The Handmaiden (2016) ล้วงเล่ห์ลวงรัก

The Handmaiden (2016) | ล้วงเล่ห์ลวงรัก | A
Director: Park Chan-wook
Genres: Drama | Romance | Thriller

อิงจากนิยายของ Sarah Waters เรื่อง Fingersmith ที่นำฉากหลังยุควิตอเรียนของอังกฤษมาดัดแปลงเล่าเรื่องยุค 1930 ในช่วงเกาหลีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ซึ่งมองจากต้นเรื่องอาจคล้ายหนังสงครามที่เดือดร้อนไปถึงผู้คนชาวเกาหลีเพราะการยึดครองของทหารญี่ปุ่น มิหนำซ้ำยังมีส่วนของสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้วุ่นวายสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนมากมาย แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่เมื่อมองในแง่หนังสงครามหรือสิ่งที่เกี่ยวกับสงครามนั้นแทบไม่มีให้เห็นเลยนอกจากสัญลักษณ์ทางภาษากับวัฒนธรรมที่ผสานเข้าหากันระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น จนบางครั้งเหมือนกัดจิกกันเองอย่างแนบเนียน เดี๋ยวเพราะญี่ปุ่นบ้างล่ะ เป็นเพราะเกาหลีบ้างล่ะ แต่สุดท้ายจะฝ่ายไหนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องที่นำมาเป็นเรื่องแพ้ชนะสงครามเพราะเรื่องหลักไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างประเทศ แต่เป็นสงครามระหว่างเพศจากชายและหญิง


Park Chan-wook ยังคงไว้ซึ่งรายละเอียดครบถ้วนทั้งองค์ประกอบ เนื้อหา และบทสรุปอย่างไม่มีอะไรค้างคาใจ เหมือนที่เคยเจอในหนังสร้างชื่อ Oldboy (2003) ที่เป็นหนึ่งในไตรภาคแก้แค้นที่หลายคนชื่นชมสไตล์การเล่าเรื่องที่เข้มข้นจนไม่นึกว่าคนเราจะมีความโหดเหี้ยมถึงปานนั้น แน่นอนว่าชื่อเสียงที่ดังไปทั่วทำให้ก้าวกระโดดมาจับงานฮอลลีวู้ดด้วยเรื่อง Stoker (2013) ที่แม้จะออกมาก้ำกึ่งมีคนชอบบ้างไม่ชอบบ้างเพราะรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนฮอลลีวู้ดจนเหมือนความสดใหม่ที่เข้ากันไม่เข้ากันจึงดึงพลังไปไม่สุดเท่าไรนัก กระทั่งมาจับงานที่ถนัดอย่างเรื่องนี้ทำให้หลุดกรอบจากความเป็นฮอลลีวู้ดเข้าสู่วังวนการแก้แค้นแบบเต็มที่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการแก้แค้นที่ละเอียดอ่อนและละมุนน่าหลงใหลมากทีเดียว

ซุคฮี (Kim Tae-ri) โจรสาวที่ถูกเลี้ยงมาท่ามกลางสังคมที่แตกต่างและมีทักษะการล้วงกระเป๋าอย่างแนบเนียนได้ถูกว่าจ้างจากฟูจิวาระ (Ha Jung-woo) ให้ทำตามแผนหลอกคุณหญิงฮิเดโกะ (Kim Min-hee) จากโคซูกิ (Jo Jin-woong) เพื่อหวังมรดกทรัพย์สมบัติทั้งหมด ซึ่งแผนก็เริ่มจากซุคฮีเป็นนกต่อทำงานเป็นสาวใช้และผลักดันตัวเองเข้าหาฮิเดโกะเป็นสาวใช้ส่วนตัวเพื่อคอยเก็บข้อมูลพร้อมกับสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเพื่อผลลัพธ์ของแผนที่วางเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ส่วนฟูจิวาระจะเป็นท่านเคานต์เข้าไปเชื่อมความสัมพันธ์กับฮิเดโกะเพื่อให้เห็นถึงความรักพร้อมกับกำหนดดำเนินแผนขั้นต่อไป ถ้าดูจากพล็อตประมาณนี้คงเดาเนื้อเรื่องไม่ยาก แต่หารู้ไม่ว่าเนื้อหาจริงค่อนข้างกว้างและอัดแน่นด้วยเรื่องเพศอยู่พอตัว นั้นจึงนำไปสู่สงครามเรื่องเพศชายกับหญิงที่ต่างแสดงความเหนือชั้นบนจุดสูงสุด


