
Final Destination: Bloodlines (2025) | ไฟนอลเดสติเนชั่น ทายาทโกงตาย | A
Director: Zach Lipovsky, Adam B. Stein
Genres: Horror
แฟรนไชส์ลำดับที่ 6 ที่ทิ้งหายไปนานถึง 14 ปี จนคิดว่าอาจไม่ได้กลับมาอีกแล้วเพราะยิ่งสร้างยิ่งขาดความสดใหม่ พล็อตวนอยู่กับสิ่งเดิมที่โกงตายไปไม่ได้ช่วยให้รอดได้จริง แค่ยื้อเวลาด้วยทฤษฎีที่เพิ่มใหม่ได้ทุกภาค และรอดูการตายที่ของใครจะพิสดารหรือซับซ้อนกว่ากัน

“เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ”
สิ่งที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดคือการกลับมาของนักแสดง Tony Todd ที่กลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำในฐานะผู้ขยายความหรือให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับความตาย แม้จะไม่ได้โผล่ครบทุกภาค แต่การกลับมาครั้งนี้ได้ช่วยคลายปมที่เนิ่นนานเกี่ยวกับตัวตนของตัวละครนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกทั้งเป็นการส่งท้ายของนักแสดง Tony Todd จากการที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งเข้ากับชีวิตจริงและพล็อตที่เป็นหนึ่งในบุคคลรอดตายจากการโกงความตาย และศึกษารูปแบบความตายมาตลอด เมื่อถึงเวลาต้องจากไปในชีวิตจริงจึงไม่ต่างกับบทที่ตัวละครนี้ต้องจบด้วยเช่นกัน
พล็อตโกงความตายในครั้งนี้จะแตกต่างจากทุกภาค แม้การเล่าจะมีลักษณะที่เหมือนกันคือมีความตายไล่ล่า ซึ่งทุกภาคจะมีเหตุการณ์ใหญ่ที่หลายชีวิตต้องตาย ทว่าหนึ่งในผู้ร่วมเหตุการณ์เห็นนิมิตจึงพารอดมาได้ แต่จะรอดแค่บางส่วนเพราะมีบางคนที่ไม่เชื่อเพราะคิดว่าประสาทเสียหรือกลัวไปเอง กระนั้นครั้งนี้ทำให้ทุกคนรอดชีวิตทั้งหมด และยังสมเหตุสมผลอีกด้วย

การรอดชีวิตทั้งหมดเป็นอภิมหาโกงความตาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการไล่เก็บทีละราย ดังนั้นช่วงระยะเวลาที่ความตายทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ นั้น คนที่รอดชีวิตต่างพากันไปมีครอบครัวมีลูกมีหลาน ทำให้คนที่ไม่ควรเกิดได้เกิดมาจากคนที่น่าจะตายไปแล้ว
สมกับชื่อ Bloodlines ที่ต้องการเจาะกลุ่มคนในครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความตายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งผิดจากทุกภาคที่จะเป็นกลุ่มคนกระจัดกระจาย เช่น แฟน เพื่อน และผู้ร่วมเหตุการณ์ที่หมายถึงใครก็ได้ ด้วยเหตุนี้การเข้าถึงมิติตัวละครจึงดูคล่องตัวกว่ามาก
แม้บางสิ่งจะเหมือนเดิม แต่ความใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะการหลอกล่อให้คนดูเกิดอาการเชื่อ ซึ่งรวมไปถึงตัวละครยังเชื่อเช่นนั้นเสมอมา แม้แต่ความตาย (น่าจะ) เข้าใจผิดเช่นกัน ทำให้กลายเป็นตลกร้ายที่กล้าเล่นกล้าทำทั้งที่สถานการณ์มีความตึงเครียดขนาดนั้น

แม้มีความเครียดที่ต้องหนีความตาย แต่ความตลกร้ายที่เกิดจากความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสิ่งที่หาในภาคก่อนๆ ไม่ได้ การช่วยเหลือหรือการหยอกล้อจึงไม่สร้างความรำคาญอย่างที่ควรเป็น
นอกจากนี้ยังทดสอบคนดูที่จำกฎหรือกติกาต่างๆ เกี่ยวกับความตายในแต่ละภาคที่ผ่านมา เช่น การจบชีวิตด้วยตัวเองก่อนความตายจะมาพราก การเพิ่มเวลาชีวิตตัวเองด้วยการชิงเวลาชีวิตคนอื่น การแทรกแซงความตาย และอีกหลายข้อที่แฟรนไชส์นี้สรรหามาให้ขบคิด
โดยส่วนตัวค่อนข้างประทับใจกับการกลับมาของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่าที่หวังและอาจดีกว่าในหลายภาค แต่สิ่งที่ภาคนี้พยายามมากไปคือการออกแบบการตายของแต่ละคนที่เน้นรุนแรงจนรู้สึกเว่อร์ ราวกับความตายมาระบายความแค้นที่ตัวเองต้องทำงานหนักกว่าเดิมจากบรรดาคนที่ไม่ควรเกิด ดังนั้นโอกาสรอดหรือพลิกแพลงให้รอดจึงยากมาก

ด้วยความที่เน้นรุนแรงให้สะเทือนขวัญสั่นประสาทกันแบบต่อหน้า ทำให้บางครั้งดูปลอมเกินกว่าจะเรียกสมจริง แต่หากมองข้ามการใช้ CGI จะเห็นว่าโหดพอสมควร และอาจโหดกว่าทุกภาคเพราะต้องการให้สภาพร่างกายดูย่ำแย่และเละเทะมากที่สุด
อีกอย่างที่ชอบมากคือการเดาสุ่ม ไม่มีลางบอกเหตุหรือความน่าจะเป็นในสิ่งที่ต้องระวัง สิ่งที่รับรู้คือการไล่ลำดับไปตามผังเครือญาติ ดังนั้นจึงรู้ว่าใครคือรายต่อไป แต่จะให้ป้องกันตัวจากอะไรล่ะ ในเมื่อสิ่งที่อยู่รอบตัวอาจสามารถทำอันตรายถึงตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สิ่งหนึ่งที่ชอบและแปลกกว่าทุกภาค คือ การได้เห็นตัวละครต่อสู้กับความตายจนอยู่รอดและชราภาพ การสร้างสถานที่และติดตั้งสิ่งต่างๆ ให้ดูอันตรายต่อการใช้ชีวิตช่วยให้ปลอดภัยจากความตาย เพราะความตายมาในรูปแบบของอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ถ้าทำให้ตัวเองอยู่ในความเสี่ยงที่อาจตายได้เองจะช่วยให้อยู่รอดนานขึ้น
มีหลายสิ่งที่ชอบและอาจไม่ชอบเล็กน้อย แต่การกลับมาของแฟรนไชส์นี้ต้องยอมรับว่ากลับมาด้วยคุณภาพที่อาจจะสูงกว่าทุกภาค ดังนั้นจึงไม่รู้สึกผิดหวังเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะความตลกร้ายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันได้ ทำให้รู้สึกว่าความตายใกล้ตัวมากขึ้น และอาจใกล้มากจนปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีโอกาสให้แก้ไขอีกแล้ว
