Magnum Force (1973) มือปราบปืนโหด 2

Magnum Force (1973)
มือปราบปืนโหด 2
Director: Ted Post
Genres: Action | Crime | Mystery | Thriller
Grade: A-

โดยส่วนตัวชอบภาคแรกที่เล่าความเป็นตำรวจได้สมจริงสมจัง และภาคนี้ก็เช่นกันที่ยังให้ความเป็นธรรมชาติแก่เหล่าตำรวจที่ตกอยู่ในสถานะสีเทาที่บอกไม่ได้ว่าตำรวจที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรกันแน่ สำหรับเนื้อหาภาคนี้จะนำไปสู่อีกด้านหนึ่งของตำรวจที่ดำสนิท เมื่อมีตำรวจอ้างตัวเป็นศาลเตี้ยคอยจัดการปิดบัญชีพวกคนร้ายที่กฎหมายไม่สามารถทำอะไรลงได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตำรวจที่ไล่เก็บคนทำผิดกฎหมายคือใคร ทำให้งานนี้ต้องเรียกแฮร์รี่ คัลลาแฮน (Clint Eastwood) ตำรวจมือหนึ่งเรื่องจัดการคนร้ายให้กลับมาแผนกฆาตกรรมอีกครั้งหลังจากลดหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมเพราะสิ่งที่แฮรี่ทำในภาคแรกเกินขอบเขตหน้าที่ไปพอสมควร ผลเลยต้องคุมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากตัวแฮรี่ให้มีหน้าที่สอดแนมแทนที่จะปล่อยให้ใช้ปืนลุยผู้ร้าย


กับคนที่ชอบภาคแรกคงไม่พ้นเรื่องเสน่ห์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Clint Eastwood ที่ทำได้น่าจดจำเพราะความเท่แบบนิ่งๆที่เข้ากับคาแรกเตอร์ตำรวจลุยเดี่ยวมาดร้าย พอมาภาคนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อาจจะรู้สึกไม่เท่าภาคแรกเรื่องความเด่นความเท่ที่น้อยลงไป อีกทั้งความเท่ที่หายไปต้องแลกกับการไม่มีฉากที่น่าจดจำติดตาอีกด้วย อย่างเรื่องของปืนแม็กนั่มจุด 44 ที่น่าจดจำที่ยิงมาพร้อมประโยคกวนผู้ร้ายก็หายไปราวกับว่าต้องการอะไรที่ใหม่กว่าจะไปซ้ำคาแรกเตอร์เด่นในภาคแรก ผลคือดูธรรมดาไปหน่อย ส่วนสิ่งที่ได้มาเป็นการประโยคใส่ตำรวจด้วยกันเองที่ต้องการจะบอกถึงความสามารถใครความสามารถมันและทุกคนต้องมีจุดอ่อนของตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนดีหรือคนร้ายหรือกับตำรวจต้องรู้ขอบเขตของตัวเอง นั้นจึงเป็นนัยยะสำคัญของแฮรี่ภาคนี้ที่มีขีดจำกัดของตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ Magnum Force มาเหนือกว่าภาคแรกคือเรื่องของมุมกล้องที่วางได้โดดเด่น กับฉากเปิดเรื่องตำรวจฆ่าคนร้ายรู้สึกได้ถึงความเกินคาดพอสมควร(ถ้าไม่รู้เรื่องย่อนะ) และอีกอย่างคือฉากแอ็คชั่นที่ใส่เพิ่มเข้ามาจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง เนื่องจากภาคแรกออกแนวทริลเลอร์ไล่จับผู้ร้ายอย่างเดียว พอมีแอ็คชั่นนิดหน่อยแต่ไม่มากพอสำหรับคนที่ดูเอามันส์ ส่วนการกลับมาที่แอ็คชั่นมากขึ้นก็ใช่จะหวังดูเอามันส์ได้ซะทีเดียวเพราะมีแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น อย่างฉากซุ้มยิงคนร้ายจากหลังร้าน ฉากจับแก๊งคนร้ายที่เกิดการปะทะกัน และไคล์แม็กซ์กับการไล่ล่าระหว่างตำรวจกับตำรวจ แม้จะมีน้อยฉากแอ็คชั่นแต่สิ่งที่ยังยืนยั่นว่ามีความมันส์คือจังหวะที่สมจริงและต่อเนื่องกับสถานการณ์อย่างมาก ฉะนั้นเรื่องแอ็คชั่นไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้หมดสนุกหรือทิศทางหนังเปลี่ยนแต่อย่างใด


