Scream 2 (1997) หวีดสุดขีด 2

Scream 2 (1997) | หวีดสุดขีด 2
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery
Grade: C+

ปกติถ้าหนังภาคแรกออกมาดีย่อมมีภาคต่อเป็นพิธีอยู่แล้วแต่กับเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นถ้าตั้งใจทำออกมาทันทีเป็นไตรภาคโดยไม่ต้องรอว่าภาคแรกจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นแทบไม่ต้องอะไรเลยเมื่อภาคแรกจะเฟอร์เฟคขนาดนั้น Miramax ย่อมไฟเขียวต่อโดยปริยายและแน่นอนต้องมีอีกภาคต่อให้จบครบสามองค์แน่นอน แต่หนนี้ขอกล่าวถึงองค์ที่สองในภาคต่อที่ยังคงเช่นเคยกับนักแสดงชุดก่อนที่เหลือรอดไม่ว่าจะซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Neve Campbell) ที่ตอนนี้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว หรือจะเพื่อนสนิทแรนดี้ (Jamie Kennedy) ที่รอดชีวิตมาด้วยกันอย่างหวุดหวิด รวมถึงดิวอี้ (David Arquette) นายตำรวจในภาคแรกที่ยังไม่ทิ้งห่างซิดนี่ย์ด้วยความเป็นห่วง และที่ยังเป็นไม้เบื่อไม้เมาไม่หายคือเกล (Courteney Cox) นักข่าวที่ตามติดทุกเวลาเพื่อล่าข่าวให้ได้ข้อมูลก่อนใครและสมจริงที่สุด และแน่นอนว่าในหนนี้ย่อมมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาใหม่กับเพื่อนใหม่ๆที่มีทั้งเดเร็ค (Jerry O'Connell) หนุ่มนักเรียนแพทย์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนเฉยๆแต่เป็นรักใหม่ของซิดนี่ย์ , ฮอลลี่ (Elise Neal) , ซีซี่ (Sarah Michelle Gellar) สาวนักเรียนในชั้นภาพยนตร์ และมิคกี้ (Timothy Olyphant) เพื่อนสนิทฝ่ายเดเร็ค ที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะเพิ่มแม้กระทั่งบทของตากล้องที่ตีคู่มากับเกลกับโจเอล (Duane Martin) ที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเช่นคนเก่าหรือเปล่า นอกจากนักแสดงที่ขนมาอย่างเยแล้วยังมีเจ้าเก่าที่ขาดไม่ได้คือผู้กำกับ Wes Craven ที่มาเติมความสยองกันถึงที่

Scream (1996) หวีดสุดขีด

Scream (1996) | หวีดสุดขีด
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery
Grade: A-

กฎข้อแรก"จงอย่าได้มีเซ็กซ์เป็นอันขาด"
ข้อสอง"อย่ายุ่งกับสิ่งเสพติดทุกชนิด"
ข้อสามอย่าบอกว่า"ฉันจะกลับมา"
และข้อสุดท้าย"ทุกคนเป็นผู้ต้องสงสัย"

นี่คือพื้นฐานเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสูตรหนังสยองขวัญทั้งหลายแหล่ที่ซึ่งล้วนหลีกหนีข้อดังกล่าวทุกใดข้อหนึ่งไม่ได้หมด เว้นแต่ว่านั่นจะเป็นมากกว่าหนังสยองขวัญเพี้ยวๆ อย่างข้อแรกที่ว่าเรื่องเซ็กซ์อันเกิดจากความกระหายของช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นอันแสนอยากลองพิสูจน์เรื่องเพศจนเป็นธรรมเนียบที่ต้องพบประจำแทบทุกๆเรื่องที่อย่างน้อยจะหาเวลามีอะไรกันได้ตลอดแม้สถานที่จะไม่อำนวยเลยก็ตาม ซึ่งเป็นจังหวะของผู้ชมที่อยากดูบ้างล่ะมีของดีโชว์บางล่ะ แต่เรื่องแบบนี้ดันชอบกันจริงเพราะมันมีอารมณ์เป็นภูมิหลังช่วยเสริม จึงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ว่าหนังสยองจำเป็นต้องมีมากกว่าการฆ่าได้ซึ่งเลือดกับศพ เนื่องจากเป็นการเจาะเข้ากลุ่มวัยรุ่นให้ออกมาเร้าใจคล้ายกับต้องสยองแล้วต้องกระตุ้นด้วย ดังนั้นหนังสยองขวัญจึงมีผลพวงเรื่องเพศอยู่ทั้งการแต่งกาย และอิทธิพลอีกหลายอย่างอันไม่จำเป็นที่นำพามาสู่เรื่องเซ็กซ์ได้ เช่นกับการหาความสุขใส่ตัวแต่หารู้ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของชีวิตได้เช่นกันเมื่อนางเอกที่รอดมักจะเป็นสาวพรหมจรรย์แสดงถึงความบริสุทธิ์ผิดกับตัวละครอื่นๆที่ตายเพราะมีเซ็กซ์กันแล้ว เป็นอีกหนึ่งมุมมองแสดงถึงการกระทำแห่งบาป หรือความสะอาดอันได้รับการปนเปื้อนจนต้องชำระล้างด้วยการกำจัด ซึ่งนั่นแหละเป็นมุมสะท้อนวิถีชีวิตของชาวตะวันตกที่มองว่าเป็นเรื่องปกติทั้งที่น่าจะห้ามๆเอาไว้บ้าง ทั้งนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับเซ็กซ์ว่าทำไมต้องเพราะเช่นนี้อย่างเรื่อง Friday the 13th ที่กล่าวกันว่ามีสูตรตายตัวเรื่องตัวละครมีเซ็กซ์แล้วพบอันเป็นไปบ่อยมาก แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อมองความเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกจะรับรู้ว่านี่คือปมประเด็นอย่างหนึ่งที่สะท้อนชีวิตวัยรุ่นออกมาว่าเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน

