แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ War แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ War แสดงบทความทั้งหมด

The Delta Force (1986) แฝดไม่ปรานี

The Delta Force (1986) | แฝดไม่ปรานี | C+
Director: Menahem Golan
Genres: Action | Adventure | Drama | Thriller | War

ถ้าบทเขียนให้จบก็จบได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่เห็นคือการดึงเวลาและกั๊กเพื่อไปสู่ฉากสุดท้ายที่มีแอ็คชั่นจัดเต็มตอนท้าย ซึ่งไม่ได้เร้าใจขนาดต้องเอ่ยคำชม ยกเว้นความโม้ของ Chuck Norris ที่ขี่มอเตอร์ไซค์เอามันส์อยู่เดียว (ฉากจอดรอหน้าประตูให้คนร้ายเห็นก่อนจะอันตรธานอย่างลึกลับราวกับหนังสยองขวัญ)

Shadow in the Cloud (2020) ประจัญบาน อสูรเวหา

Shadow in the Cloud (2020) | ประจัญบาน อสูรเวหา
Director: Roseanne Liang
Genres: Action | Horror | War
Grade: B+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ถ้าหนังไม่ทิ้งประเด็นในต้นเรื่อง คำถามจะเกิดตลอดทั้งเรื่องจนจบว่าสัตว์ประหลาดที่ถูกเรียกเหมือนหนูบินได้คือตัวอะไร ซึ่งนับว่ายังใจดีที่เฉลยให้คนดูเข้าใจ (บางคนไม่รู้อะไรเลย) เพราะตัวนั้นคือ"เกรมลิน"หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าตัวปัญหาที่ถูกทหารนำมาอ้างเพื่อปัดความรับผิดชอบหรือข้อผิดพลาด

Midway (2019) อเมริกา ถล่ม ญี่ปุ่น

Midway (2019) | อเมริกา ถล่ม ญี่ปุ่น
Director: Roland Emmerich
Genres: Action | Drama | History | War
Grade: C+

ตั้งหน้าตั้งตารอฉากไคล์แม็กซ์ จนหนังจบแล้วถึงพบว่าตลอดระยะเวลาที่เล่ามาทั้งหมดนั้นมีสเกลเดียว อันที่จริงควรจะค่อยๆเพิ่มอารมณ์ให้มากขึ้นจนรู้สึกถึงช่วงสุดท้ายหรือฉากเด่นๆที่น่าจดจำ อย่างตอนที่เพิร์ลฮาร์เบอร์โดนถล่มควรจะรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หลังจากนั้นค่อยๆเติมพลังให้ความหวังกลับมาโต้ตอบญี่ปุ่นอีกครั้ง แต่นี้มายังไงเป็นอย่างงั้น

Overlord (2018) ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

Overlord (2018) | ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
Director: Julius Avery
Genres: Action / Adventure / Horror / Mystery / Sci-Fi / War
Grade: B+

ถึง J.J. Abrams ยืนยันว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวใน Cloverfield แต่อาจเป็นเศษเสี้ยวเหตุการณ์เล็กๆที่ไม่จำเป็นต้องหยิบมาเชื่อมโยงก็ได้ เพราะจากเนื้อหาที่จับมาแทบจะน้อยมากที่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยหนึ่งในปริศนาที่หนังให้ไว้เป็นทดลองของนาซี ซึ่งการทดลองดังกล่าวมีวัตถุดิบเป็นน้ำมันจากใต้ดิน วิธีการคือเอามาสกัดแล้วฉีดเข้าร่างกาย หลังจากนั้นสิ่งที่น่ากลัวได้เริ่มต้นขึ้น

Fantasy Mission Force (1983) เฉินหลง 9 มังกรคาบแก้ว

Fantasy Mission Force (1983) | เฉินหลง 9 มังกรคาบแก้ว
Director: Yen-Ping Chu
Genres: Action / Adventure / Comedy / Crime / Thriller / War
Grade: C

