The Collection (2012) จับคนมาเชือด

The Collection (2012) | จับคนมาเชือด
Director: Marcus Dunstan
Genres: Horror | Thriller
 
ถ้าสงสัยว่าจุดประสงค์ที่เกิดขึ้นใน The Collector (2009) มันคืออะไรกันแน่เพราะมาถึงก็เล่นกับดักทั้งบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัวแถมยังจบด้วยการจับอาร์กิ้น (Josh Stewart) พระเอกของเรายัดใส่กล่องในตอนจบคล้ายจะมีภาคต่อ(ซึ่งก็นี้แหละ)อย่างหน้าตาเฉย(มันใส่หน้ากาก)จนเกิดเป็นคำถามที่หาคำตอบบทสรุปที่แท้จริงไม่เจอจนเป็นเหตุให้หนังออกมาอ่อนเรื่องของบทที่ยังปล่อยให้ผู้ชมออกอาการงงๆนอกจากบอกว่าชอบสะสมคน แต่หนนี้ได้กลับมาพร้อมกับคำตอบอย่างจริงจังว่าที่แล้วมาการจับคนยัดใส่กล่องไปนั้นเป็นความตั้งใจเพื่ออะไรกันแน่และกับดักที่ทำไมชอบวางนักก็เพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์แบบนั้นแหละ มาเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้ากับเจ้าโรคจิตนักสะสม (Randall Archer) ที่กลายเป็นคนดังไปแล้วในกลุ่มนักข่าวและตำรวจจนเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วนเพราะฆ่าคนเอาไว้เยอะ โดยส่วนตัวค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่เรื่องเริ่มเล่าแบบนั้นเนื่องจากภาคแรกเป็นหนังเกรดบีฟอร์มเล็ก พูดถึงก็เหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆไปที่ปรับแต่งเนื้อเรื่องให้จุดเด่นอย่างเรื่องกับดัก กรณีเดียวกับ Saw ที่เป็นเกมส์ ซึ่งจากเหตุการณ์ในหนแรกไม่ได้ดูโด่งดังอะไรอย่างที่คิดถ้าจะเป็นกระแสขนาดนั้นได้ แต่เมื่อเจ้านักสะสมลงมือก็เข้าใจทันทีว่าการกลับมาครั้งนี้มันเหี้ยมกว่าก่อนมาก


อลินา (Emma Fitzpatrick) คือตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้คล้ายกับพระเอกของเราที่เหมือนจะมีปมอะไรสักอย่างตอนช่วงเด็กก่อนจะไปงานปาร์ตี้กลางดึกตามประสาวัยรุ่นอย่างเมามันส์ ทว่าในสถานที่แห่งนี้เมื่อเทียบกับภาคแรกก็คือบ้านนี่แหละที่เต็มไปด้วยกับดักอย่างไม่ต้องสงสัยและเรื่องก็เล่าได้เร็วมากในจุดนี้อย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะเมื่อเจ้านักสะสมโผล่มาก็เล่นปล่อยของกันเลยทันทีแถมจัดหนักยิ่งกว่าครั้งก่อนๆด้วยการเหมาคนหมดทั้งบาร์ ต้องบอกว่าเหวอไปนิดนึงเพราะเดิมภาคแรกใช้นักแสดงกันไม่เท่าไหร่เองและความสยองจำกัดทั้งเรื่องแค่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ดังนั้นฟอร์มจึงดูเล็กสมราคาเกรดบีอย่างที่คุ้นเคยกันมาบ้าง ในขณะที่ภาคนี้เปิดพื้นที่มากขึ้นด้วยสถานที่มากผู้คนและกับดักที่จัดยิ่งใหญ่ในฉากต้นเรื่องจนเกือบมองผิดถนัดไปเลยกับเรื่องนี้เนื่องจากพฤติกรรมไม่น่าจะโจ้งแจ้งขนาดนั้นได้ นับว่าผิดคาดพอสมควรกับการเซอร์ไพรส์กับดักชุดใหญ่ที่กวาดเรียบทั้งบาร์อย่างน่าสยดสยองตะบันกันเลือดเนื้อกระจาย และไปตามสูตรในขณะที่คนอื่นๆโดนกับดักจัดหนักอยู่นั้นเองอลินาก็ไปเจอกับกล่องใบแดงคล้ายมีอะไรอยู่ข้างในก่อนจะเปิดแล้วพบว่าเจอชายที่อยู่สภาพทรุดโทรม ชายคนนั้นคืออาร์กิ้นนี้เอง