Mosquito (1994) ยุงมรณะ

Mosquito (1994) | ยุงมรณะ
Director: Gary Jones
Genres: Horror | Sci-Fi
Grade: C

ยุงคือสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่สร้างความรำคาญและโรคแก่มนุษย์อยู่เสมอ จัดการเท่าไรก็ไม่หมดไปจากโลก สิ่งที่ทำได้คือการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด หรือช่วยกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำขัง ไม่เช่นนั้นยุงจะวางไข่สร้างลูกสร้างหลานอีกนับไม่ถ้วน แต่จะเป็นยังไงหากยุงไม่ได้ตัวเล็กอีกต่อไป เมื่อยุงได้กลายพันธุ์มีขนาดใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า

Birds of Prey: And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn (2020) ทีมนกผู้ล่า กับฮาร์ลีย์ ควินน์ ผู้เริดเชิด

Birds of Prey: And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn (2020) | ทีมนกผู้ล่า กับฮาร์ลีย์ ควินน์ ผู้เริดเชิด
Director: Cathy Yan
Genres: Action | Adventure | Comedy | Crime
Grade: B+

ตอนได้เห็น Suicide Squad (2016) คือความคาดหวังที่จะมาฉีกแนวซูเปอร์ฮีโร่ ได้เห็นตัวร้ายมากอบกู้โลกด้วยวิธีแบบร้ายๆบ้าง แต่คาดหวังไว้สูงจึงต้องเจ็บมากตามไปด้วย ทั้งที่มีของให้ใช้หลายอย่างก็ดูเหมือนยังขาดแล้วขาดอีก ทำให้ตัวละครที่มีเสน่ห์มากสีสันไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่น่าจะมีมิติมากกว่านั้น พอผิดหวังทำให้ความอยากดูต่อไปจึงน้อยลง

Extraction (2020) คนระห่ำภารกิจเดือด

Extraction (2020) | คนระห่ำภารกิจเดือด
Director: Sam Hargrave
Genres: Action | Thriller
Grade: B+

ไม่ง่ายเลยที่เห็น Chris Hemsworth กับหนังที่จดจำสักเรื่อง เพราะนอกจากเป็นเทพเจ้าสายฟ้าอย่าง ธอร์ แล้วก็หาหนังที่น่าจดจำหรือดีๆได้น้อยเต็มที (ยกเว้น The Cabin in the Woods (2011) กับฉากขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งข้ามฝั่ง ก่อนจะเจอเข้ากับบางอย่างที่สร้างความช็อกคนดูถึงขีดสุด) ส่วนเรื่องนี้นั้นให้ความรู้สึกทั้งสองอย่างคือไม่น่าจดจำกับถึงอารมณ์ความมันส์

Underwater (2020) มฤตยูใต้สมุทร

Underwater (2020) | มฤตยูใต้สมุทร
Director: William Eubank
Genres: Adventure | Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B-

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

เปิดเรื่องเห็น Kristen Stewart แปรงฟันหน้ากระจกไม่กี่นาที หลังจากนั้นเกิดระเบิดตู้มต้ามประหนึ่งหนังแอ็คชั่นที่ดูมันส์มากกว่าลุ้นเอาตัวรอด (จังหวะในตอนนั้นใช้มุมกล้องสั่นและรัวๆด้วยระเบิด) ต่อมารวบรวมคนที่ยังเหลือรอดเพื่อหาทางออกจากสถานีขุดเจาะใต้มหาสมุทร แต่แล้วต้องพบว่ามีบางสิ่งต้องการเอาชีวิตพวกเขา

