All Is Lost (2013) ออล อีส ลอสต์

All Is Lost (2013)
ออล อีส ลอสต์
Director: J.C. Chandor
Genres: Action | Adventure | Drama

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

หรือจะเรียกเป็นหนังทรมานคนแก่ก็คงไม่เชิงหากไม่ใช่ว่า Robert Redford ต้องมาแสดงคนเดียวทั้งเรื่องโดยมีสภาพเกินกว่าคนหนนุ่มจะสู้ได้ โดยเป็นไปตามเนื้อเรื่องที่่ลงเอยด้วยการเล่นอยู่คนเดียวท่ามกลางมหาสมุทรอินเดียอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล เราไม่รู้เลยว่าลุงแกมาทำอะไรที่นี้ มาเพื่ออะไร ไปแห่งไหน รู้แค่ว่าล่องเรือมาไกลจนกระทั่งเซอร์ไพร์สด้วยการชนเข้ากับตู้คอนเทนเนอร์ที่ไม่รู้ว่าหลุดลอยมาจากไหนจนเรือเป็นรูอย่างไม่ทันระวังหรือคาดฝันมาก่อนว่าต้องเจอสักนิดเดียว นั้นจึงเป็นปัญหาของคนแก่ที่มีภาระด้วยการซ่อมเรือที่โดนชนจากอุปกรณ์เท่าที่มีในเรือก่อนเรือจะจบเพราะน้ำเข้า ซึ่งคนแก่คนนี้ไม่ได้ตกใจหรือหวาดกลัวต่อความเดียวดายแต่อย่างใดนอกจากการใช้สมองครุ่นคิดไปกับปัญหาชิ้นใหญ่ที่ทะลวงเรือเป็นรูนี้ว่าควรจะปิดมันยังไงให้เรือออกมาแล่นเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งแน่นอนว่าตลอดช่วงเวลานั้นเราไม่เห็นลุงแกทำอะไรนอกจากคิดหาวัสดุอุปกรณ์มาประดิษฐ์ซึ่งแกก็หาและทำสำเร็จในการปิดช่องว่างนั้นอย่างสบายใจหลังจากเคร่งเครียดมาสักระยะหนึ่ง


ถ้ามองว่ากันตามตรงแล้วนี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับผู้ชมที่ดูเพียงแค่ด้านเดียวจากการเอาตัวรอดท่ามกลางมหาสมุทรด้วยตัวคนเดียวอย่างน่าอัศจรรย์หากแต่มีนัยยะที่แฝงเข้ามาตลอดรูปธรรมทั้งเรื่องผ่านช่วงเวลาต่างๆแต่ละเหตุการณ์ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันได้อย่างทรงคุณค่าด้วยข้อคิดดีๆ ดังนั้นจึงบอกก่อนเลยว่ากับใครที่เริ่มตะหงิดตั้งแต่เริ่มเรื่องก็ขอให้ปล่อยวางสักนิดเกี่ยวกับข้อสงสัยอย่างเช่นข้างต้นแล้วมาไตร่ตรองในสิ่งที่เกิดน่าจะเหมาะสมกว่า

All Is Lost อาจจัดเป็นหนังเหงาอีกเรื่องหนึ่งที่นอกจากตัวละครจะไร้ชื่อจนไม่รู้จะเรียกว่ายังไงดีแล้วก็คงมีแต่เรียกว่าชายชราที่มาพร้อมเรือใบลำหนึ่งกับภัยธรรมชาติตามท้องทะเลที่ต้องประสบ เนื่องจากหนังเปิดเรื่องมาแบบคั้นกลางคล้ายหยิบยกจากเนื้อเรื่องที่ควรจะเป็นอย่างการเปิดเรื่องด้วยการเกริ่นเนื้อเรื่องให้ผู้ชมจับความได้บ้างเพื่อพอเป็นแนวทางว่าตัวเองกำลังดูหนังประเภทไหน ถ้ายิงกันคงไม่พ้นแอ็คชั่นหรือถ้ามีส่วนผสมอะไรที่ล้ำสมัยก็อาจเรียกว่าไซไฟ สำคัญอีกคือการบ่งบอกความสำคัญของตัวละครอกับเนื้อเรื่องด้วยการปูพื้น