"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

องค์แรกจะเป็นเรื่องของซุคฮีเป็นหลักและตั้งหน้าตั้งตารอทำแผนให้สำเร็จไปเรื่อยๆโดยมีความคิดในใจเกี่ยวกับความสำเร็จที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนชีวิตหันหลังให้กับประเทศเกาหลีได้ ซึ่งแผนของซุคฮีคือการเข้าหาฮิเดโกะให้มากที่สุดและสานความสัมพันธ์ให้สนิทสนมประดุจเพื่อนคนหนึ่ง ทว่าความสัมพันธ์ที่มองเป็นแค่หญิงใช้ที่อาจจะสนิทมากเป็นพิเศษได้ถลำไปมากกว่าคุณหญิงกับสาวใช้ที่ควรมีชนชั้นต่างกันกับมีความต้องการคล้ายกันเป็นพิเศษ เป็นความต้องการเสน่หาจากสองหญิงที่อีกคนอ่อนต่อโลกกับอีกคนคิดว่าตัวเองรู้มากต่อโลก ซึ่งฮิเดโกะคือผู้หญิงบอบบางเรื่องเพศ ไม่รู้ไม่เข้าใจหรือสัมผัสมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากช่วงวัยกับความรู้สึกสงสัยที่อยากลิ้มลอง ทุกครั้งที่ฟูจิวาระมาหาจะอัดแน่นด้วยความต้องการที่เริ่มจากเคอะเขินในความงามของฮิเดโกะเสมือนตกหลุมรัก(แม้จะเป็นรักจอมปลอมก็ตาม) และทุกครั้งที่มาหาจะทวีตัณหาเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว และจนถึงขั้นโคซูกิต้องยอมรับในคววามสัมพันธ์นี้เพื่อเปิดทาง ทว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากชายกับหญิง แต่เป็นหญิงกับหญิงเสียแทน

แผนของฟูจิวาระคือการแย่งชิงฮิเดโกะจากโคซูกิให้อยู่ในเงื้อมมือของตัวเองเพื่อทำทีเป็นรักและหุบมรดกด้วยการทำให้แต่งงานกัน แต่ที่ล้ำไปกว่าการแย่งชิงมรดกด้วยรักหลอกๆคือการจัดการฮิเดโกะแบบไร้เยื่อใย ยิ่งกว่าการฆ่าด้วยการทำลายจิตใจให้เสื่อมสภาพช้าๆจนฟั่นเฟื่องไปเอง เริ่มตั้งแต่การรุกล้ำความเป็นวัยสาวของฮิเดโกะจนไปถึงการตัดสินใจว่าจะหนีหรืออยู่ต่อกับโคซูกิ แน่นอนว่าความสับสนของตัวฮิเดโกะได้สร้างความกระสับกระส่ายเลือกทางใดทางหนึ่งไม่ได้ นี่จึงเป็นหน้าที่ของซุคฮีที่คอยเป็นสาวใช้ใกล้ตัวคอยให้คำปรึกษาตามแผนฟูจิวาระ ฮิเดโกะมีความรักและความต้องการแต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร ใช่กับผู้ชายที่ชื่อฟูจิวาระจริงๆหรือ? ควรจะทำอะไรต่อไป ในมุมมองของฮิเดโกะเป็นเพียงเด็กน้อยใสซื่อไร้ประสบการณ์ ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ไปไหน ทว่าความไร้เดียงสานี่เองที่ทำให้ซุคฮีหลงเสน่ห์กามอารมณ์อย่างมิอาจหลีกหนีได้