จัดว่าใช้ได้เลยที่เอาตัวละครที่โคตรเก่งอย่างอาร์กิ้นมามีบทบาทต่อในภาคนี้ทั้งที่เกือบคิดว่าภาคแรกจบแบบนั้นแล้วยังจะรอดหรือเปล่า ก็ดูจะเป็นตัวละครคู่บุญให้กับหนังเรื่องนี้ไปโดยปริยายด้วยมีฐานะเป็นคู่อริกับเจ้านักสะสมเพราะคงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีความสามารถเทียบเท่าได้ ก็ดีนะเพราะเราจะได้เห็นการเอาคืนของอาร์กิ้นที่ไม่ใช่เรื่องดวงซวยจากหนก่อนแต่เป็นความตั้งใจที่เข้าไปหาเรื่องเองเป็นการส่วนตัว ย้อนกลับไปตอนที่อลินาช่วยอาร์กิ้นออกจากกล่องได้สำเร็จแต่ตอนนั้นต่างยังช็อคกันอยู่


สุดท้ายอลินาโดนจับยัดใส่กล่องแบบเดียวกับอาร์กิ้นฝนขณะที่เขากลับเป็นฝ่ายรอดหนีออกมาได้ ทว่าหลังจากออกมาได้ไม่นานก็ถูกตามตัวจากผู้ปกครองอลินาที่มีอิทธิพลอำนาจขอให้อาร์กิ้นไปช่วยอลินากลับมาเพราะมีเขาคนเดียวที่รอดมาได้ ทีแรกเหมือนอาร์กิ้นจะไม่เต็มใจเท่าไหร่เพราะกว่าจะหนีมาได้ก็เกือบตายแต่สุดท้ายก็ยอมไป โดยการไปช่วยครั้งนี้จะไปเป็นกลุ่มที่มีลูเซลโล (Lee Tergesen) เป็นหัวหน้านำทีมปฏิบัติการ

ประเด็นอยู่หลังจากนี้อีกคือจะไปตามหากันที่ไหนเริ่มยังไงเพราะไม่มีเบาะแสอะไรเลย แล้วยังไงล่ะหนังเขียนบทมาได้ชวนเหวออีกแล้วกับเรื่องทักษะของอาร์กิ้นที่สามารถรู้เส้นทางไปแหล่งที่เจ้านักสะสมอยู่ผ่านรอยแผลที่กรีดบนแขน คือแบบอะไรจะเตรียมพร้อมกันขนาดนี้แถมยังเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแค่จับความรู้สึกที่โดนจับอยู่ในรถก็คาดการณ์ได้ว่าถึงหรือยัง บางทีการทำให้ตัวละครออกมาเก่งขนาดนี้คงมีแต่เรื่องนี้กระมั้งเพราะตามสูตรเรื่องอะไรต้องให้นักฆ่าด้อยกว่าและเหยื่อต้องฉลาดน้อยกว่า พอจะเห็นคร่าวๆอย่างหนึ่งเกี่ยวกับฟอร์มที่ยกระดับขึ้นมาทั้งเรื่องสถานที่และตัวละครที่วางมากขึ้นแต่ก่อน แต่น่าเสียดายที่กับดักถูกบั่นทอนน้อยลงจนกลายเป็นผสมแอ็คชั่นไปซะงั้น


