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย แต่เมื่อกล่าวโดยรวมแล้วสนัฟฟ์ฟิล์มคือหนังที่อัดแน่นไปด้วยความวิปลาสไร้ศีลธรรม อุดมไปด้วยความรุนแรง ในขณะที่เนื้อเรื่องมักจะไม่กล่าวลึกอะไรนักเว้นกับหนังที่ถูกกฎหมายเพราะถือต้องการนำเสนอแนวคิดที่จ้องจะเสียดสีสังคม อาทิ Visitor Q (2001) ที่เสนอความจิตตกของครอบครัวหนึ่งที่มีทั้งความรุนแรง เซ็กซ์ ที่เกินคนปกติเขาใช้ชีวิตกัน หรือจะเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอย่าง Man Behind the Sun (1988) กับเรื่องทหารญี่ปุ่นนำคนมาทดลองชนิดไร้คำว่าจรรยาบรรณ และอะไรนี้กับหนังที่ทุกคนคุ้นเคยในฐานะความโหดที่ยากต่อการหาคู่ปรับอย่าง Guinea Pig : Flower of Flesh and Blood (1985) กับการทรมานหญิงสาวตลอดจนหั่นแขนขาที่แรงขนาดไหนนั้น บอกได้เลยว่าถึงกับมีการเข้าใจผิดว่าคือเรื่องจริง ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างเป็นหนังที่ถูกกฎหมาย(ในบางประเทศ)เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงหากเป็นการแสดงเท่านั้น ทว่ากับสนัฟฟ์ฟิล์มที่กฎหมายนี่สิคือของแท้ที่เล่นจริง เจ็บจริง รวมถึงตายจริงๆ! ส่วนเนื้อหาที่ Videodrome ตั้งใจจะนำเสนอนั้นส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของการเสพสื่อที่มาจากแนวคิดของแม็กซ์ เรนน์ (James Woods) ที่ต้องการสร้างรายการที่แปลกแหวกไม่เหมือนใครเพื่อเรียกเรตติ้งผู้ชมสูงๆ แน่นอนว่าในความแปลกนี้เองทำให้เขาพยายาามคิดขนาดที่ว่าตั้งใจลองของเอาสิ่งที่ตัวเองได้เห็นจากการลักสัญญาณมาดูแล้วอัดลงเทปเพื่อนำไปออกอากาศ แต่ไม่ทันได้ออกเขาก็ต้องเจอเรื่องสงสัยเกี่ยวกับวีดีโครมที่ยิ่งลงลึกก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น


ความรู้สึกบางอย่างทำให้ตัวเองนึกถึงหนังเรื่องก่อนอย่าง Scanners (1981) ตรงที่หนังมีประเด็นเล่นกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะเรื่องผลข้างเคียง ในที่นี้เราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์ที่มีหน้าตาหากสิ่งนี้คือการเสพสื่อผ่านทีวี เช่น รายการโชว์ที่ไม่รู้ว่าเราอยากดูเองหรือโดนควบคุมให้ดูกันแน่ ช่วงแรกของหนังเปิดด้วยความไม่ตั้งใจของผู้ให้บริการอย่างแม็กซ์ที่กำลังถูกยิงคำถามผ่านรายการที่กลายเป็นประเด็นเรื่องความแปลกที่ต้องการเสนอผ่านหน้าจอทีวี ในที่นี้หนังไม่มีการพูดถึงการจัดเรทใดๆว่าเหมาะสมหรือไหมเมื่อเด็กดูหรือวัยที่ไม่ควรแก่การจดจ่อต่อสิ่งไม่ควร ในฉากนี้ไม่พูดถึงอะไรเลยในแง่ความไม่เหมาะสมถ้ามีความรุนแรงปรากฎขึ้นบนแถมยังมองว่าเป็นเรื่องที่ปิดยังไงก็ต้องเจอเพราะเป็นศีลธรรมของสังคมที่ต่อให้ไม่มีในทีวีแต่กับชีวิตจริงที่เห็นได้ชัดนั้นก็ต้องเจออยู่ดี และอะไรนั้นคงไม่พ้นความไม่เกรงใจของแม็กซ์ที่เหมือนจะสบายใจเฉิบจนไม่แคร์สื่อขนาดวางท่าจีบผู้หญิงข้างๆชื่อนิกกี้ บราวน์ (Deborah Harry) แต่อะไรนั้นคงไม่สะดุดตาเท่ากับตัวละครหนึ่งในนั้นที่มีลักษณะที่เรียกว่าอยู่ในกรอบหรือบอกง่ายๆคือโผล่มาแค่ในจอทีวีเท่านั้นกับดร.เบรน อ็อบลิเวียน (Jack Creley) ที่ว่ากันว่าไม่ปรากฎตัวพบใครให้เห็นอีกเลย จะมีเพียงแค่หน้าตาและเสียงเท่านั้นที่ผ่านตาดูหูฟังเท่านั้น จุดนี้ให้ความรู้สึกราวกับว่ามิติซ้อนมิติ ผู้ชมดู Videodrome ในจอสี่เหลี่ยม ขณะที่ในจอเหลี่ยมก็มีคนในจอสี่เหลี่ยมอีกทีหนึ่ง อาจไม่จัดว่าแปลกแต่จะประหลาดใจมากหากยิ่งดูเรื่องนี้นานมากขึ้นจนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังดังข้างต้นว่าจริงหรือเท็จล่ะที่นี่

