The Proposal (2009) ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ

The Proposal (2009)
ลุ้นรักวิวาห์ฟ้าแลบ
Director: Anne Fletcher
Genres: Comedy | Drama | Romance

เรื่องวุ่นเกิดจากความรักโดยไม่ตั้งใจระหว่างมาร์กาเรต (Sandra Bullock) บรรณาธิการผู้ที่ใครก็ต่างเกรงอำนาจกำลังจะถูกเนรเทศกลับประเทศแคนาดาเพราะใบอนุญาตการทำงานสำหรับคนต่างด้าวในอเมริกาของเธอกำลังจะหมดอายุลง และด้วยความที่ยังไม่พร้อมเพราะงานที่ไปได้ดีทำให้งานนี้จึงต้องใช้วิธีแก้ไขหาแพะรับบาป ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ใครเลยหากเป็นคนที่ใกล้เธอมากที่สุดคือแอนดรูว์ (Ryan Reynolds) ชายผู้ทำงานใกล้เธอเพราะเป็นผู้ช่วยทำตามคำสั่งและรายงานอยู่เป็นเวล่ำเวลา ด้วยแผนการสุดจะบรรเจิดยิ่งกว่านั้นคือทำให้ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเพื่อให้มาร์กาเรตมีสิทธิ์อยู่ในอเมริกาต่อได้อย่างอิสระ ทว่าเรื่องมันใช่จะง่ายซะที่ไหนเมื่อการจดทะเบียนมันไม่ใช่เรื่องหมูๆเพราะมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังจะดำเนินการตามกฎหมายกับเธอน่ะสิและเห็นพิรุธในเรื่องการมาจดทะเบียนนี้จึงชี้แจงรายละเอียดก่อนทำทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายจริงๆสำหรับคนที่รักกันแบบหลอกๆเพราะสิ่งที่ต้องเจอคือตำถามเกี่ยวกับคู่รักที่มักจะรู้กัน แล้วมาร์กาเรตจะไปเข้าใจแอนดรูว์ได้ยังไงกัน แถมถ้านี้ไม่ใช่รักที่บริสุทธิ์จะมีโทษตามกฎหมายที่ไม่ธรรมดาอีก ดังนั้นทั้งมาร์กาเรตและแอนดรูว์จึงต้องขอเวลาไปใช้ชีวิตด้วยกันที่บ้านของแอนดรูว์ซึ่งเรื่องเซอร์ไรส์ก็เกิดขึ้นทันทีนับแต่เริ่มเรื่อง


สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือความไวไฟ เฮ้ย!ไม่ใช่ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องผิดคาดนิดนึงที่เรื่องนี้เน้นหนักมิติไปที่มาร์กาเรตในแบบเรียนรู้การเป็นฝ่ายที่อยู่เท่าคนอื่นบ้าง ไม่ใช่สูงส่งจากตำแหน่งแล้วสั่งบอกคนโน้นคนนี้ได้เช่นในบริษัทที่เห็นว่าใครทำงานเป็นไม่ถูกเป็นอันต้องไล่ออกดีกว่า ในช่วงแรกเป็นแบบนั้นเลยกับอำนาจที่ล้นฟ้าขนาดคนที่บริษัทยังไม่กล้ายุ่งด้วยเว้นแต่กับแอนดรูว์ที่เป็นคนเดียวที่สนิทมากที่สุดในฐานะผู้ช่วยที่ต้องรู้ทุกอย่างและทุกเรื่อง แต่เพราะแอนดรูว์ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆเช่นกัน ดังนั้นการที่เขายอมรับร่วมแผนกับมาร์กาเรตเรื่องการเป็นคนรักหลอกๆเพื่อจะได้จดทะเบียนนั้นก็มีเหตุผลที่ว่าถ้าแผนสำเร็จไปด้วยดีเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นบรรณาธิการพร้อมกับหนังสือเขียนจะได้ลงตีพิมพ์อีกด้วย แอนดรูว์จึงรับข้อเนอแต่โดยดีเพียงมีข้อแม้นิดๆเกี่ยวกับเรื่องหลังจากนี้คือต้องทำทุกอย่างให้เนียนที่สุดโดยเฉพาะกับคนในครอบครัวของแอนดรูว์ที่เหมือนจะแปลกใจกับการกลับบ้านในครั้งนี้ ซึ่งคนแรกที่แปลกใจเพราะแอนดรูว์ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีนั้นคือโจ (Craig T. Nelson) พ่อของเขาที่เหมือนยังปมบางอย่างทำให้พ่อลูกไม่ถูกกันเท่าไหร่นัก ยังมีเกรซ (Mary Steenburgen) แม่แสนดีและแอนนี (Betty White) แม่ยาย เมื่อพอรู้ข่าวจะแต่งงานในเร็ววันก็ต่างดีใจกันยกใหญ่และสนับสนุนให้แต่งงานในเร็ววันอย่างไม่ต้องรีรอให้เสียโอกาส แต่ยังไงกันนะในเมื่อการแต่งงานคือเรื่องจริงในขณะที่ทั้งสองยังไม่ได้รักกันจริง แต่เมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กันในแบบไม่ใช่ผู้จัดการกับผู้ช่วยก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิมซะแล้ว