ทุกอย่างดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไปและดูมีความเป็นศิลป์ค่อนข้างมาก การจัดฉาก การวางภาพ ตลอดจนความพิถีพิถันการเล่าเรื่องก็ล้วนละเอียดอ่อนเก็บทุกความรู้สึกของตัวละครอย่างลึกซึ้ง ไม่เว้นกระทั่งในส่วนของเพศที่สื่ออารมณ์ความอยากจนต้องกลืนน้ำลาย เช่นฉากซุคฮีอาบน้ำเช็ดตัวให้ฮิเดโกะ แม้จะฟังดูธรรมดาตามประสาคนใช้กับเจ้านายที่ต้องหญิงกับหญิงถึงจะเหมาะสม ทว่าการให้ทั้งสองเป็นอะไรที่มากกว่าความธรรมดาของหญิงกับหญิงคือเสน่หาที่เข้าหากันแบบชายกับหญิงหรือมากกว่าด้วยซ้ำ ต้องยอมรับว่าฉากนี้ให้อารมณ์ที่ลุ่มลึกเหมือนจะโดนรุกล้ำอย่างนุ่มนวล มีความยินยอม และความต้องการบางอย่างที่บอกไม่ได้แต่รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ต่อให้ฉากนี้แทบไม่มีอะไรแต่ส่งผลต่ออรรถรสค่อนข้างสูงมากทีเดียว และยังเป็นตัวเชื่อมเล็กๆระหว่างซุคฮีกับฮิเดโกะอีกด้วย

แผนของฟูจิวาระดำเนินไปได้ดีทุกระเบียบนิ้วจนแทบไม่เห็นข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่จะยกเว้นซุคฮีกับความรู้สึกที่ต่างจากตอนแรกที่คิดทำงานเพื่อกำไรโดยไม่สนใจในความผิดถูกใดๆทั้งสิ้นต้องเกิดอาการรู้ผิดชอบชั่วดีในการกระทำของตัวเอง มีความห่วงใยประหนึ่งคนรัก คนรักที่ตั้งใจหลอกให้ตกทุกข์ได้ยากจนตัวตายในท้ายสุด ความสัมพันธ์ระหว่างซุคฮีกับฮิเดโกะเมื่อมองกันตรงๆก็คือเลสเบี้ยนแบบหนึ่งที่เกิดจากเสน่หาต่อกัน จะเริ่มจะจบเมื่อไรก็ได้แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปจนรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นความผูกพันที่คลายไม่ได้เสียแล้ว ทั้งนี้ฉากที่ทำให้ทึ่งและชวนเสียวซะเหลือเกินเห็นจะพ้นความถวิลหาในกามอารมณ์ของฮิเดโกะด้วยการตั้งคำถามกับซุคฮีจนไม่อาจอธิบายด้วยคำตอบทางภาษาพูดได้ คำตอบที่ให้ได้เป็นภาษากายที่ให้อารมณ์นุ่มนวล อ่อนไหว และเข็มแข็งในเวลาเดียวกัน


ฉากที่แสนทุ่มทุนด้วยแรงกายระหว่างซุฮีกับฮิเดโกะเสมือนการเสพยาที่กดประสาทชวนให้หลงใหลและเคลิบเคลิ้ม ยิ่งเป็นผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยแล้วก็ยิ่งนึกถึงหนังเลสเบี้ยนเรื่องหนึ่งชื่อ Blue Is the Warmest Color (2013) ด้วยฉากทำนองเดียวกัน ซึ่งน่าแปลกไหมว่าการร่วมรักระหว่างเพศเดียวกันมีเสน่ห์มากกว่าเพศตรงข้ามร่วมรักกันเสียอีก อีกอย่างคือเหมือนเป็นการตอกย้ำความคิดของผู้ชายที่พยายามรุกล้ำผู้หญิงเกี่ยวกับเพศ สังเกตว่าต่อให้ฟูจิวาระพยายามมากน้อยเพียงใดก็ไม่อาจเข้าถึงใจหรือเรือนร่างของฮิเดโกะเลยสักครั้ง การที่ผู้ชายเป็นฝ่ายกระทำแล้วสำเร็จไม่อาจใช้กับเรื่องนี้ได้ที่ต้องการบอกสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นวัตถุทางเพศสนองอารมณ์เสมอไป