"เฉินหลง"เป็นเพียงตัวประกอบ โผล่มาไม่กี่ฉากและแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาใดๆ มาเพื่อความบันเทิงเรียกเสียงหัวเราะและฉากต่อสู้เท่านั้น แต่เพราะความไม่สำคัญและไม่น่าจะเชื่อมโยงอะไรได้เลย ทำให้เป็นตัวละครลูกผีลูกคน ไม่มีดีไม่ร้ายเหมือน Anti-Hero ที่ออกมาช่วยสู้ในไคล์แม็กซ์ (ในเรื่องเล่นเป็นโจร) ซึ่งนั่นเองทำให้ตัวละครที่ไม่น่าสำคัญกลายเป็นพระเอกในตอนจบแบบงงๆ

Operation Red Sea (2018) ยุทธภูมิทะเลแดง

Operation Red Sea (2018) | ยุทธภูมิทะเลแดง
Director: Dante Lam
Genres: Action / Drama / Thriller / War
Grade: B

ตอนดู Operation Mekong (2016) รู้สึกสนุก มีบู๊มีบุ๋นครบรส ผลงานถัดมาอย่างเรื่องนี้ให้อารมณ์คล้าย Black Hawk Down (2001) แต่แทบจะไม่เหลือความบุ๋นแต่อย่างใด จะบู๊จะยิงกระหน่ำกันอย่างเดียว ราวกับมีทุนแค่ไหนขอใช้ให้หมด ไม่กั๊กหรือเหลือเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่น ลงไปกับระเบิดที่พังมันทุกอย่างที่ขวางหน้า ยิงมันทุกสิ่งที่ขยับได้ แทบไม่มีจังหวะพักหายใจหายคอให้คนดูเลย

12 Strong (2018) 12 ตายไม่เป็น

12 Strong (2018) | 12 ตายไม่เป็น
Director: Nicolai Fuglsig
Genres: Action | Drama | History | War
Grade: C

ดัดแปลงจากหนังสือ Horse Soldier เขียนโดย Doug Stanton เกี่ยวกับทหารหน่วย ODA 595 ปฏิบัติงานโจมตีกลุ่มตาลีบันที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่พวกเขาทำเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งนำทีมด้วย (Chris Hemsworth) รวมทั้งหมดเป็น 12 คนในการปฏิบัติภารกิจแนวหน้าที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง แต่พวกเขาเลือกจะทำแม้ไม่มีหน่วยสนับสนุนก็ตามที

The Deer Hunter (1978) เดอะ เดียร์ ฮันเตอร์

The Deer Hunter (1978) | เดอะ เดียร์ ฮันเตอร์
Director: Michael Cimino
Genres: Drama | War

ขอร้องอย่างหนึ่งเกี่ยวกับชั่วโมงแรกที่อาจจะน่าเบื่อสำหรับบางคนว่าอย่าได้ข้ามหรือเปลี่ยนไปไหน เพราะอะไรนั้นคือช่วงชีวิตที่ดีและสวยงามที่สุดในเรื่องแล้ว หลังจากนั้นคำว่าความสุขจะไม่ปรากฎให้เห็นอีกต่อไป จะรู้สึกถึงความหดหู่ที่แม้จะยินดีหรือเบิกบานยังไงก็ค้างคาใจตลอดเวลา ไม่ต่างกับสงครามเวียดนามที่ไม่ประกาศว่าแพ้ แต่เมื่อถอนทัพก็เหมือนแพ้โดยไม่ต้องบอกให้ฟัง จึงเป็นคำถามที่ไม่อาจตอบในสิ่งที่ทำลงไปว่าตกลงแล้วไปรบเพื่ออะไร

R-Point (2004) อาร์-พอยท์ สมรภูมิผี

R-Point (2004)
อาร์-พอยท์ สมรภูมิผี
Director: Su-chang Kong
Genres: Action | Horror | War
Grade: B+