ถ้าถามตัวละครนี้คือใครทุกคนตอบได้ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไรทุกคนเข้าใจ ทำนองว่ารายละเอยดนั้นแหละถึงจะเข้าใจ ทว่ากับเรื่องนี้มาถึงก็ลอยทะเลและเริ่มเรื่องไปกับวิกฤตเรือถูกชนหรือเรือไปชนก็ไม่ทราบเพราะเจ้าตัวกำลังเพลิดเพลินหลับสบายในเรือก่อนจะตื่นขึ้นด้วยอารมณ์แสนหงุดหงิดน่าโมโห ฉากนี้คือจุดเริ่มต้นที่นับว่าแปลกสักเล็กน้อยตรงที่พอเล่าเรื่องก็เล่าต่อไปเลยโดยไม่วกวนมาเพิ่มเติมเอาตอนหลังว่าเรือลำนี้มีจุดมุ่งหมายปลายทางว่ายังไง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เชื่อเหอะว่าเรือใบลำน้อยคงไม่เหมาะนักหรอกที่จะมาอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร การออกมาลอยอยู่ไกลขนาดนี้ต้องมีเป้าหมายอย่างแน่นอนเพียงแค่เราจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือไม่ในเมื่อสไตล์ของเรื่องไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์แต่ต้องการให้เราเห็นการเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า

เมื่อเข้าใจคอนเซ็ปต์การเล่าเรื่องก็ยิ่งรู้สึกสัมผัสได้ถึงความลี้ลับของตู้คอนเทนเนอร์ที่ลอยมาชนเรือได้ยังไงกันในเมื่อท้องทะเลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มันจะลอยไปไหนมาไหนก็ได้อย่างอิสระแต่ไฉนถึงมาที่เรือทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย หรือจะเรียกว่าความซวยจากแรงดึงดูดกันแน่ที่ผลักให้เข้าหากันจนเป็นหายนะของคนในเรือที่ตื่นขึ้นมาพบสิ่งที่มากกว่าฝันร้ายธรรมดาๆเพราะมันคือเรื่องจริงต่อหน้า การให้ตู้คอนเทนเนอร์เสมือนกับปัญหาที่เข้ามารบกวนชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงถ้าเทียบกับตัวเราคือคนที่กำลังใช้ชีวิตโดยมีเรือเป็นความหวัง เมื่อความหวังเกิดช่องว่างและน้ำคืออุปสรรคที่ไหลเข้ามา เราก็ต้องพึ่งตัวเองด้วยการใช้ปัญญาเพื่อให้บ้านหรือเรือที่เราอาศัยอยู่นี่กลับมาเป็นปกติเท่าที่ทำได้ ปัญหาทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นและตู้คอนเทนเนอร์คือต้นเหตุของปัญหาที่เข้ามาโดยมิได้นัดหมายเป็นการบ่งบอกถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่ดำเนินอย่างราบเรียบเป็นเส้นตรงที่เอาจริงเข้าสักวันหนึ่งอาจพุ่งขึ้นสูงในขณะที่เมื่อขึ้นได้ก็ลงถึงต่ำสุดได้เช่นกัน ความไม่แน่นอนนี้คือหลักของความจริงที่ทุกคนควรตระหนักและพึ่งระลึกเสมอ เนื่องจากกรณีเท่าที่เห็นจากอุปสรรคแรกก็ทำให้เรามองความไม่เข้ากันของสองสิ่งระหว่างเรือกับตู้คอนเทนเนอร์ที่เกิดเจอกันได้ทั้งที่มันควรจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำแต่มันก็เป็นไปแล้วอย่างน่าสงนใจ ดังนั้นชีวิตของคนเราก็ไม่ต่างกับเรือที่ลอยลำใช้ชีวิตไปเรื่อยๆจนกระทั่งตู้คอนเทนเนอร์ผู้เป็นปัญหาก็เข้ามา เราจะทำยังไงต่อจากนี้กับปัญหาที่เกิดขึ้น นี่แหละใจความสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งก็คือการใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อเราแก้ไดทุกอย่างก็เรียบง่ายไม่ใช่เรื่องกวนใจอีกต่อไป