การประกบคู่กันระหว่าง Kim Tae-ri กับ Kim Min-hee เป็นเรื่องเกินความคาดหมายที่เข้ากันอย่างลงตัว ฉากร่วมรักแสดงให้เห็นความสมจริงจนแทบทะลักล้นนอกจอกับอารมณ์ความรู้สึกที่มากมาย กระนั้นการแสดงจริงๆอยากยกให้ Ha Jung-woo ที่แววตาบ่งบอกอะไรหลายอย่างมากมายโดยไม่ต้องบอกก็รู้ ในเรื่องเล่นได้เข้ากับคาแรกเตอร์ตัวละครจนน่ากลัว ทั้งความนิ่งและเจ้าเล่ห์ทำให้บอกอะไรไม่ได้กับตัวละครนี้ที่จะยังไงต่อไปกับแผนที่ตัวเองสร้างขึ้น แน่นอนว่าจุดเด่นความนิ่งและใจเย็นได้กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ตอนท้ายยังคงตัวตนของตัวเองแม้จะเข้าขั้นวิกฤติมากแค่ไหนก็ตาม สำหรับฟูจิวาระไม่แตกต่างกับโคซูกิที่มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศสนองตัณหา เว้นแต่ความลึกซึ้งที่อีกคนมองเป็นเครื่องมือใช้ประโยชน์กับอีกคนมองเป็นศิลปะ


เรารู้กันอยู่แล้วว่าฟูจิวาระเป็นคนประเภทไหนเพราะเป็นตัวละครตายตัวแต่ความเจ้าเล่ห์ทำให้ทุกอย่างไม่ได้เป็นตามที่คิดเสมอไป ทว่าโคซูกิมีความลึกล้ำตรงที่ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรนัก และความไม่ค่อยมีบทบาทนี้เองจึงส่งผลกระทบอะไรหลายอย่างจนเป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยสักนิดเดียว เนื่องจากโคซูกิเป็นแก่นหลักของประเด็นเรื่องเพศที่ต้องการเอาชนะเหนือเพศหญิงด้วยการมโนภาพหรือที่เรียกกันว่าการจินตนาการ โคซูกิใช้ประโยชน์จากตัวฮิเดโกะในฐานะผู้บรรยายความอยากในกามอารมณ์ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนเข้าสู่ห้วงจุดสูงสุดของอารมณ์ ซึ่งความไร้เดียงสาของฮิเดโกะนี่เองจึงเหมือนการเริ่มต้นครั้งแรกที่เต็มไปด้วยความน่าค้นหา ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกแต่กับฮิเดโกะที่ถูกกักตัวอยู่แค่อาณาเขตของบ้านประจำจึงไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับภายนอก โดยเฉพาะเรื่องเพศที่ไม่รู้จะเริ่มหรือสนองในความต้องการนั้นอย่างไร สิ่งที่ฮิเดโกะทำได้คือการเล่าบรรยายตามแบบลายลักษณ์อักษรจากหนังสือที่โคซูกิยื่นให้ แน่นอนว่าการอ่านเฉยๆคงไม่ได้อรรถรสหากฟังแล้วเป็นการอ่านตามอักษร โคซูกิจึงฝึกให้กับฮิเดโกะให้อ่านด้วยน้ำเสียงแบบจับอารมณ์ได้จริงเพื่อคนที่ฟังจะได้จินตนาการและมีความสุขกับสิ่งนั้น