ครึ่งแรกทั้งหลอนทั้งขนลุกไม่คิดว่าบรรยากาศจะเหมาะเจาะเข้ากับฉากหลังเป็นพื้นป่าในยุคสมัยสงครามเวียดนามได้ขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าน่าสะพรึงไม่น้อยกับสิ่งที่ผสมผสานระหว่างจิตวิทยากับเรื่องผีให้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่ความหลอนน่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในหนังเท่านั้น เนื่องจากเคยเกิดขึ้นจริงกับเหล่าทหารเกาหลีใต้ที่ได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจากหน่วย Donkey 3 ซึ่งสัญญาณก็ขาดๆหายๆ จับใจความได้ไม่ชัดเจน มีคลื่นแทรกตลอดเวลา ทว่าสิ่งที่พอฟังรู้เรื่องคือประโยคที่บอกว่าตัวเองกำลังทรมานเหมือนอยู่ในนรกอยากให้ไปช่วยเหลือเร็วๆ แต่นั้นยังไม่หลอนเท่าเมื่อรู้ว่าหน่วยนี้ได้หายสาบสูญไปในพื้นที่ R-Point เป็นเวลา 6 เดือนกว่าแล้ว แน่นอนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่หายไปนานขนาดนั้นแล้วยังติดต่อกลับมาได้ทั้งที่สันนิษฐานไปแล้วว่าหน่วยนี้เสียชีวิตกันหมดทุกคน

The Book Thief (2013) จอมโจรขโมยหนังสือ

The Book Thief (2013)
จอมโจรขโมยหนังสือ
Director: Brian Percival
Genres: Drama | War
Grade: C+

น่าเสียดายแหะที่การเล่าเรื่องดูไม่เป็นไปตามชื่อหนังเท่าไรเลย แต่ต้องออกตัวก่อนว่าไม่เคยอ่านฉบับหนังสือเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเป็นความคิดเห็นแค่ตัวหนังอย่างเดียว ถ้าจะให้เปรียบเทียบหรือหาความเหมือนคงบอกอะไรไม่ได้เกินกว่าแค่ตัวหนังที่สนุกมากน้อยเพียงใด ส่วนที่บอกว่าน่าเสียดายมาจากเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับลีเซล เมมมิงเกอร์ (Sophie Nélisse) สาวน้อยชาวเยอรมันที่ถูกส่งมาอยู่กับฮานส์ ฮิวเบอร์แมน (Geoffrey Rush) พ่อบุญธรรมและโรซ่า ฮิวเบอร์แมน (Emily Watson) แม่บุญธรรมในเมืองแห่งหนึ่งในเยอรมัน เริ่มจากลีเซลอ่านหนังสือไม่ออกแต่มีหนังสือพกติดตัวมาเล่มหนึ่ง ฮานส์จึงได้สอนการอ่านหนังสือให้จนลีเซลอ่านได้เอง พออ่านเป็นและอยากอ่านเพิ่มแต่หาหนังสือไม่ได้จึงได้แอบขโมยหนังสือมาอ่าน และนี่คือคร่าวๆเกี่ยวกับหนังสือและการขโมยหนังสือที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร

13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016) 13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี

13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016)
13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี
Director: Michael Bay
Genres: Action | Drama | Thriller | War
Grade: B-
 
เป็นงานพักเบรกก่อนจะไปทำ Transformers: The Last Knight (2017) ที่บอกจะไม่ทำแต่สุดท้ายทำเองจนได้(ก่อนหน้านี้ได้บอกจะไม่ทำ Transformers: Age of Extinction (2014) แต่สุดท้ายทำซะดื้อๆ) คิดๆแล้วบางทีการทำ  Transformers จนมาถึงภาค 5 ได้ก็กลายเป็นเสน่ห์อย่างนึงที่ลืมไม่หลง ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่น งานภาพ หรือเทคนิคต่างๆล้วนบอกถึงความเป็นผู้กำกับ Michael Bay แทบทั้งสิ้น และการให้ใครมาทำหน้าที่นี้อาจทำให้โทนของหนังเปลี่ยนไป ยอมรับว่าเนื้อเรื่องจะประคับประคองได้ไม่สู้ดีแต่ส่วนของแอ็คชั่นคือความจัดเต็มจนคอแอ็คชั่นถูกใจหลายต่อหลายคน ขณะเดียวกันคือความเอียนที่ไม่ถูกปากใครอีกหลายคนเพราะความยืดยาวที่ไม่รู้จักจบเสียที เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน ทว่าจากที่รู้สึกเกินกลับกลายเป็นขาดเสียแทนมากกว่า จะว่าแล้วเนื้อเรื่องได้อิงจากเหตุการณ์จริงที่เอาจริงๆแล้วไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรด้วยน่ะสิ พอกลายเป็นหนังจึงรู้สึกขาดไปบ้างในบางอารมณ์ กระนั้นรู้สึกมีบางอย่างที่กำลังพอดีอีกด้วย