ทว่าตู้คอนเทนเนอร์ก็เปรียบกับอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่างไม้เว้นแต่การเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในชีวิตจนเราต้องมาถึงจุดเปลี่ยนด้วยการซ่อมเรือ แต่ปัญหาจะหนักหนาสาหัสกว่านั้นเมื่อเรือที่อยู่สภาพไม่สู้เต็มร้อยต้องมาเจอกับมรสุมพายุเข้า กับเรือใบที่แล่นมาไกลขนาดนี้และสภาพอากาศก็ใช่จะเล็กน้อยซะเมื่อไหร่เมื่อเกิดขึ้น ณ กลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะลมที่แรงจากทั่วสารทิศ คลื่นที่พัดไม่หยุดหย่อน แต่ละอย่างล้วนคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ แล้วกับชายที่มากับเรือล่ะเขาได้เตรียมพร้อมอะไรไว้บ้าง

คำตอบนี้มีอยู่แน่ซึ่งจากอุปสรรคหนแรกก็บอกอยู่แล้วว่าปัญญาที่ช่วยได้ ถ้าถามว่ามีความรู้มากแต่ใช้ไม่เป็นจะทำยังไงนี่สิที่น่าจะเป็นประเด็นได้ดีเพราะกับคนที่เก่งๆเวลาเจอของจริงมันไม่เหมือนในทฤษฏีหรอกที่คิดได้แต่ต้องทำจริง ไม่มีใครสอนหรือสั่งเพราะเราต้องพึ่งตัวเอง ถึงตอนนั้นผลลัพธ์จะเป็นอะไรก็ล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำทั้งนั้น บางทีก็มีความรู้ว่าจะเอาตัวรอดได้ยังไงไม่ได้แปลว่าจะทำได้จริงถ้าไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดี ดังนั้นนอกจากความรู้ที่ต้องรู้จักคิดด้วยแล้วยังต้องรู้จักพิจารณาไตรตรองให้รอบคอบ ซึ่งก็คือสติรู้จักควบคุมตัวเอง เมื่อเจออุปสรรคไม่วิตกจนเกินไปทุกอย่างจะอยู่ตามที่เราคำนวณทั้งหมด แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ข้อนี้ต้องระลึกเสมอเพื่อเจอกับเรื่องที่เราไม่คาดคิดมาก่อน