เรื่องของเรื่องเริ่มต้นที่แม็กซ์ไปพบบสัญญาณการออกอากาศจากที่ไหนสักที่ที่กำลังฉายการทรมานคน ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจจึงเก็บอัดเทปวีดีโอเอาไว้และตั้งใจดูในภายหลัง ทว่ากลับเกิดคำถามกับเขาอย่างหนึ่งคือมันน่าสนใจทั้งที่มีเพียงการทรมานทั้งเรื่อง ไม่มีเนื้อหาความเป็นมา ไม่มีการเปลี่ยนฉาก จะมีแค่เค้าความการทรมานเหยื่อตลอดทั้งเรื่อง นั้นเองทำให้เขาสนใจที่น่าจะลองเอามาออกรายการโทรทัศน์รอบดึกที่อุดมไปด้วยเรท X สิ่งนี้พิจารณาได้จากลูกค้าที่เอาตัวอย่างมาให้ดูเพื่อหวังออกอากาศด้วยความโป้เปลือยซึ่งแม็กซ์บอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะการเปลื้องผ้าแก่สายตาผู้ชม สิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมปรารถนาไปกับความหวือหวาทางเพศแต่ต้องมาจากการะตุ้นด้วยสิ่งที่หาดูได้ยาก เมื่อหนังมีการกล่าวถึงความเหมาะสมอย่างการจัดเรทแบบไม่ว่ากันตรงๆกระนั้นหลายสิ่งหลายอย่างได้ชักพาสู่ความถูกต้องที่จะดูด้วยการเข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่มีทีวีวางตามจุดต่างๆโดยถูกแบ่งเป็นบล็อกๆ โดยแต่ละบล็อกมีทีวีหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคนดูซึ่งเราไม่รู้แน่ชัดว่าดูอะไรแต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะดูอะไรก็ได้ที่ตัวเองต้องการ ทว่าตัวหนังได้บ่งบอกในจุดนี้ด้วยการบำบัดอย่างหนึ่งเพื่อหนีต่ออิทธิพลวีดีโครม แล้วเจ้าวีดีโครมคืออะไร ความสับสน สิ่งหลอกลวง การทรมาน หรือกลุ่มที่เป็นเจ้าของการสัญญาณที่ส่งผลกระทบต่อสมองจนเกิดเนื้องอกสร้างจินตนาการให้เป็นจริ


ทีวี+สัญญาณ = สื่อ (ความรุนแรง)
แม็กซ์ + อัดเทป = วีดีโครม
แม็กซ์ = ผู้ชม
"ผู้ชม" ดู "วีดีโครม"

แม็กซ์เสมือนตัวละครจากผู้ที่ต้องการทำรายการออกโทรทัศน์กลายเป็นผู้ชมที่ตกภายใต้การควบคุมของวีดีโครม ตอนนี้ตัวละครนี้ไม่มีความเป็นกลางอย่างหนึ่งเพราะมุ่งเสพแต่ความรุนแรงและไม่มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ต้องการเมื่อเขาเข้าลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของวีดีโครมว่าคืออะไร กับผู้ชมจะได้เสาะหาความจริงไปพร้อมกับแม็กซ์เพราะผู้ชมไม่ต่างอะไรกับแม็กซ์ที่กำลังดูหนังเรื่องนี้และเราก็บอกไม่ได้ด้วยว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ แม้แต่กับผู้หญิงที่แม็กซ์คบด้วยอย่างนิกกี้ยังทำให้เขาแปลกใจเมื่อจู่ๆเธอมาปรากฎในวีดีโครม

นิกกี้จัดว่าเป็นตัวละครที่ไม่ใช่ผู้หญิงปกติอย่างที่ผู้ชมสมควรรู้จักเพราะเธอมีเสน่ห์บางอย่างในขณะที่บางครั้งเธอเองก็ชื่นชอบความรุนแรงอยู่ในตัว ยกตัวอย่างฉากเจาะหูก่อนจะมีเซ็กซ์ จี้บุหรี่ลงนมด้วยความสุข อาการเหล่านี้ทำให้นึกถึงมาโซคิสม์ (Masochism) หรือผู้ที่ชื่นชอบความรุนแรงด้วยการถูกกระทำ ในทางกลับกันก็มีอาการซาดิสม์ (Sadism) ติดปะปนเข้ามาในหนังอีกด้วย ถ้าจะมองโดยรวมเรื่องความดาร์คอันเป็นฉบับสไตล์ของผู้กำกับ David Cronenberg แล้ว เราจะเห็นทั้งสองปรากฎในหนังเรื่องจนน่าจะเรียกทีเดียวไปเลยว่าซาโดมาโซคิสม์ (sadomasochism) ทั้งชอบความรุนแรงทางกระทำและถูกกระทำ


ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่น่าชื่นชมนอกจากบรรยากาศชวนดาร์คแล้วยังมีความน่ากลัวในระดับน่าสะพรึงใช่ย่อยที่ใส่ความสยดสยองในแบบเหนือจริงกับเอฟเฟคต่างๆที่เรียกว่าแอบตกใจกับเทคนิคเล็กน้อยที่สามารถทำให้สอดคล้องไปกับตัวหนังได้ทั้งที่ควรจะออกมาแนวซีเรียสผสมจิตวิทยาเสียมากกว่า ซึ่งการเพิ่มความน่ากลัวในรูปแบบสยองขวัญนี้จัดว่าช่วยยกระดับความน่ากลัวไม่น้อย ตัวอย่างฉากล้วงท้องที่ยัดปืนเข้าไปและเอาปืนออกมา ฉากนี้จัดว่าเนียบเนียนอย่างมากแถมมาในแบบไม่ทันคาดคิดอีกด้วยว่าจะมี

ตามด้วยฉากปืนกับมือผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ดูเป็นรูปแบบเครื่องจักรผสมเลือดเนื้อที่ชวนแหวะพอควร แต่อะไรนี้ฉากที่เด็ดที่สุดของงานคือฉากที่แม็กซ์ในขณะที่มือกับปืนรวมเป็นอาวุธด้วยกันนั้นได้ยิงใส่โฆษกที่กำลังประกาศบนเวทีตามด้วยวินาทีหลังจากนั้นคือสภาพร่างกายของเหยื่อที่ค่อยๆปริแตกออกราวกับเครื่องในจะล้นออกมาอย่างช้าพร้อมเสียงทรมานที่เจ็บปวด แม้ความสยองจะมีไม่มากนักแต่ด้วยการดำเนินเรื่องที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและการตัดต่อที่บางครั้งน่าฉงนใจก็กลายสิ่งที่ดึงดูดได้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งนี้ต้องยกย่องให้กับการแสดงของ James Woods อีกด้วยที่รีดคาแรกเตอร์ออกมาได้อย่างสมบทบาทโดยเฉพาะตอนท้ายที่ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างตอนถูกวีดีโครมเข้าสิงกับถูกปลดลปล่อยจากวีดีโครม


Videodrome นับเป็นหนังที่สุดแสนจะทำให้ผู้ชมเกิดอาการงงไม่แพ้ตัวละครในเรื่องเพราะเต็มไปด้วยเนื้อหาแสนประหลาดหาความจริงไม่ได้จับเท็จไม่เจอราวกับยิ่งเข้าอุโมงค์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งหาไกลจากทางเข้าและต้องวนเวียนอยู่ข้างในจนกว่าจะหาทางออกเจอซึ่งมีจริงหรือเปล่าไม่รู้แต่ที่รู้คือไม่สามารถออกตามทางเดิมได้อีก ถ้าจะเทียบกับสื่อที่ไร้หนทางในแง่ความรุนแรงมันก็คือการเสพด้วยการดูโดยไม่ต้องลงมือเพราะสำนึกเราได้เดินทางท่องจินตนาการไปกับความเจ็บปวดทรมานเป็นที่เรียบร้อย

แล้วกับแม็กซ์ล่ะ การดูความรุนแรงจนแสวงหาตัวตนที่แท้จริงของวีดีโอโครมมันคืออะไรเกิดเป็นภาพหลอนกึ่งจริงมันมาจากไหน สุดท้ายวีดีโครมก็คือตัวเขาที่ถูกเชิดจากสื่ออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวให้กลายเป็นแบบอย่างแห่งความไม่ตาย เนื่องจากในโลกของความจริงทุกคนตายได้แต่ถ้าอยู่ในเทปล่ะ เราจะตายได้ยังไงถ้ายังมีคนมาดูในสิ่งที่เราทำ พูด ตลอดจนพฤติกรรมต่างๆนาๆ เราไม่ตายไปไหนเลยสักนิดเพียงแค่ขาดสำนึกการควบคุมด้วยตัวเอง ขาดการไตร่ตรองจากความเจ็บปวด ขาดความกลัวที่ต้องหนี และแล้วเราก็จะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เป็นอมตะ อยู่กับทุกๆอย่างเพียงแค่นึกภาพออกมาด้วยจอสี่เหลี่ยม มันต้องแตกต่างจากวีดีโครมที่ไร้เนื้อหาแต่เราจะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่วิวัฒมากขึ้นด้วยการปลงจากความรุนแรงด้วยการทำให้หายไปจากบางสิ่งหรืออทุกสิ่ง ไม่แน่อาจไม่หายไปไหนเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจเป็นได้เพียงสำนึกที่มโนสร้างขึ้นเองเพราะสื่อก็เป็นได้

"วีดีโครมจงพินาศ มนุษย์พันธุ์ใหม่จงเจริญ = ความรุนแรงจงสิ้นสุดเพื่อให้ความรุนแรงที่หนักหน่วงยิ่งกว่าได้ถือกำเนิด และมันจะละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเก่าเพราะมันคือของจริง"

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)