Full Metal Jacket (1987) เกิดเพื่อฆ่า

 
Full Metal Jacket (1987)
เกิดเพื่อฆ่า
Director: Stanley Kubrick
Genres: Drama | War
Grade: S

 สำหรับหนังสงครามที่คุ้นเคยอย่างมากเห็นจะเป็นสงครามเวียดนามหรือไม่ก็สงครามโลกครั้งที่สองแต่เหมือนอย่างหลังดูค่อนข้างแน่นอนในชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในขณะที่อย่างแรกคือความพ่ายแพ้ด้วยรอยแผลที่ตัวเองสร้างขึ้น ข้อได้เปรียบของทหารเวียดกงคือยุทธศาสตร์บ้านเกิดปะปนกับธรรมชาติแฝงตัวกลมกลืนกับชาวบ้านที่บางทีไม่อาจแยกออกระหว่างชาวบ้านกับทหารได้อย่างชัดเจน สิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาแพ้ไม่ใช่ความทันสมัยหรือจำนวนคนแต่เกิดจากความไม่รู้เรื่องรู้ราวในขณะที่ทหารฝ่ายอเมริกาเดินบนดินก็ไม่รู้เลยว่าข้าศึกได้ซุ่มอยู่ทุกที่ที่มีดิน จะบอกก็คือการสร้างอุโมงค์ใต้ดินลัดเลาะไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครเห็นซึ่งเป็นเอกลักษณ์การทำสงครามของเหล่าเวียดกงที่มาก็หายไปซะเฉยๆ ทว่ากับ Full Metal Jacket ไม่ใช่หนังสงครามที่เรามีโอกาสได้มันส์กับกลิ่นดินปืน เลือดนองพื้น เสียงปืนไม่ขาดสายหรือการวางกำลังต่อสู้เพราะนี้คือหนังสงครามที่สู้โดยไม่ต้องสัมผัสปืนก็ยังได้ นี้ไม่ใช่การเล่าเรื่องแบบสงครามเย็นที่ประชันด้วยจิตวิทยาแต่เป็นการเล่าเรื่องด้วยปัจจัยผ่านมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างก่อนเป็นทหารที่ตั้งเป้าหมายสูงสุดคือเกิดมาเพื่อฆ่าข้าศึกกับหลังเป็นทหารเพื่อสู้รบไม่มีวันถอยหนี ฟังดูแล้วทหารคือผู้เข้มแข็งไม่กลัวต่อความตายหรือข้าศึกต่อหน้า บุคคลเหล่านี้น่าเชิดชูเกียรติเพราะรบเพื่อชาติและยอมตายเพื่อชาติ แต่หารู้ไม่ก่อนจะมีทหารได้นั้นบุคคลเหล่านี้ก็คือประชาชนไม่แตกต่างจากทุกคนในสังคม จึงเกิดคำถามว่าจะมีสักกี่คนอยากเป็นทหารเพื่อไปรบที่มีโอกาสตายสูงกว่าใช้ชีวิตตามปกติถ้าไม่นับรวมพวกกระหายสงครามตั้งใจเป็นทหารอยู่ก่อน คำตอบที่ได้เห็นจะเป็นตอนเปิดเรื่องด้วยอารมณ์เด็กวัยรุ่นที่รู้สึกเซ็งกับชีวิตที่แสนสุขแต่ดันต้องเข้ารับเกณฑ์ทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งที่ไม่ใช่สงครามของเราก็ตามแต่

Dracula Untold (2014) แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้

Dracula Untold (2014) | แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้
Director: Gary Shore
Genres: Action | Drama | Fantasy | Horror | War
Grade: C+