Back to the Future Part III (1990) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3

Back to the Future Part III (1990) | เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi | Western
Grade: A

ในหมู่หนังไตรภาคทั้งหลายตั้งแต่สัมผัสรับชมมา ไม่มีหนังเรื่องไหนจะทำให้รู้สึกต่อเนื่องจนหยิบทั้งสามภาคมาชมติดๆกันได้ขนาดนี้เลย อารมณ์ประมาณว่าจบภาคแรกต้องต่อสองแต่พอจบสองมันต้องอีกสาม

Back to the Future Part II (1989) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2

Back to the Future Part II (1989) | เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi
Grade: A

ภาคแรกจบไปซะแบบนั้นแล้วจะไม่ให้มีภาคต่อคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อลงทุนไป 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ได้กำไรมาถึง 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันจริงตั้งใจทำเป็นไตรภาคเดินเรื่องรวดเดียวแบบไม่ต้องพักต่างหาก นี่สิถึงจะมันส์ขนาดแท้ กลับมาเข้าที่เนื้อเรื่องที่สานต่อจากตอนจบภาคแรกที่ว่าด้วยดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) ใช้รถเจาะเวลาไปอนาคตในปี 2015 ก่อนจะกลับมาในปี 1985 อีกครั้งเพื่อมาบอกมาร์ตี้ (Michael J. Fox) เรื่องลูกในอนาคตที่กำลังจะพบปัญหาชิ้นใหญ่ที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไป ทำให้งานนี้ทั้งด็อกทั้งมาร์ตี้ต้องเดินทางไปอีก 30 ปีข้างหน้าเพื่อไปแก้ไขปัญหานี้ให้จบลงด้วยดี ทำให้การผจญภัยครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าปัญหาของการไปอนาคตครั้งนี้ได้ส่งผลไปยังอดีตจนผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมหาศาลเมื่อด็อกกับมาร์ตี้ได้ย้อนกลับมาเวลาเดิมในปี 1985 แล้วพบว่าทุกอย่างผิดปกติไปหมดทั้งบ้านเมืองที่ตอนนี้ถูกคุกคามจากเหล่าอาชญากรรมจนไร้วี่แววของความสงบสุข โรงเรียนแหล่งความรู้ถูกทำลาย สังคมมีความป่าเถื่อน แต่เพราะอะไรแม้แต่ด็อกยังแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว จะมีเบาะแสอยู่อย่างคือผู้นำแห่งโลกความรุนแรงนี้คือบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) แล้วทำไมเขาคนนี้ถึงกลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจรวยล้นฟ้าได้ทั้งที่หลังจากกลับมาจากอดีตพร้อมแก้ไขปัญหาไปแล้วก่อนหน้านี้ยังเป็นคนใช้อยู่เลย จึงเป็นเหตุสงสัยที่ด็อกกับมาร์ตี้ต้องช่วยกันหาเบาะแสตัวการว่าทำไมเวลาถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ทั้งยังต้องสืบให้ได้ว่าควรทำยังไงจึงจะเปลี่ยนเวลานี้ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง กระนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง และพวกเขาก็หยุดคิดเฉยๆไม่ได้ด้วย

Back to the Future (1985) เจาะเวลาหาอดีต

Back to the Future (1985) | เจาะเวลาหาอดีต
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi
Grade: S

"ขอรับประกันว่าถ้าพูดถึงหนังไซไฟสักเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาต้องมี Back to the Future ติดโผล่ในอันดับหนังที่อยากแนะนำอย่างแน่นอน"