สิ่งหนึ่งที่น่าใจสำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่ความแปลกที่แทบจะไม่มีบทพูดอะไรเลยหรือแสดงอยู่คนเดียวทั้งเรื่อง แต่เป็นการนำสิ่งที่เป็นไปได้ทำออกมาให้ไม่ดูเกินจริงเกินไปที่มนุษย์คนหนึ่งจะเกินรับได้ ทุกบริยาบททุกการกระทำสามารถทำได้จริงในการเอาตัวรอดท่ามกลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมรับมือเผื่อเรือพังด้วยการยัดข้าวของที่จำเป็นบางส่วนใส่ถุงชูชีพทั้งที่ไม่แน่ว่าเรืออาจจะประคองไปต่อได้ในดงพายุที่โหมกระหน่ำ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะทำได้ถ้าโดนแค่ครั้งเดียวเพราะไม่ว่าจะเสาเรือหรือวิทยุก็ต่างพังไปหมดเพราะน้ำเค็มๆกับแรงลม โอกาสรอดยิ่งน้อยลงต้องยิ่งตระหนักคิดทันทีได้แล้วว่าเราอยู่ภาวะเสี่ยงที่เรืออาจพังและจมลงได้ตลอดเวลา จึงไม่แปลกว่าการเตรียมพร้อมคือสิ่งสำคัญและย้ำเตือนตัวเองเสมอจากการทำให้ตัวเองตื่นและขยับตลอดเวลาเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีตรงไหนที่ตัวเองลืมหรือพลาดไป แน่นอนว่าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะสภาพอากาศ ตู้คอนเทนเนอร์ หรือชายชราผู้มากับเรือใบลำเล็ก เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลาอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั้นจึงเป็นข้อดีขงหนังเรื่องนี้ที่ถ่ายทอดด้วยความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งการเล่าเรื่องกับสิ่งที่สื่อออกมาจะไม่ต่างกับผู้ชมที่คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆในแบบมนุษย์ล่องหนที่ตัวละครไม่เห็นเราแต่เราเห็นชายแก่ผู้นี้ตัดสินกระทำในสิ่งต่างๆ รู้ไหมสไตล์โดยปล่อยร้างนี้อาจทำให้หลายคนคิดถึง Cast Away (2000) ที่ Tom Hanks เล่นอยู่คนเดียวบนเกาะเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินจนทำให้เขากลายสภาพเป็นคนยุคหินใช้ข้าวของเท่าที่สามารถทำได้ แต่นั้นออกจะหนักไปทางดราม่าและการบอกว่าคนเรามิอาจอยู่ตามลำพังได้เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม ลึกๆแล้วเราต้องการใครสักคนหรือบางสิ่ง สิ่งนั้นอาจไม่มีารตอบโต้แค่ขอให้รู้ว่าเรายังมีลมหายใจต่อสู้กับชีวิตได้ สิ่งนั้นคือลูกบอลลูกกลมใบหนึ่งที่ถูกเขียนเป็นรูปหน้าพร้อมตั้งชื่อให้ว่าวิลสัน น่าแปลกที่การคุยกับตัวเองคงเป็นคนบ้าแต่ถ้านี่คือการระบายอารมณ์ของความอ้างว่าง เราก็พูดได้ราวกับสิ่งนั้นคือผู้รับฟังที่ดี


ทว่ากับ All Is Lost ไม่เป็นเช่นนั้นกับบทพูดที่หาได้ยากจนเกือบๆเป็นหนังเงียบได้ถ้าไม่เสียงของเพลงประกอบนิดหน่อยกับเสียงคลื่นหรือลมที่เป็นองค์ประกอบในแต่ละฉาก ถามว่าทำไมไม่พูดกับตัวเองบ่นก็ได้เพราะอย่างน้อยความน่าเบื่อจะได้น้อยลง ถ้าถามว่าน่าเบื่อเหรอที่ไม่พูดอะไรเลยคงตอบว่ามันหดหู่มากกว่า ตามปกติคนเราไม่พูดกับตัวเองเมื่อมีความมั่นใจหรือเป็นคนที่ไม่เข้าสังคมนัก เราก็ไม่รู้เพราะหนังไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไปนอกจากเรือหนึ่งลำกับชายชราที่จัดการแก้ปัญหาด้วยความเหนื่อยแทบทั้งเรื่อง แต่ละฉากล้วนคือปัญหาที่ถาโถมไม่หยุดหย่อนคล้ายบททดสอบของชีวิต เป็นไปได้ไหมถ้าเรื่องทั้งหมดกำลังบอกเกี่ยวกับชีวิตที่เกิดมาล้วนต่างมีคนละหนึ่งชีวิต ในหนึ่งชีวิตนี้เราต้องเจออะไรบ้างนั้นคือปัญหาที่เราต้องรู้จักแก้ เวลาอยู่ตามลำพังทำไมถึงเปล่าเปลี่ยวนักคล้ายไม่มีใครสนใจ ในหนึ่งชีวิตมักมีอีกหลายชีวิตวิ่งวนมารอบข้างเสมอแม้จะไม่รู้จักหรือคุ้นเคยเช่นทะเลที่มีเรือลำเดียว ไม่มองเห็นอะไรสักอย่างนอกจากน้ำและน้ำ ไม่มีคนสนใจหรือติดตาม เราเกิดมาคนเดียวย่อมเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะคนที่กำหนดเส้นชีวิตคือตัวของเราไม่ใช่ทะเล