อย่างแรกรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวกับพล็อตเรื่องแดร็กคูล่าที่เล่าได้สดใหม่และผูกเรื่องราวถึงความจำเป็นที่ตัวเองต้องกลายเป็นที่รังเกียจของผู้คน อย่างที่สองรู้สึกผิดหวังที่ขาดการชักจูงมิติตัวละครให้ชวนร่วมอรรถรสจนไม่สามารถดึงในส่วนนั้นๆออกมาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายกลายเป็นหนังที่น่าสนใจแต่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไร ถ้าถามว่าสนุกไหมยังจัดว่าสนุกในระดับที่โอเคไม่ดูน่าเกลียดเกินไปอย่างเรื่องของเอฟเฟคต่างๆที่ยังดูเนียนและได้กลิ่นอายด้านมืดอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือจ้าวแห่งแวมไพร์ (Charles Dance) ที่บทน้อยแต่โดดเด่นเรื่องการใชคำพูดหลอกล่อเจ้าชายวลาด (Luke Evans) แห่งวัลลาเชียให้หมดทางเลือก เนื่องจากวลาดเกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้นเมื่อเมห์เม็ด (Dominic Cooper) หรือผู้นำเติร์กต้องการเกณฑ์คนมาเป็นทหารเพิ่ม แต่วลาดเหมือนจะปฏิเสธเพราะเลือกอยู่อย่างสงบทว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะใช้วิธีบังคับให้ประชาชนของวลาดทุกคนมาเป็นทหารไม่เลือกหน้าและถูกกวาดล้างเมือง แม้แต่อินเกรัส (Art Parkinson) ลูกของวลาดต้องไปอยู่กับเมห์เม็ดในการทำศึกด้วย ทำให้วลาดทำใจข้อเสนอนี้ไม่ได้ที่ถูกกดขี่มากเกินไปจึงต้องปกป้องชาวเมืองจากการรุกรานของพวกเติร์กด้วยการทำลายข้อเสนอที่บังคับนี้และพาชาวเมืองหลบหนี ทว่าด้วยความสามารถที่มีก็ไม่อาจยับยั้งได้ตลอดรอดฝั่งจึงไปหาตำนานที่อยู่ในเขาแห่งหนึ่งที่มีถ้ำซึ่งมีปีศาจอยู่ และนั้นทำให้วลาดเจอกับเจ้าแวมไพร์ที่มีข้อเสนอชวนหลงใหลที่จะมอบอำนาจพิเศษมีพลังเกินมากมายที่หาใครสู้ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเมื่อรับพลังนี้แล้วจะไม่อาจทนต่อแสงแดด แพ้ของที่ทำด้วยเงิน และเกิดความกระหายเลือดที่หักห้ามใจได้ยาก กระนั้นถ้าพ้น 3 วันแล้วไม่ได้ดื่มเลือดจากใครจะหายกลายเป็นคนธรรมดาเว้นแต่ถ้าดื่มไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ตลอดกาล

The Admiral: Roaring Currents (2014) ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม

The Admiral: Roaring Currents (2014)
ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม
Director: Han-min Kim
Genres: Action | Drama | History | War
Grade: B+

เป็นเรื่องจริงของประวัติศาสตร์เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1597 ด้วยการเอาชนะกองทัพเรือญี่ปุ่นกว่า 300 ลำทั้งที่ตัวเองมีแค่ 13 ลำเท่านั้น อาจจะฟังดูเวอร์เกินจริงไปบ้างแต่เรื่องนี้ได้พิสูจน์ถึงกลยุทธ์อย่างช่ำชองถึงการวางแผนที่แยบยลกับความกล้าหาญที่ไม่ยอมแพ้ โดยทางเรื่องเริ่มต้นที่ยีซุนชิน (Min-sik Choi) แม่ทัพเรือฝ่ายเกาหลีที่เจอศึกหนักทำหน้าที่เป็นด่านทางน้ำกันพวกญี่ปุ่นขึ้นฝั่งไปเมืองหลวง แน่นอนว่าในขณะนั้นฝ่ายเกาหลีมีสภาพที่ย่ำแย่ตกรองจนโอกาสคว้าชัยกลับมาเป็นเรื่องได้ยาก โดยเฉพาะกำลังใจที่ค่อยๆเลื่อนหายไปจากเหล่าทหารทีละเล็กทีละน้อย ไม่เว้นแม้แต่ยีซุนชินที่ทรุดหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจกับการถูกฝ่ายญี่ปุ่นหลอกใช้และถูกทำโทษสถานหนักก่อนจะเล็งเห็นความสำคัญในตัวยีซุนชินให้กลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง แต่อะไรไม่เท่ากับการทำศึกน่านน้ำที่แทบจะไม่มีชัยชนะเพราะกำลังพลที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว ซึ่งความหวังสุดท้ายคือการใช้กลยุทธ์เรือเต่าอันเป็นแผนเด็ดของยีซุนชินที่ใช้สู้แบบมุทะลุลุยใส่ข้าศึกด้วยเรือที่แข็งแกร่งกว่า ทว่าระหว่างรอเรือเต่าที่ใกล้เสร็จก็มีเรื่องมากวนใจมากมายและหนึ่งในนั้นคือความเห็นของทหารคนอื่นๆที่มองในตัวยีซุนชินกลายเป็นคนไร้สติประเมินตัวเองสูงเกินไปทั้งที่ผลลัพธ์ก็ปรากฎตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่แล้วประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ว่าคนที่ทำศึกได้อย่างชาญฉลาดต้องยึดหลักความอดทนและใจเย็นเท่านั้นถึงจะสำเร็จได้ และยีซุนชินคือคนนั้นที่สามารถสยบทัพเรือญี่ปุ่นด้วยตัวเพียงคนเดียว