พล็อตไม่เท่าไหร่เพราะรู้อยู่ดีว่าจะเป็นยังไงต่อไปในความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ใกล้ชิดมากยิ่งกว่าลูกจ้าง แม้จะเดาได้หมดแทบทุกระเบียบนิ้วแต่สิงหนึ่งที่ยอมรับว่ายังรู้สึกได้อารมณ์ตามหนังคือการหาจังหวะดีๆค่อยเป็น่อยไปจนเรารับความรู้สึกในรักได้อย่างไม่เคอะเขิน ดูอบอุ่น และเสมือนจริงจากการผสมผสานช่วงเวลาที่มีให้กันระหว่างกันและครอบครัว ทำให้เรื่องราวดูจริงจังพอสมควรถึงจะโดยรวมแล้วจะตั้งใจให้ออกมาตลกดีตลกร้ายปะปนกันไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ชอบคือการแสดงของ Sandra Bullock กับ Ryan Reynolds ที่ดูจะเข้าขากันได้ดีจนทำให้หลายสิ่งออกมาดูธรรมชาติเสมือนคู่กันจริงๆโดยเฉพาะในแต่งงานที่ใส่อารมณ์กันได้น่าดึงดูด แต่กว่าจะถึงฉากนั้นคงจะเป็นท้ายเรื่องหากก่อนหน้านี้มีอะไรที่อมยิ้มไม่น้อยกับมุขตลกที่ไม่ถึงขั้นระดับต้องร้องฮาเพียงแค่เห็นแล้วแอบยิ้มกับร้องขำเบาๆตามฉบับรักใสๆ อย่างเช่นฉากอาบน้ำของมาร์กาเรตที่พอรู้ตัวอีกทีก็ลืมผ้าเช็ดตัวซึ่งเหมือนจะอยู่ไกลเกินเอื้อม ซึ่งในฉากนี้ได้เปลือยผ้าจนหมด(ไม่ได้หมายความว่ามันจะโป๊หรอกนะ) และระหว่างนั้นแอนดรูว์ก็อยู่ด้วยเช่นกันแต่จะเกิดอะไรขึ้นนั้นเรื่องนี้ไม่ขออธิบายแต่จะบอกว่าเป็นฉากที่ฮาที่สุดของเรื่องก็ว่าได้เพราะจังหวะแม่นมาก แล้วไหนจะฉากตอนแรกๆที่ไปขอเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ดูเหมือนต่างจะทำหน้าแบบไม่นัดหมายกันเลยโดยเฉพาะแอนดรูว์มาแบบงงหน้าตายเหมือนจะรู้แต่ในใจบ่งบอกว่าเดี๋ยวนะ นึกแล้วก็ขำเพราะไม่นึกว่าจะลงเอยกันแบบนี้