เรื่องได้เกิดขึ้นในปี 1985 กับหนุ่มมาร์ตี้ แมคฟลาย (Michael J. Fox) ที่มีชีวิตครอบครัวอันตกต่ำเพราะถูกกดดันจากบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) ผู้เป็นหัวหน้างานเจ้าบงการให้จอร์จ แมคฟลาย (Crispin Glover) พ่อของเขาทำงานให้แทน ซึ่งนั้นกลายเป็นปัญหาสุดหน่ายของมาร์ตี้ที่น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทว่าเหมือนเรื่องราวกำลังจะเปลี่ยนไปจากการรู้จักดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ผู้สามารถค้นคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ทดลองต่างๆมากๆไม่ต่างกับของเล่น แต่วันนี้ได้อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่ไม่เหมือนอย่างเคยเพราะสิ่งนั้นคือไทม์แมชชีน เป็นยานเจาะเวลาที่สร้างขึ้นมาจากรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานอะตอมนิวเคลียร์ โดยคืนนี้จะมีการทดลองใช้รถข้ามเวลานี้ว่าสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ทว่าหลังจากผ่านการทดลองไปได้ด้วยดีก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้าจนเป็นเหตุบังเอิญทำให้มาร์ตี้เจาะเวลาข้ามไปอดีตอย่างไม่ทันตั้งใจ และเวลาที่มาร์ตี้ย้อนกลับไปคือ 30 ปีก่อน เป็นปี 1955 นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่เขายังไม่เกิดแน่ๆ ซึ่งรวมถึงพ่อกับแม่ (Lea Thompson) ของเขายังไม่รักกันด้วย ซึ่งปัญหามันอยู่หลังจากนี้ที่ว่าเขาจะกลับบ้านยังไงในเมื่อพลังงานหมด

Basket Case 3 (1991) มันแอบอยู่ในตระกร้า 3

Basket Case 3 (1991) | มันแอบอยู่ในตระกร้า 3
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror
Grade: C+

กลับมาต่อเนื่องหลังจากภาคที่แล้ว ดเวน (Kevin Van Hentenryck) เกิดสติแตกที่ต้องผิดหวังในความรักเพราะคิดว่าคนที่ตัวเองรักคือคนปกติเหมือนเขา แต่กลายเป็นว่าไม่ต่างกับตัวประหลาดที่มีร่างกายไม่เหมือนคนปกติ ทำให้เขารู้สึกเคว้างคว้างจนต้องทำร้ายคาร์ไลล์ พี่ชายหรือแฝดที่เกิดมาตัวติดกัน แต่ต่างกันที่ไม่มีร่างกายสมประกอบ มีเพียงแขนและหน้าตาที่รวมเป็นก้อนไม่ต่างจากชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่ง

Basket Case 2 (1990) มันแอบอยู่ในตระกร้า 2

Basket Case 2 (1990) | มันแอบอยู่ในตระกร้า 2
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror
Grade: C+

ภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรก 8 ปี แต่เล่าเรื่องต่อเนื่องติดกัน ทำให้นักแสดงอาจดูผิดหูผิดตาไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งเรื่องจะพูดถึงหลังจากที่ ดเวน (Kevin Van Hentenryck) กับพี่ชายที่เป็นก้อนเนื้อมีชีวิตตกลงจากอาคาร จากตอนจบนั้นทำให้คิดว่าเป็นโศกนาฏกรรมด้วยการจบชีวิตทั้งคู่ ทว่าพวกเขากลับรอดมาได้ แล้วยังเป็นที่ตื่นตาของประชาชนจนเป็นที่ต้องการของสื่อที่อยากเจอตัวมากที่สุด อีกทั้งยังมีคดีเก่าฆ่าคนอีกด้วย

Basket Case (1982) มันแอบอยู่ในตะกร้า

Basket Case (1982) | มันแอบอยู่ในตะกร้า
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror
Grade: B

"เพราะฉันนั้นคือเนื้องอก"

ภาพที่เห็นบางทีตัดสินใจบางเรื่องได้ไม่ตรงตามจริงเสมอไป อย่างหนังเรื่องนี้ที่ภายนอกคือหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง ไม่ได้ทำองค์ประกอบให้ดูดีหรือสมจริงสักเท่าไร บางฉากไม่เนียนแล้วดูเหมือนมือสมัครเล่นด้วยซ้ำ แต่ด้วยความคัลท์เนื้อเรื่องไม่เหมือนคนอื่นหรือหาเปรียบเทียบได้ยากจึงไม่ใช่หนังธรรมดาอย่างที่เห็นเสมอไป

Bad Boys for Life (2020) คู่หูขวางนรก ตลอดกาล

Bad Boys for Life (2020) | คู่หูขวางนรก ตลอดกาล
Director: Adil El Arbi, Bilall Fallah
Genres: Action | Comedy | Crime | Thriller
Grade: B+

ทิ้งห่างจากภาคก่อนนานตั้ง 17 ปี จะให้ระลึกถึง Bad Boys (1995) และ Bad Boys II (2003) คงจำความรู้สึกที่มีตอนนั้นไม่ได้ แน่นอนที่สุดคือหนังแอ็คชั่นคู่หูตำรวจผิวสีที่ดุเดือดและมันส์มาก โดยเฉพาะการต่อคำพูดและวิธีการที่ไม่เกรงใจในวิชาชีพตำรวจสมกับ Bad Boy
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)