ประเด็นเกี่ยวกับตำรวจในภาคแรกจะพูดถึงแฮรี่ด้วยมุมมองตำรวจห้าวที่ชอบใช้ปืนยุติแทนการเจรจา สำหรับภาคนี้ไม่แตกต่างกันที่ยังเข้าประเด็นเกี่ยวกับตำรวจเช่นเดิมแต่จะเปลี่ยนมุมมองไปที่ตำรวจคนอื่นที่ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยเก็บคนร้ายแบบไม่ต้องถูกจับก็ปิดคดีทันที สิ่งนี้มีลักษณะคล้ายแฮรี่ไม่น้อยเรื่องจัดการคนร้ายที่ไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไปได้และต้องจบชีวิตลงด้วยการตายเท่านั้น ทว่าความคล้ายคลึงยังมีขอบเขตบางๆที่กั้นให้แฮรี่ยังคงเป็นตำรวจที่ดีคือการรู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้างเท่าที่จะทำได้จริงๆ บางทีดูเหมือนเป็นการฝืนตัวเองหรือแย่งหน้าที่งานของตำรวจอื่น ถึงจะอย่างงั้นด้วยหน้าที่ความเป็นตำรวจจำต้องทำเพื่อประชาชนก่อนเสมอ ดังนั้นไม่แปลกใจถ้าแฮรี่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันหรือมีเหตุด่วนเหตุร้ายอยู่ใกล้ๆจะเข้าไปช่วยจัดการให้ทันที ตัวอย่างฉากโจรจี้เครื่องบินที่ต้องรอเอฟบีไอแต่แฮรี่อยู่ในสถานการณ์นั้นพอดีจึงอาสาเข้าไปจัดการเองโดยไม่รอเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ นับเป็นช่วงเวลาที่เท่และแฝงความกวนจัดการคนร้ายเหล่านั้นซะอยู่หมัด

แล้วทำไมต้องเกิดเรื่องตำรวจฆ่าคนที่เป็นคนร้ายด้วยล่ะ คำตอบง่ายมากจากต้นเรื่องที่แสดงให้เห็นกลุ่มคนมีอิทธิพลหลุดพ้นจากศาลอย่างสบายใจพร้อมกับดูถูกข้อกล่าวหาที่ตัวเองไม่ได้ผิดจริงอย่างที่ว่ากัน แน่นอนว่าในสายตาผู้ชมกับคนเหล่านี้คือคนเลวกลุ่มหนึ่งที่รอดจากกฎหมาย แต่จะทำอะไรได้ในเมื่อกฎหมายและศาลยังปล่อยคนประเภทนี้ให้ออกมาเป็นอิสระ เป็นการเสียดสีความยุติธรรมที่หาไม่ได้จากศาลที่อาจเกิดจากการโกงกินหรืออำนาจอิทธิพลที่อยู่สูงกว่า เมื่อกฎหมายไม่อาจทำโทษกับคนเลวได้จึงเกิดเรื่องขึ้นเมื่อมีตำรวจกำจัดคนเลวด้วยการฆ่า ถ้าเรื่องฆ่าคนเลวอาจหมายถึงการป้องกันหรือต่อสู้ยังพอเข้าใจและรับได้ ทว่าไม่ใช่แค่นั้นเพราะเป็นการฆ่าทันทีแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับฆาตกรที่แรงสาเหตุการฆ่ามาจากอยากกำจัดคนเลวด้วยวิธีนอกระบบ


จุดเด่นตัวร้ายในภาคนี้คือมีหลายคน ที่สำคัญคือต่างเป็นตำรวจด้วยกันทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเรื่องสะท้อนสังคมในหมู่ตำรวจอย่างหนึ่งที่ช่วยกันปกปิดและส่งเสริมเรื่องไม่ถูกต้อง ผิดกับแฮรี่ที่แม้จะลำเส้นไปบ้างแต่ยังทำตามกรอบอยู่เสมอแม้ความจริงจะไม่ชอบก็ตาม ในตอนท้ายจะเห็นว่ามีการชวนแฮรี่เข้ากลุ่มเพราะมีความคล้ายคลึงกันเรื่องอุดมการณ์ แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ย่อมเป็นการปฏิเสธ แต่การตอบไม่ตกลงทำให้เป็นเป้าถูกกำจัดเพราะแฮรี่เริ่มสืบความจริงได้แล้วว่าใครคือคนร้าย จะว่าน่าเสียดายก็เสียดายที่ตัวร้ายไม่เด็ดดวงเท่าไร แม้จะทำงานเป็นทีมหรือมีทักษะการลงมือฆ่าแค่ไหนยังไม่ฉลาดเกมโกงแบบภาคแรกที่นำจุดอ่อนของตำรวจมาใช้ อีกอย่างคือเอาเข้าจริงสู้แฮรี่ตัวต่อตัวไม่ได้สักคน ทำให้ตอนท้ายที่เหมือนจะสนุกแต่ดูตัวร้ายแล้วไม่เก่งกาจอะไรเลย แต่อย่างน้อยเรื่องจังหวะทำได้ลงตัวจึงสนุกได้อรรถรส