Apocalypse Now (1979) กองพันอำมหิต

Apocalypse Now (1979) | กองพันอำมหิต
Director: Francis Ford Coppola
Genres: Drama | Mystery | War

พอเห็นชื่อผู้กำกับที่สร้างสุดยอดหนัง The Godfather (1972) จึงไม่แปลกว่าหนังสงครามเรื่องนี้ช่างอลังการกับการตีความเนื้อสงครามได้อย่างหมดจด แม้จะไม่ได้สัมผัสฉบับดั้งเดิมว่าเป็นยังไงบ้าง แต่การได้ชมฉบับ Redux หรือฉบับสมบูรณ์นั้นกลับบ่งบอกได้ว่าเป็นอะไรที่อิ่มในกับรับชมอย่างมาก เพราะความยาวของตัวหนังไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียวกับเวลาทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมงเกือบครึ่งสำหรับฉบับนี้ ส่วนฉบับแรกมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง นี่ถ้าไม่เตรียมตัวมาก่อนคงประมาณว่าต้องขอเข้าห้องน้ำก่อนล่ะ เท่านั้นยังไม่หมดโดยเฉพาะถ้าใครหาฉบับละเมิดลิขสิทธิ์แบบไม่เป็นทางการได้แล้วล่ะก็จะรู้ว่าอย่างยาวกับเวลาที่เกือบจะ 5 ชั่วโมง ยอมรับว่าเป็นผลงานที่สุดทะเยอทะยานมากที่สุดของผู้กำกับรายนี้ก็ว่าได้ และความมุ่งมั่นในครั้งนี้จึงได้ปรากฏการณ์สุดยอดหนังสงครามอีกเรื่องหนึ่งของโลกที่ควรค่าแก่การรักษา

Crimson Tide (1995) ลึกทมิฬ

Crimson Tide (1995)
ลึกทมิฬ
Director: Tony Scott
Genres: Action | Drama | Thriller | War

"หากเรารับคำสั่งไม่ได้ หากเราไม่ยิง ในวอชิงตันเขาก็จะสั่งให้เรือลำอื่นยิงอยู่ดี หากว่าเขาสั่งให้ยิงจริงๆ"

"แต่หากว่าเรายิงโดยที่คำสั่งอาจจะบอกว่าไม่ แล้วยิงนิวเคลียร์  เรายิง เขายิง จะเกิดอะไร เกิดสงครามนิวเคลียร์ และเราจะได้รับกันถ้วนๆหน้า"