ความไม่ปกติอย่างหนึ่งของเพศชายในเรื่องนี้ที่เอาจริงๆแล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลาแก่ตัวลงจะมีปัญหาเรื่องเพศที่ไม่อาจทำให้เจ้าโลกของตัวเองครึ้กคะนองได้อีกครั้ง ไม่อาจร่วมรักหรือสัมผัสได้จริง ทว่าความจริงของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเป็นเรื่องของกายเท่านั้น การจะเรียกว่าเสื่อมหรือหมดอารมณ์ความอยากได้จริงต้องพิสูจน์กันที่จิตใจด้วย ซึ่งเรื่องนี้การให้ฮิเดโกะมาเล่าบรรยายเรื่องรักๆใคร่ๆไม่ใช่เพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียวเพราะความต้องการของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะชราไร้ความแข็งแรงหรือสมบูรณ์ก็ใช่จะยอมหมดความอยากตามไปด้วย ฉะนั้นการบรรยายจึงเสมือนการบรรเทาจิตใจช่วยให้ผู้ฟังได้จินตนาการถึงสิ่งที่ขาดหายไปให้ห้วนกลับมาอีกครั้ง ฉากบรรยายของฮิเดโกะเรื่องร่วมรักไม่ได้เป็นเพียงรักธรรมดาซะทีเดียว ในเนื้อหาจะแฝงด้วยความรุนแรงและความวิปริตพิสดารอีกด้วย ตัวอย่างการใช้ความรุนแรงกระตุ้นความใคร่ด้วยการฟาดไปที่ก้นที่แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ยิ่งเป็นการสนองความอยากมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งสิ่งที่ไม่เคยลองสัมผัสแล้วได้ลิ้มรสจึงติดใจ


ถ้าว่ากันแล้ว The Handmaiden เป็นหนังที่ไม่ธรรมดาในการใส่รายละเอียดที่มากมายจนเก็บได้หมดในบทสรุป ซึ่งองค์สองเป็นช่วงที่แสดงถึงความสุดขีดมากที่สุดเพราะเป็นทั้งการเปิดเผยความจริงที่นำไปสู่แผนซ้อนแผนจนหลายคนที่เชื่ออยู่ก่อนยังรู้สึกหน้าชาได้ ขณะที่องค์สามที่เป็นบทสรุปไม่ได้ชวนหวือหวาอะไรนอกจากการนั่งลุ้นในความสำเร็จของแผนที่วัดกันไปเลยว่าของใครเหนือกว่าใคร ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบด้วยเรื่องเพศและการเห็นแก่ตัวที่นำไปสู่ความสำเร็จและล้มเหลวได้ในเวลาเดียวกัน โดยรวมแล้วแม้จะไม่ได้มีเนื้อหาซับซ้อนอะไรมาก ที่มากคือความเป็นศิลป์กับประเด็นที่ขุดคุ้ยถึงก้นลึกในจิตใจ สำหรับใครหลายคนอาจจะชอบฮิเดโกะหรือซุคฮีที่พยายามแสดงให้เห็นมุมมองทางเพศของผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่าที่ชอบเพราะเป็นฝ่ายถูกกระทำ หลายอย่างดูย้อนแย้งและหนักใจในเวลาเดียวกัน

แต่ที่ชอบจริงๆคือฟูจิวาระกับโคซูกิในฐานะฝ่ายกระทำ เนื่องจากทำให้เห็นความเลวร้ายที่ยกตนในฐานะเพศชายเหนือเพศหญิง ไม่เว้นแม้กับงานศิลปะที่อุดมด้วยเรื่องกามอารมณ์ที่มักยกเพศหญิงขึ้นต้นก่อนเสมอเพื่อเป็นสิ่งยั่วยุ ขณะที่เพศชายจะเป็นฝ่ายตามหลังด้วยการกระทำตามความสนองอยาก นับเป็นอีกเรื่องจาก Park Chan-wook ที่มอบความพิถีพิถันอย่างงดงามด้วยเรื่องเพศและอีกหลายประเด็นที่แฝงเข้ามาอย่างกลมกลืน กระนั้นความเซอร์ไพรส์ยังคงให้ Oldboy เหนือกว่า แต่ The Handmaiden ก็ใช่ธรรมดาที่คลุกเค้าด้วยความเจ็บปวดอันแสนงดงาม จัดเป็นอีกหนึ่งหนังแก้แค้นที่นุ่มนวลยั่วยวนใจเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)