The 39 Steps (1935)
Director: Alfred Hitchcock
Genres: Mystery | Thriller
Grade: A
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
คงไม่มีอะไรสนุกไปกว่าวิธีการเล่าเรื่องของผู้กำกับ Alfred Hitchcock ที่สามารถดึงอารมณ์ตลกร้ายภายใต้สถานการณ์ชวนซีเรียสได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งความซวยอาจไม่เรียกว่าใช่ได้เต็มปาก แต่ถ้าบอกว่าเป็นความผิดพลาดที่ปักใจเชื่อเองก็คงไม่ผิด เพราะไม่มีอะไรที่ยืนยันความถูกต้องได้สมบูรณ์ แค่สถานการณ์บางอย่างพาไปจนเหมือนใช่ ผลลัพธ์ที่ตอบตกลงได้กลายเป็นข้อผูกมัดที่ไม่ทันรู้เรื่องดีพอต้องเจอสารพัดปัญหาเข้าซะแล้ว
แค่เพียงเชื่อว่าเป็นจริงทำให้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนการใช้ชีวิตไปทุกอย่าง แต่กว่าจะถึงจุดนั้นได้พยายามพิสูจน์ด้วยการซักคำถามเพื่อหาความน่าเชื่อถือหลายข้อ ซึ่งใครจะไปคิดว่าผู้หญิงปริศนาที่เจอด้วยนั้นกุมความลับบางอย่างที่สำคัญมากเอาไว้ ทำให้แฮนเน่ย์ที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้ต้องตระหนักในความจริงเสียใหม่เพราะผู้หญิงปริศนาคนนั้นต้องมาด่วนจบชีวิตลงต่อหน้าต่อตากลางดึก เนื่องจากมีใครที่ไหนไม่รู้เอามีดปักกลางหลัง ไม่รู้เป็นใครเพราะไม่มีฉากดังกล่าวให้เห็น สิ่งที่ชัดเจนและเห็นด้วยกับความคิดของตัวละครในฉากนี้เป็นสถานการณ์ชวนบีบบังคับที่ไม่บอกก็รู้ว่าลงเรือลำเดียวกับผู้หญิงปริศนาคนนั้นแล้ว
ถึงแม้เรื่องจะตกมาที่แฮนเน่ย์อย่างไม่คาดฝัน กระนั้นความตกใจไม่ทำให้ตัวละครนี้เกิดความวิตกตกใจกลัว แต่เลือกไปต่อตามคำแนะนำของผู้หญิงปริศนาที่เคยถูกซักถามว่าจะทำอะไรและยังไงต่อ ด้วยเหตุนี้การหลบหนีเพราะใครๆนึกว่าเขาเป็นฆาตกรจึงเริ่มต้นขึ้น
การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางตามคำสั่งเสียของผู้หญิงปริศนาเพื่อสะสางความลับได้ตกเป็นของแฮนเน่ย์ ซึ่งลึกๆแล้วไม่มีความเข้าใจหรือรู้ในรายละเอียดสักอย่างเดียว สิ่งที่รู้มีเพียงชื่อของหัวข้อ"39 Steps"หรือ"บันได 39 ขั้น" การที่ตัวหนังไม่บอกว่าคืออะไรแม้แต่นิดเดียวได้สร้างความสงสัยตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้หรือเชื่อมโยงเข้าหาได้อย่างเหมาะสม กระนั้นในความลับที่น่าสงสัยนี้ได้บอกเพียงสั้นๆเกี่ยวกับกองทัพอากาศที่ไม่รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด การไม่มุ่งเน้นในปริศนาทำให้จุดเด่นของเรื่องราวตกอยู่ที่การเอาตัวรอด จะไปไหนมาไหนล้วนตื่นเต้นจนลืมที่มาที่ไป
ไม่รู้การเดินทางจากลอนดอนไปสกอตแลนด์จะช่วยอะไรได้บ้าง นอกจากต้องเดินทางหาคำตอบเองเพราะมีความเชื่อมั่นว่าไปถึงจุดหมายปลายทางจะได้รับการช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นหนทางเดียวที่ทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายลงได้ กระนั้นการเดินทางแบบหลบๆซ่อนๆได้สร้างความตื่นเต้นตลอดเวลา โดยเฉพาะฉากรถไฟที่ให้อารมณ์หลากหลายจนไม่รู้ทิศทางที่แน่นอน เดี๋ยวนึกกลับใจเพราะกลัวความผิด(ทั้งที่ไม่ผิด) แต่เมื่อได้ยินโทษประหารก็นึกขึ้นว่าลองเสี่ยงหนทางอื่นดีกว่า นับเป็นฉากพลิกอารมณ์ที่ตลกร้ายใช่ย่อย แต่จะสนุกมากขึ้นเมื่อต้องหนีตำรวจที่มาตรวจค้น ซึ่งการหลบหนีที่พยายามทำตัวฉลาดแต่โชคไม่ช่วยกลายเป็นมุขตลกปนซีเรียสที่ลุ้นกันเต็มที่เพราะหักหน้าผู้ชมและตัวละครจนเกือบเอาตัวไม่รอด