โดยเรื่องราวทั้งหมดตัวหนังจะเน้นไปที่มาร์กาเรตโดยหลักเพื่อให้เห็นความแตกต่างเหมือนที่แอนดรูว์ต้องการให้เป็นเช่นนั้นด้วยการทำให้เป็นกันเองจากตำแหน่งที่คนละชั้น อย่างฉากบอกว่าเริ่มรู้จักกันได้ยังไงซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องโกหกและแอนดรูว์เหมือนจะเป็นฝ่ายเล่าเหตุการณ์ ทว่าแอนดรูว์ไม่คิดจะเล่าหากแต่โยนให้มาร์กาเรตเริ่มเรื่องเล่ามาก่อน คล้ายเป็นการบอกว่าถึงเวลาต้องพึ่งตัวเองทำเองเสียบ้างและดูสิว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ยังไงถ้าอยากให้แผนสำเร็จ ท่าทางของทั้งสองจะตีกันเองอยู่ล่ะแถมตีเนียนพูดส่งถึงกันราวกับเป็นเรื่องจริงยังไงอย่างงั้น ฟังราวเป็นหนังรักคอมเมดี้ที่ดูจะอารมณ์ดีมิใช่น้อยแต่เหมือนความขำชวนฮานี้ดูจะไม่เน้นหนักอะไรอย่างที่คิดหากเป็นการแสดงออกแบบเรียบๆเป็นช่วงเวลาที่ดี แม้ว่าบางช่วงจะดูอืดดูน่าเบื่อไปบ้างบางทีแถมมีฉากที่ไม่น่าจะมีอย่างฉากแม่ยายประกอบพิธีขอบคุณเต้นรอบกองไฟที่บังเอิญมาร์กาเรตมาเจอเข้าพอดิบพอดี แรกๆคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะขำแต่ออกจะไร้สาระด้วยซ้ำ จนเมื่อมองดีๆนับเป็นการบอกบางอย่างเกี่ยวกับมาร์กาเรตที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์มาจากท่าเต้น มันจะไม่ใช่อย่างที่ใครหลายคนจะเห็นได้เนื่องจากมาร์กาเรตไม่ใช่คนที่หลายคนเห็นสมควรเป็นเช่นนั้น เธอดูแข็งกระด่าง เห็นแก่ตัวบ้างนิดนึง ทว่ากับที่นี้มาร์กาเรตปล่อยอารมณ์ออกมาได้เต็มที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดในแบบที่เธอไม่รู้ตัว ช่วงเวลานี้เองที่ตัวหนังกำลังต้องการจะบอกว่ามาร์กาเรตเริ่มเปิดใจรับในหลายๆเรื่องเข้ามาโดยเฉพาะแอนดรูว์

แอนดรูว์อาจเป็นตัวละครที่ไม่เน้นหนัก แต่เปล่าเพราะยังมีปมในใจระหว่างแอนดรูว์กับพ่ออันเป็นสาเหตุทำให้หนีออกจากบ้านไปทำงานในเมืองนานนับปี นี่จึงเป็นประเด็นปัญหาที่ช่วยเพิ่มมิติมากขึ้นกลายเป็นหนังที่ไม่ใช่แค่รักเราสองหากเป็นกลุ่มถึงครอบครัวที่สำคัญไม่หย่อนกว่ากันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ และด้วยการที่เรื่องราวกู้เรื่องขึ้นนั้นมีผลข้างเคียงกับคนในครอบครัวทำให้มาร์กาเรตเห็นข้อผิดพลาดในครั้งนี้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสมควรกระทำอย่างยิ่ง ต่อหน้าหลายคนรู้ว่าเป็นคู่รักที่ใกล้แต่งงานแต่เป็นอย่างไรเกี่ยวกับเวลาหลังจากนั้นหลังแต่งงานเสร็จพิธีสมรส ตามแผนคือเลิกจากกันที่คบกันไปเพื่อให้เจ้าตัวได้สิทธิ์ทำงานต่อในอเมริกา ทว่ากับคนในครอบครัวล่ะจะรู้สึกแบบไหนกับช่วงเวลาที่มีความสุข ความฝันที่ได้เห็นลูกชายมีคู่ครอง เมื่อความผูกพันที่มากขึ้นจากฝั่งครอบครัวทำให้มาร์กาเรตเจ็บใจที่่ตัวเองไม่น่าสิ้นคิดเอาความรู้สึกคนอื่นมาล้อเล่น นี่จึงเป็นปมในใจของตัวมาร์กาเรตที่ต้องเลือกระหว่างความจริงกับเรื่องที่ตัวเองทำ อารมณ์นี้แสดงได้ชัดเจนอย่างดีในช่วงก่อนแต่งงานที่ทัศนะมุมมองระหว่างมาร์กาเรตกับแอนดรูว์ค่อยๆซึมซับเข้าหากัน โดยเฉพาะฉากในห้องนอนที่ต่างพูดคุยด้วยความรู้สึกที่ดีแม้จะนอนกันคนละมุมในขณะที่อีกคนอยู่บนเตียงอีกคนอยู่ที่พื้น มาร์กาเรตอาจประเมินแอนดรูว์ต่ำไปเพราะเอาเข้าจริงคนที่รู้ทุกอย่างคือเขานั่นแหละ รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอแม้กระทั่งรอยสักที่ไม่มีใครรู้ยกเว้นเขา นั้นจึงไม่ต่างอะไรกับการให้ความสนใจในตัวมาร์กาเรต


