12 Strong (2018) 12 ตายไม่เป็น

12 Strong (2018) | 12 ตายไม่เป็น
Director: Nicolai Fuglsig
Genres: Action | Drama | History | War
Grade: C

ดัดแปลงจากหนังสือ Horse Soldier เขียนโดย Doug Stanton เกี่ยวกับทหารหน่วย ODA 595 ปฏิบัติงานโจมตีกลุ่มตาลีบันที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่พวกเขาทำเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งนำทีมด้วย (Chris Hemsworth) รวมทั้งหมดเป็น 12 คนในการปฏิบัติภารกิจแนวหน้าที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง แต่พวกเขาเลือกจะทำแม้ไม่มีหน่วยสนับสนุนก็ตามที


ต้องรอจนถึงไคล์แม็กซ์ถึงจะมีความตื่นตาตื่นใจเพราะฉากแอ็คชั่นมีค่อนข้างน้อยและมาจัดหนักจัดเต็มในตอนจบเท่านั้น แล้วในส่วนของดราม่าเป็นยังไง ก็คงรู้สึกไม่สะเทือนอารมณ์มากเท่าไร ที่คิดเช่นนั้นเพราะเหตุการณ์ 9/11 ถูกหยิบสร้างเพื่อแสดงภัยอันตรายที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เน้นการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนั้น มีเพียงการโต้กลับของทหาร 12 คนจากหน่วย ODA 595 ที่อาสาเป็นหน่วยแรกในการถล่มโจมตีกลุ่มตาลีบัน

จุดเด่นที่เหมือนจะน่าสนใจคือพาหนะเป็นม้า กองกำลังติดอาวุธครบมือแต่ต้องเลือกใช้วิธีดั้งเดิมในการไปไหนมาไหนด้วยม้า ซึ่งตอนแรกก็ดูมีอะไรน่าสนใจจนผ่านไปสักระยะก็เริ่มมองเป็นเรื่องธรรมดา ความสำคัญของการใช้ม้าคืออะไรเริ่มหายไปพร้อมกับบทบาทของม้าที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เช่นเดียวกับตัวละครอื่นๆที่ฟังเหมือนจะมีหลายคนจากชื่อหนังและชีวิตจริง ทว่ามีตัวละครหลักเพียงหยิบมือเท่านั้นที่เชิดหน้าเชิดตาหนัง


ตลอดทั้งเรื่องก็เหมือนจะเห็นไม่กี่ตัวละครทั้งที่มีอยู่เป็นโหล ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะเห็น Chris Hemsworth อยู่ตลอดทั้งเรื่องราวกับมาเพียงคนเดียว ส่วนคนที่อื่นรองมาหน่อยคือ Michael Shannon และ Michael Peña ที่บทไม่มากแต่อย่างน้อยก็มีให้เห็นบ้างในส่วนของการทำงานและความผูกพันในพื้นที่แปลกคนแปลกสถานที่ในอัฟกานิสถาน แล้วอีกคนที่ไม่ควรลืมคือ Navid Negahban เป็นนายพลดาสทุม หรือหัวหน้ากองทหารพันธมิตรท้องถิ่นที่ช่วยจัดการกลุ่มตาลีบัน ซึ่งทั้งเรื่องจะเห็นในความคิดที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจนเป็นปัจจัยการทำภารกิจที่ยากและง่ายในเวลาเดียวกัน

12 Strong เสียดายในส่วนของดราม่าที่ใช้เวลาไปตั้งมากในช่วงแรกแต่ไม่ชวนสะกิดใจ ไม่ว่าจะเรื่องการสูญเสียผู้คนหรือการเสียสละลุยแนวหน้า แต่อย่างน้อยก็เห็น Elsa Pataky มารับบทเป็นคนรักคู่กับ Chris Hemsworth ซึ่งนอกจอเป็นคู่รักกันจริงๆ ทำให้การแสดงพอถึงอารมณ์อยู่บ้างที่ไม่อยากให้หัวหน้าครอบครัวไปเสี่ยงอันตราย อีกทั้งตัวหนังยังพูดในส่วนงานนั่งโต๊ะที่ไม่ได้ลุยภาคสนามมานาน เป็นการสะท้อนการทำงานของทหารว่าจะรับมืออย่างไรในสถานการณ์ไม่คาดฝันนี้


แน่นอนว่าตัวหนังดูเชิดชูวีรกรรมทหารอเมริการะดับหนึ่งจากการความกระตือรือร้นที่อยากไปทำภารกิจเพื่อประเทศชาติ ซึ่งการไปทำภารกิจครั้งนี้นอกจากจำนวนคนจะน้อยแล้วเป็นสถานที่แปลกและผู้คนที่ต่างธรรมเนียม ดังนั้นตลอดทั้งเรื่องจะเห็นถึงความยากในการทำงานที่มีความซับซ้อน เป็นข้อดีที่ตัวหนังเลือกเก็บรายละเอียดเพื่อความสมจริง แต่เป็นข้อเสียสำหรับคนที่ต้องการแอ็คชั่นเพราะส่วนมากเป็นภารกิจชี้เป้าเสียมากกว่า แล้ววิธีการเล่าเรื่องยังช้าไม่ค่อยน่าดึงดูด ยกเว้นงานภาพและโทนของหนังที่ดูดิบดูซีเรียสพอถูไถไปได้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)