จากชายธรรมดาที่มารู้ความลับเพียงเศษเสี้ยวได้กลายเป็นอุปสรรคราวกับความลับที่ยิ่งใหญ่ แต่ใครจะไปรู้เกี่ยวกับชายคนนี้ที่ต้องหนีเพราะถูกมองเป็นฆาตกรออกข่าวหน้าหนึ่ง วิธีที่จะช่วยให้ทุกอย่างกระจ่างคือการเดินทางไปที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ ทว่าความพยายามหนีเพื่อหาที่พึ่งต้องเซอร์ไพรส์อย่างหนักเพราะหนึ่งในเรื่องเล่าของผู้หญิงปริศนาได้ปรากฏต่อหน้า นั่นคือให้ระวังคนที่มีนิ้วก้อยขาด การเดินทางมาเพื่อไข้ข้อสงสัยและน่าจะช่วยแบ่งเบาปมปัญหานี้ต้องชะงักลง เพราะคนนั้นตรงตามลักษณะทุกอย่างเหมือนกับเดินทางมาหาปัญหาเสียเอง การพลิกสถานการณ์คือจุดเด่นที่ไม่ยอมจบง่ายๆและแก้ยากยิ่งกว่าเดิม
ความยากอาจแก้ง่ายถ้าอยู่คนเดียว ฉะนั้นถ้ามีคนร่วมสถานการณ์ชวนเครียดจะยิ่งลุ้นและตื่นเต้น จึงมีการเพิ่มเรื่องของแฮนเน่ย์ถูกกุญแจจับข้อมือร่วมกับหญิงสาว (Madeleine Carroll) ที่จงเกลียดจงชังในตัวเขาเพราะไปขโมยจูบเพื่อแสร้งทำเป็นคู่รักตบตาตำรวจ ซึ่งเวลาต่อมาได้กลายเป็นฉากโรแมนติกของทั้งสองที่อุดมด้วยความรักและความชัง จะเกลียดก็เกลียด จะรักก็รัก เป็นช่วงผ่อนคลายจากความหนักหน่วงที่น่าพึงพอใจ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากฉากนี้คือแฮนเน่ย์เริ่มเรียนรู้และเทคนิคหลอกล่อคน เป็นสิ่งที่สื่อการไม่ยอมต่อความจริงและจะชนะแม้ด้วยด้วยการหลอกก็ตาม
ความพยายามของตัวละครที่ทำได้ทุกอย่างจนเริ่มซึมซับความสามารถของการเป็นสายลับทั้งที่ไม่ได้ฝึกฝน บางอย่างเป็นความสดใหม่ของตัวละครที่พึ่งทำเป็นครั้งแรกแต่ได้ประสบการณ์จากสิ่งรอบตัว สิ่งนี้เหมือนสะท้อนความจริงและหลอกลวง ไม่ต่างกับนักแสดงที่ต้องเล่นบทอะไรก็ตามแต่ต้องทำให้เหมือนที่สุด โดยมีผู้ชมเป็นคนสัมผัสว่าใกล้เคียงหรือใช่กับที่แสดงมากแค่ไหน สำหรับสายลับที่ต้องกลายเป็นคนอื่นไม่ต่างกับการแสดง ยิ่งเล่นเนียนเท่าไรยิ่งตีบทแตกมากเท่านั้น ซึ่งแฮนเน่ย์ทำได้ผ่านฉลุยเพราะไปไกลมากกว่าการหลบหนี แต่ยังเป็นคนอื่นบอกปากประกาศจนหลายคนเชื่อทั้งที่ไม่ใช่ตัวเขาเองด้วยซ้ำ
The 39 Steps ไม่สนว่าสิ่งที่เป็นความลับนั้นคืออะไรและสำคัญมากแค่ไหน ฉะนั้นการเฉลยความจริงในตอนจบจึงเป็นเรื่องที่ธรรมดา เมื่อรู้แล้วแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ประเด็นอยู่ที่ความลับนี้มีผลยังไงกับคนที่รู้ แน่นอนว่าแฮนเน่ย์ไม่รู้ในรายละเอียด แต่ต้องหนีเพราะสถานการณ์ชวนบังคับ หลายคนปักใจเชื่อว่าคือฆาตกร แต่ก็มีคนที่คิดว่าเขาบางอย่าง การปล่อยเอาไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเพราะความลับนี้ต้องไม่เปิดเผย กระนั้นถึงจะเปิดเผยถึงความลับที่อาจส่งผลเลวร้ายก็ใช่จะมีคนเชื่อจริงๆ มันคืออะไรยังไม่รู้ จะบอกว่ามันสำคัญและส่งผลต่อประเทศ แล้วนั่นใครจะเชื่อถ้าพูดปากเปล่า