แต่แอนดรูว์ใช่จะชอบหรือรู้สึกรักจริงๆซะเมื่อไหร่แต่อย่างว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้กันย่อมทำให้เห็นคุณค่าในตัวคนที่แอบซ่อนอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่รู้เกี่ยวกับมาร์กาเรตที่เป็นสาเหตุให้ทำไมกลายเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยวได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากปมเก่าในอดีตที่สูญเสียพ่อแม่ไปหมดจะต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพังเป็นเหตุให้มองโลกในแง่ร้ายมากกว่าสดใส อีกทั้งรอยสักที่ไม่รู้ว่ามีความหมายยังไงบ้างสำหรับแอนดรูว์แล้วเป็นเรื่องน่าตลก

ทว่ากับมาร์กาเรตคือเครื่องเตือนใจชิ้นสำคัญที่สักในวันที่สูญเสียพ่อกับแม่ไปเพื่อเป็นการระลึกถึงว่าพวกท่านไม่ได้อยู่ไกลตัว แม้ว่าประเด็นจะดูเลื่อนลอยไปบ้างบางทีเพราะมีหลายสิ่งลายอย่างที่เราต้องตั้งใจฟังมากกว่าการดูทำให้ความหนักแน่นจึงหายไปและกลายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนไปหน่อยสำหรับผู้ชมบางรายที่รู้สึกบทยังคงหลวมๆไปที่ดำเนินเรื่องเร็วให้เข้าสู่ฉากไคล์แม็กซ์แต่งงาน ดังนั้นจึงเกิดอาการร่วมได้ไม่เต็มอิ่มซ้ำยังมีความดั้งเดิมที่ชัดเจนจนเดาได้ง่ายไปหน่อย ยิ่งกับตอนจบยิ่งเป็นอะไรที่ถ้ามองในแง่ร้ายมันคือฉากจบที่ซ้ำซากและว่าง่ายไม่ต่างกับการ์ตูนนิทานเจ้าชายตามหาเจ้าหญิงจนเจอเพียงแค่เรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย ในทางกลับกันมองในแง่ดีการปูพื้นมาตั้งแต่เริ่มตลอดจนความสัมพันธ์ที่พัฒนายิ่งขึ้นทำให้ตอนจบเป็นอะไรที่แตกต่างจากจุดเริ่มต้นและมองว่าการสานรอยต่อนี้ทำให้เราเห็นความผูกพันระหว่างกันได้อย่างแน้นแฟ้นจนเกิดเป็นตอนจบที่หวานราวกับเทพนิยายชวนเชื่อ แต่ยังไงก็แล้วแต่ถือว่าราบรื่นได้ดีมากสำหรับเรื่องนี้


The Proposal จัดว่าเป็นหนังรักปนตลกได้อย่างพอดีคำคือไม่เน้นตลกจนต้องฮากร๊ากแค่เอากำลังงามดูมีรอยยิ้มเสมอเพื่อให้ออกมาประทับใจตลอดเวลาบวกกับทิวทัศน์สวยๆแบบฉบับบ้านริมน้ำทำให้เรื่องนี้ดูสบายตัวในแบบฟีลกู๊ด น่าเสียดายที่ปัญหาของหนังไม่ได้หนักหน่วงเท่าไหร่ตามที่ต้องการแถมยังให้ความรู้สึกว่าอารมณ์เสียใจของหนังถูกแก้ได้ง่ายให้กลายเป็นอารมณ์ดีแบบไม่ชวนให้ยึดติดกับความผิดหวัง จะว่าแล้วทุกอย่างถูกแก้ไขได้หมดอย่างรวดเร็วสมแล้วที่ต้องการทำให้ผู้ชมรู้สึกดีมากกว่าย่ำแย่ในความหดหู่ของตัวละคร สำหรับเรื่องนี้การดูแบบไม่คิดมากถือว่าได้อารมณ์ไปมิใช่น้อยเพราะหนังค่อนข้างเรียบและเนียนกับบรรยากาศและยังตัดต่อเรื่องราวได้อย่างลงตัว แม้จะมีรำคาญไปหน่อยกับฉากเอาตลกในบาร์ที่ยังไม่เข้าใจว่าใส่มาทำอะไรถ้าไม่ใช่เอาตลกกับเป็นการแนะนำสมาชิกใหม่ให้รู้จัก แต่ยอมรับว่าดูสบายตาสบายใจจบแล้วอารมณ์ดีไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)