ฟังไม่ผิดหรอกถ้าจะมีส่วนของแอ็คชั่นเข้ามาผสมในเมื่อต่างฝ่ายต่างพร้อมด้วยอาวุธทั้งนั้น จึงกลายเป็นว่าภาคนี้ขาดเสน่ห์อย่างที่ภาคแรกเป็นในส่วนนี้ไปไม่มากก็น้อยเนื่องจากกับดักที่ยังใช้นั้นเป็นมุขเดิมและไม่มีความสดใหม่อย่างที่ภาคแรกทำจนร้องว่าสุดยอดได้ ความแยบยลจึงหายไปนิดนึงในขณะที่ความสยองยังคงเสิร์ฟมาได้เรื่อยๆจนการันตีอย่างหนึ่งว่าความสยองยังไม่น้อยลงไป ที่สำคัญได้กลิ่นอายแบบ Saw เยอะกว่าหนก่อนราวกับเป็นการตะลุยด้านยังไงอย่างงั้น ทำให้ภาพลักษณ์มีมิติมากขึ้นเพราะความหลากหลายทั้งตัวละครกับอารมณ์ แต่สิ่งที่ยกให้ในความดีความชอบของภาคนี้คือส่วนของเนื้อเรื่องที่หาเหตุผลจากที่ภาคแรกมาแบบห้วนๆไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ว่าทำไปเพื่ออะไร ซึ่งสไตล์ก็ออกมาโรคจิตสมกับเหตุผลอย่างที่ต้องการคือชอบสะสม ไม่มีอะไรนอกจากอยากสะสมในแบบที่ไม่มีใครได้สะสมกันซึ่งคือคนนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะเอย กระดูกเอย หรือแม้กระทั่งคนก็เช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ชื่นชอบสะสมของเล่นชอบกล ส่วนที่นับว่าแปลกหน่อยคือการจับคนมาเป็นทาสจนไม่เหลือสติสัมปชัญญะด้วยตัดลิ้นแล้วอัดยาจนกลายเป็นบ้าแล้วปล่อยเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ไว้จัดการคนนอกบุกรุก มาซะแหวกแนวเลยกับส่วนนี้แต่อย่างน้อยก็ทำได้อารมณ์สไตล์คนติดเชื้อเลยนะแม้จะแปลกๆชอบกล

ไม่โทษที่กับดักจะขาดความแยบยลแบบภาคแรกที่เล่นมันทั้งบ้านจนไม่ต้องหนีไปไหนล่ะ เพราะว่าสเกลหนังใหญ่ขึ้นจากเดิมค่อนข้างมากทำให้รูปแบบออกมาเช่นเดียวกับ Saw ที่ค่อยเป็นค่อยไปผสมกับตัดสลับเหตุการณ์ไปกับตัวละครอื่นแต่ละด้านไม่ว่าจะอลินาที่หลุดจากกล่องแล้วหาทางหนีออกไปข้างนอกแต่ออกไปไม่ได้เนื่องจากกับดักที่ดักทางเอาไว้มากมาย หรือจะทางอาร์กิ้นที่กำลังเข้าไปช่วยเหลือแต่ต้องประสบเรื่องเซอร์ไพรส์ระหว่างทางที่มีมากกว่ากับดัก


โดยส่วนตัวการเรียบเรียงเนื้อเรื่องยังจัดว่าสนุกดูต่อเนื่องลื่นไหลดีบวกกับตัวละครที่มากขึ้นจนเห็นความสยองเสิร์ฟมาเป็นระยะอย่างไม่ต้องเสียเวลา กระนั้นการมากตัวละครก็กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญอยู่บ้างเหมือนกันเพราะในจำนวนนี้มีตัวละครที่โชว์ความงี่เง่าจนได้และในขณะเดียวกันเจ้านักสะสมไม่ได้แน่นิ่งอย่างที่คุ้นเคยเหมือนภาคแรกที่เอาแต่มองผลงานตัวเองว่าจะโดนกับดักเมื่อไหร่ราวกำลังนั่งลุ้นในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น กลับตรงกันข้ามในภาคนี้ที่ลงทุนลงแรงโผล่มาฆ่าเองเป็นพักๆ อย่างน้อยแสดงให้เห็นแล้วว่าการปล่อยให้เหยื่อที่อยู่เป็นกลุ่มและเริ่มรู้ทันก็ต้องตัดไฟแต่ต้นลมจัดการไปทีละหน่อยก่อน อีกอย่างที่บอกคือมีการผสมความเป็นแอ็คชั่นเข้าไปนิดนึงอย่างตอนท้ายเรื่องที่สู้กันด้วยมีด ทำให้ตัวเองคิดทันทีเกี่ยวกับเจ้านักสะสมนี่ว่านอกจากจะหัวใสวางกับดักตามทางแล้วยังเก่งเรื่องการต่อสู้อีกด้วย เป็นการยกระดับฆาตกรในหนังสยองขวัญที่เก่งแต่ฆ่าง่ายๆให้มีทักษะที่ไม่ธรรมดา