ถึงคราวนักแสดงรางวัลออสการ์มาประชันบทกันในเรื่องของเรือดำน้ำที่กำลังมุ่งตรงสู่รัสเซียเพื่อยับยั้งการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ของเหล่ากลุ่มชาติหัวรุนแรงที่จะยิงนิวเคลียร์ในไม่ช้า จึงเป็นหน้าที่ของกัปตันแฟรงค์ แรมซีย์(Gene Hackman)และต้นเรือรอน ฮันเตอร์(Denzel Washington)ในการคุมบัญชาการเรือดำน้ำ โดยเป้าหมายคือจัดการกลุ่มหัวรุนแรงก่อนที่จะมีการยิงนิวเคลียร์ แต่ทว่าเกิดเหตุขัดข้องกับการปะทะเรือดำน้ำทำให้สัญญาณวิทยุขาดหาย ซ้ำวิทยุยังพังยากแก่การซ่อมแซ่มให้ใช้ใหม่ กลายเป็นว่าได้คำสั่งปฏิบัติการมาไม่ชัดเจน แต่ด้วยหน้าที่ของเรือดำน้ำที่ได้มา กัปตันแฟรงค์ตัดสินใจให้มีการยิงก่อนจะถูกยิงแม้ไม่รู้เบื้องบนสั่งอะไรมา ต้นเรือฮันเตอร์คัดค้านและยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการกระทำ จึงเป็นข้อขัดแย้งภายในตัวเรือว่าสมควรจะคอยซ่อมวิทยุที่ไม่รู้จะซ่อมได้หรือไม่ หรือยิงไปเพื่อให้เรื่องราวจบด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ แต่ไม่ว่ายังไงสงครามได้เกิดก่อนจะเกิดสงครามจริงๆที่ไม่นานต่างคนต่างเริ่มมีความเห็นต่างกันแบ่งเป็นพวก และสุดท้ายเรือดำน้ำลำนี้จะทำยังไงระหว่างยิงกับไม่ยิง

Timeline (2003) ข้ามมิติเวลา ฝ่าวิกฤติอันตราย

Timeline (2003)
ข้ามมิติเวลา ฝ่าวิกฤติอันตราย
Director: Richard Donner
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | War
Grade: C

ศาสตราจารย์ จอห์นสตัน(Billy Connolly)และทีมศึกษาโบราณคดีต่างให้ความสำคัญในการศึกษาซากปราสาทศตวรรษที่ 14อย่างเคร่งงวด แต่ศาสตราจารย์ จอห์นสตันกลับสงสัยในตัวผู้ให้ทุนในการขุดค้นซึ่งก็คือบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น และเจ้าของบริษัท โรเบิร์ต โดนิเกอร์(David Thewlis) ศาสตราจารย์จอห์นสตันจึงเดินทางสู่สำนักงานใหญ่เพื่อถามคำถามบางประการ ระหว่างที่ศาสตราจารย์ไม่อยู่ เหล่านักศึกษาค้นพบห้องที่ถูกปิดตาย อังเดร มาเร็ก(Gerard Butler)และ เคต(Frances O'Connor)เดินเข้าไปในห้อง พวกเขาค้นพบสิ่งที่น่าตื่นตะลึงสองอย่าง นั่นก็คือเลนตาที่ไม่น่าจะมีได้ในสมัยนั้นและไม่น่ามีใครมาที่นี้ได้ก่อน และที่น่าแปลกใจและตะลึงไปกว่านั้นก็คือ ข้อความขอความช่วยเหลือที่เขียนด้วยมือ ลงวันที่ 2 เมษายน ปี 1357 จากศาสตราจารย์จอห์นสตัน ที่วัดกันแล้วมันเหมือนทุกประการ จะเป็นไปได้ไงกับเรื่องราวที่เกิดไปนานแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ปี เพื่อไขปริศนานี้ให้ได้ จึงมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ ที่ซึ่งพวกเขาต้องตื่นตะลึงเมื่อได้รู้เรื่องสิ่งประดิษฐ์ของโดนิเกอร์ ซึ่งเป็นเครื่องกลที่สามารถส่งวัตถุสามมิติผ่านกาลเวลาได้ และนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมศาสตราจารย์ จอห์นสตันถึงหายตัวไป ทำให้คริส(Paul Walker)ที่เป็นลูกชายศาสตราจารย์ จอห์นสตัน และพวกพ้องต้องย้อนเวลากลับไปช่วยเหลือให้กลับมาให้ได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือการย้อนเวลาไปที่ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส แล้วจะกลับสู่ศตวรรษที่ 21ได้อย่างมีชีวิตรอดได้หรือไม่

Salo, or the 120 Days of Sodom (1975) สุขนาฏกรรมอเวจี 120 วันในโซดอม

Salo, or the 120 Days of Sodom (1975) | สุขนาฏกรรมอเวจี 120 วันในโซดอม
Director: Pier Paolo Pasolini
Genres: Drama | Horror | War
http://www.imdb.com/title/tt0073650/
Grade: C+