ทุกๆฉากเล่าเรื่องได้สมจริงยิ่งกว่าจริงจนน่าสนใจไม่น้อยที่หนังไม่ได้ทำอะไรให้หวือหวาหรือกระชากใจผู้ชมด้วยการปั้นเรื่องปั้นราวให้ออกมาสนุกเช่นหนังเอาตัวรอดที่ต้องการความลุ้นระทึกเป็นหลัก ทว่านี้กลับเลือกปล่อยไปตามธรรมชาติเจอสิ่งที่แน่นอนอยู่เสมอไม่ว่าจะพายุหรือเรื่องเสบียง ในช่วงแรกปัญหาได้รับการแก้ไขด้วยทักษะของชายชราที่ไม้ใกล้ฝั่งแต่ปัญหาได้รุกเร้าไม่เลิกลาจนเรือที่รักษามาตลอดต้องถึงอายุขัยล่มพังตามสภาพความสมควรหรือจะบอกว่าครึ่งชีวิตได้เดินทางมาถึงที่สุดแล้ว ในขณะเดียวกันเรือคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่บนน้ำได้ ตอนนั้นเรายังพึ่งเรืออยู่และเราก็รักษาเรือเท่าที่ทำได้เป็นการตอบแทนซึ่งกันและกันตลอดเส้นทาง จนเมื่อเวลาของเรือจบลงเราก็หันไปใช้เรือชูชีพที่อัดลมพร้อมกับพื้นที่เล็กๆเหมาะกับการประทังชีวิตเพื่อเอาตัวรอดด้วยข้าวของเท่าที่มีอย่างจำเป็น จะแตกต่างจากหนังเรื่อง Life of Pi (2012) เพราะไม่ใช่มีเสือหรือมีปรัชญาแทรกแซงตลอดทั้งเรื่องจนชวนน่าประทับมองโลกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งเป็นวัฏจักร ในที่นี่มีแต่คำว่าคนเดียวในพื้นที่กว้างใหญ่ไม่มีเพื่อนเป็นลูกบอลหน้ายิ้มเป็นผู้รับฟังที่ดีหรือสัตว์ที่กลายเป็นเพื่อนร่วมทาง สิ่งที่ทำได้คือใช้เครื่องมืออุปกรณ์มองดวงอาทิตย์กำหนดระยะทางจากแผนที่ตามความรู้ที่ตัวเองมีเพื่อคาดคะเนจากจุดที่ตัวเองอยู่ในแต่ละวันที่ผ่านไปอย่างช้าๆคนเดียว การอยู่คนเดียวต้องทำอะไรหลายอย่างมากมายตั้งแต่นอนด้วยเสื้อหลายตัวเพราะความเหงา อาหารที่เริ่มหมดจนความโหยหิวเข้ามาตลอดทาง แต่ประสบการณ์ช่วยได้ถ้ามีสติเสมออย่างเช่นการน้ำเปล่าในทะเลเราควรทำยังไง ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชมสำหรับเรื่องนี้คือความพยายามเอาตัวรอดอยู่เสมอโดยไม่มีคำว่าโชคช่วย ต้องพึ่งศักยภาพตัวเองเท่านั้น