The Collection จัดว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ยังได้กลิ่นอายของ Saw อยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่แปลกใจหากผู้กำกับ Marcus Dunstan จะเคยรับงานเขียนบท Saw ตั้งแต่ภาค 4-7 จนเป็นเรื่องติดใจและกลายเป็นของถนัดมือเรื่องรังสรรค์ความทรมานบันเทิงอย่างเกมส์ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นกับดักตามด้วยผสมเรื่องผสมราวให้ภาคแรกที่กลวงโบ๋มีน้ำหนักมากขึ้นจากจุดประสงค์ที่ฆ่าคนหรือสะสมคนไปเพื่ออะไร ถ้าถามความโหดที่ได้จากภาคนี้คงบอกว่ามีให้เห็นน้อยกว่า


ทว่าก็คัดแต่ฉากเน้นๆไปเลยด้วยเช่นอย่างช่วงแรกของหนังที่ละเลงความโหดได้อย่างดุเดือดเลือดพล่านบรรจบอย่างสะใจ ดังนั้นคอหนังโหดคงถูกใจกันไปเต็มที่อย่างไม่เสียเวลา ทว่าต้องแลกมาซึ่งข้อเสียที่ภาคแรกทำได้ดีคือการทำให้ผู้ชมได้สัมผัสการทรมานชวนลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลา นั้นเองที่ทำให้ภาคนี้ความโหดแบบต่อเนื่องน้อยลงกลายเป็นแบบกึ่งๆผจญด่านที่เดี๋ยวระทึกขวัญเดี๋ยวออกมาสนุกแบบสายแอ็คชั่น ที่ยอมรับคือความลงตัวที่ทำได้ดีไม่ออกเส้นเรื่องหรือเปลี่ยนแนวจนเกินไป

น่าเสียดายที่หลายอย่างทำได้ดีแต่ยังคงตะหงิดกับเนื้อเรื่องอีกครั้งที่ยังออกมาไม่เข้าใจได้ดีเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของอาร์กิ้นหลังจากเขาถูกจับไปก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มิหนำซ้ำยังโยนประเด็นนี้ออกไปอย่างหน้าตาเฉยราวกับไม่สามารถเชื่อมโยงบทบาทได้อีกแล้วจึงเลือกทำเป็นลืมเรื่องเก่าๆให้คงเหลือแค่ว่าได้เผชิญหน้ากับโรคจิตจอมสะสมแล้วถูกยัดใส่กล่อง แม้การเชื่อมโยงจะทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควรแต่อย่างน้อยการได้รู้ว่าในสิ่งที่ค้างคาในภาคแรกนับว่าทำได้เนียนดี ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจแค่เห็นด้วยตาเป็นอันพอ โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบอยู่ไม่น้อยแต่ยังเสียเรื่องความสมเหตุสมผล(อีกแล้ว)ไปหน่อย อย่างน้อยการได้เห็นชิ้นส่วนอวัยวะคนเอยกระดูกคนเอยมาประติดประต่อเป็นรูปร่างที่ชวนพิลึกในตู้กระจกจัดว่าอาร์ตพอตัวเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)