กับช่วงแรกของหนังดูสดใสและรื่นหูรื่นตาแบบสดใสเพราะเพลงประกอบที่ใช้ดนตรีได้ไพเราะเป็นเสียงเปียโนบรรเลงโดยโชแปงพร้อมกับฉากที่ดูละไมเหมือนสวรรค์แห่งดินแดนความสุขแต่จะยิ่งกะไรอยู่เมื่อมีการจับกุมวัยรุ่นชายหญิง 18 คน โดยพวกทหารฟาสซิสต์และนักการเมือง โดยเอามาคุมขังและใช้ทำประโยชน์ให้ความพอใจต่างๆแบบผิดเกินมนุษย์ ทั้งวิตถารแบบสุดตื่นตาตื่นใจแบบไม่มีที่สิ้นสุดกับการทรมานที่เต็มไปด้วยสนองตัณหาที่ถึงขั้นโรคจิตอย่างรุนแรง ตั้งแต่จับแก้ผ้า ข่มขืน บังคับแต่งงานแล้วร่วมรักให้ทหารดู จับประกวดบั้นท้าย และอีกมากมายที่ผู้ชมต่างต้องตระหนักของความสุดยอดแห่งการเสนอความจิตตกที่กระทบศีลธรรมเข้าอย่างจัง

We Were Soldiers (2002) เรียกข้าว่า วีรบุรุษ

We Were Soldiers (2002)
เรียกข้าว่า วีรบุรุษ
Director: Randall Wallace
Genres: Action / Drama / History / War
Grade: A

สร้างจากเรื่องจริงทั้งเกียรติยศของพวกพ้องที่ต้องรับภาระหน้าที่ในสงครามเวียดนามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กับเรื่องครอบครัวที่ต้องจากมาทำสงครามที่เปี่ยมด้วยชีวิตที่แขวนบนความเป็นตายในห่ากระสุน เมื่อทหารอเมริกันต้องเคลื่อนทัพเข้าไปยังหุบเขามรณะที่นำโดยพันโทแฮโรลด์ มัวร์ (Mel Gibson)ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารม้า แต่สถานการณ์คือเรื่องที่บีบคั้นที่สุดเมื่อเหล่าทหารและเขาต้องก้าวเท้าลงใจกลางที่ถูกรอบล้อมด้วยทหารเวียดกง 4000 นาย ขณะที่อเมริกันมีเพียง 400 นาย เวลาและความคิดคือเรื่องสำคัญความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่กับสงครามนี้ถ้าพลาดอาจหมายถึงทุกสิ่งต้องหายไป แฮโรลด์ มัวร์กับเพื่อนเหล่าทหารจะกลับไปหาครอบครัวอันที่รักได้หรือไม่กับสงครามบ้าระห่ำห่ามกลางดงกระสุนเช่นนี้ จะมีแต่ต้องภาวนาและความกล้าหาญเท่านั้นที่พอช่วยได้

K-19: The Widowmaker (2002) ลึกมฤตยู นิวเคลียร์ล้างโลก

K-19: The Widowmaker (2002) 
ลึกมฤตยู นิวเคลียร์ล้างโลก
Director: Kathryn Bigelow
Genres: Drama / History / Thriller / War
Grade: B

K-19 เรือดำน้ำที่อยู่ระหว่างรีบเร่งการสร้างอย่างเร่งด่วนเพราะผู้นำของสหภาพโซเวียตต้องการใช้เป็นเรือทดสอบประสิทธิภาพเพื่อทดลองยิงขีปนาวุธ แต่กระนั้นกัปตันมิคาเอล โพเลนิน(Liam Neeson)กลับปฏิเสธและยืนยันว่า K-19 ยังไม่พร้อม ทำให้ต้องถูกกัปตันคนใหม่ที่ประสบการณ์มากกว่าต้องมาแทนที่และควบคุมเรือเสียเองโดยกัปตันมิคาเอล โพเลนินเป็นเพียงแค่รองกัปตันที่รับคำสั่งจากกัปตันอเล็กไซ ออสตริคอฟ(Harrison Ford)ที่ถูกตามตัวให้มาทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาเรือดำน้ำลำนี้
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)