โดยส่วนตัวนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในการบอกบางอย่างที่แน่นอนอย่างหนึ่งว่าจงอย่ากลัวแม้ต้องอยู่คนเดียว มองได้จากฉากหนึ่งที่ชายแก่ผู้นี้อยู่ในเรือชูชีพเอามือปิดหูหดตัวเข้ามาราวกับเด็กน้อยที่ตื่นจากฝันร้ายแล้วภาพยังคาใจไม่หาย นับเป็นฉากที่น่าสะเทือนและหดหู่ไม่น้อยคล้ายกำลังภาวนาขอให้พายุเลิกเสียทีฝันร้ายจบลงตอนนี้ได้ไหม เป็นการบอกได้เลยถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เริ่มจะไม่ไหวอีกต่อไปแต่สุดท้ายต้องทนต่อไปเพื่อสู้กับชีวิต ห้ามท้อถอยห้ามยอมแพ้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ดูแล้วประทับใจจริงๆแม้จะต้องแลกมาด้วยความรู้สึกเบื่อเป็นบางฉาก เนื่องจากตัวหนังไม่ได้ทำให้ผู้ชมชวนลุ้นระทึกหรือหวือหวาอะไรเพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้หมด ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงดูธรรมดาไปหน่อยแต่ยอมรับว่าถ้าไม่เข็มแข็งจริงอยู่ไม่ได้ถึงนี้หรอก อีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับตอนท้ายเรื่องที่น่าแปลกใจคือการเจอเรือบรรทุกสินค้าที่แล่นผ่านไปถึง 2 ลำราวกับชายแก่ผู้นี้ไร้หมายความถูกปล่อยร้างไปอย่างหน้าตาเฉยทั้งที่จุดพลุสัญญาอย่างดี มันต้องมีเห็นบ้างสินี่เป็นความรู้สึกที่ดูแล้วแปลกใจไม่น้อยว่าเพราะอะไรพลุสัญญาถึงถูกมองข้ามได้ หรือเวลายังไม่ถึงกันแน่ ขณะเดียวกันหรือว่าเรือลำดังกล่าวยังไม่ใช่เรือที่เขาควรขึ้น นั้นเพราะเรือบรรทุกสินค้านี้มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชวนรู้สึกจุกและเจ็บในใจได้หน่อยๆคือตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรทุกมาเต็มลำ ในช่วงแรกของปัญหาเรือถูกตู้คอนเทนเนอร์ปริศนาลอยน้ำมาชนจนเกือบอับปางจมกลางทะเลไปแล้ว เป็นไปได้ว่าตู้คอนเทนเนอร์อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงหรือโชคชะตาอะไรสักอย่างที่ชักพาให้เกิดบางสิ่ง ในที่นี่ตู้บรรทุกของอาจคือการนำบางสิ่งมาซึ่งคืออะไรเราไม่รู้เว้นกับตู้แรกที่เราเห็นเป็นรองเท้าที่น่าจะหมายถึงจงก้าวต่อไป


สุดท้ายนี้หนังไม่ได้เริ่มที่หลักแหล่งแน่นอนว่าคืออะไรยังไงและทำไม แต่ตอนจบดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับบางคนในขณะที่บางส่วนมองเป็นเรื่องงี่เง่าที่ชายแก่ผู้นี้ยอมเผาเศษกระดาษเพื่อให้เรือซึ่งน่าจะใช่เพราะเห็นแสงไฟจากระยะทางที่ไกลในเวลากลางคืน ผลคือการเรือชูชีพรับผลพลอยโดนเผาไปด้วยจนชายแก่ผู้นี้ต้องโดดลงน้ำก่อนจะหมดแรงค่อยๆทิ้งดิ่งลงสู่ทะเล หลายคนอาจรู้สึกแปลกกับคนเก่งที่ฉลาดคนนี้ทำไมถึงกระทำคล้ายฆ่าตัวตายเช่นนี้ เพราะความหวังของคนแก่มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว การเห็นเรือผ่านไปต่อหน้าต่อตาหลายลำเป็นการบั่นทอนจิตใจอย่างหนึ่ง การกระทำสุดท้ายนี้ถ้าไม่เป็นผลก็ไม่มีอะไรจะหวังอีกต่อไป จะสำเร็จหรือไม่ก็ปล่อยไปตามโชคชะตา แต่ที่รู้ๆเราทำเต็มความสามารถจนสมควรแก่การคำว่าพักบ้างเสียที

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)