ภาคนี้ไม่ใช่แค่เสียดสีตำรวจเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเรื่องการไว้ใจกัน จะสังเกตว่าภาคแรกเรื่องคู่หูไม่ใช่ของถนัดแฮรี่และมักจะตีตัวออกห่างจนลืมไปว่าไม่ได้ทำงานคนเดียว อาจด้วยความเสี่ยงทำให้แฮรี่ถูกตีตราเป็นตำรวจขาลุยจนนานนามเป็นตำรวจสกปรกที่ยุ่งทุกเรื่อง ทั้งนี้ใช่จะละเลยคู่หูซะทีเดียวเพราะยังให้ความสำคัญอยู่เสมอแค่อาจจะไม่มากเพราะเป็นเด็กใหม่ที่ไม่อยากมาเสียเวลาสอนประสบการณ์ จะสังเกตเอาว่าแฮรี่ไม่สอนคู่หูตรงๆแต่เลือกวิธรีดูจากสิ่งที่ทำ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยให้ดูเอาจากการกระทำง่ายกว่าและจริงใจกว่า ภาคนี้ก็เช่นกันที่ได้เออร์ลี่ สมิธ (Felton Perry) คู่หูนิโกรคนใหม่ จากในเรื่องดูเป็นคู่หูคู่ขากันได้แต่เวลาเกิดอะไรขึ้นจะมีเพียงแฮรี่ที่รับหน้าลุยอย่างเดียว ดังนั้นเวลาทำหรือคิดอะไรจะมีเพียงแฮรี่ที่รู้อยู่คนเดียว แต่ภาคนี้เล่นประเด็นตำรวจดีตำรวจเลวทำให้สิ่งที่เข้ามาคือเรื่องการไว้วางใจ เนื่องจากแฮรี่เริ่มเห็นความผิดปกติและบอกไม่ได้ว่าใครคือเกลือเป็นหนอน สุดท้ายคนที่ไว้ใจและฝากความหวังได้คือคู่หูของเขานั้นแหละ


Magnum Force ยังคงคอนเซ็ปต์เล่าประเด็นเสียดสีตำรวจอยู่เหมือนเดิม และหนักแน่นกับประเด็นเหล่านั้นด้วยการทำให้เห็นรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วน น่าเสียดายที่ประเด็นเหล่านี้ถูกเบียดด้วยปมของตัวละครจนแย่งบางช่วงบางตอนไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใส่มาก็ได้ เช่นฉากปมของแฮรี่ที่อยู่คนเดียวหลังจากเสียภรรยาสุดที่รักไป ในเรื่องจะเห็นช่วงเวลาสั้นๆที่แสดงถึงความเหงาผ่านการมองรูปคู่ที่นึกอยากย้อนกลับไปหาคนรัก อีกเช่นกันกับคนรอบข้างของแฮรี่ที่มองเห็นว่ามีความเปลี่ยวเหงาจนอยากเข้าไปจีบเสียเองให้รู้ดำรู้แดงไปเลย อาจดูตลกที่มีผู้หญิงเข้าหาอย่างง่ายดายแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่สู้ด้วยตัวคนเดียว การจะมีใครแอบชอบหรือหลงรักย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรเพราะในเรื่องเป็นตัวละครมีอายุกลางคนที่ควรหาคู่รักใหม่ได้แล้ว

ฉากที่น่าจดจำที่สุดในเรื่องคือการแข่งยิงเป้าที่ให้ความสนุกเหมือนยิงกันจริงกับผู้ร้ายระหว่าตำรวจหน้าใหม่ที่มีฝีมือกับแฮรี่เจ้าของแชมป์เก่า การแข่งขันด้วยปืนแม็กนั่มที่ยิงได้ทีละนัดอย่างรวดเร็วและแม่นยำคือความสนุกและลุ้นกับฝีมือการยิงปืนที่บอกได้ยากว่าใครเหนือกว่า แน่นอนว่าแฮรี่คือคนที่เก่งที่สุดแต่ไม่เสมอไปหากเจอคนที่หนุ่มกว่าใหม่กว่าจะเป็นเช่นไร อีกอย่างการแข่งยิงปืนไม่ได้มีแค่เพื่อยิงหาแชมป์และความเก่งกาจเท่านั้น ในเรื่องจะมีการเล่าต่ออีกทีว่าสิ่งที่ทำอยู่มีจุดมุ่งหมายบางอย่างที่แม้กับผู้ชมเองยังคิดไม่ถึงว่าแฮรี่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างแนบเนียน นับเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เรื่องนี้สนุกตลอดเวลาแม้จะเล่าเรื่องเรื่อยๆไม่รีบร้อนก็ตาม ถือเป็นภาคต่อที่อาจดูด้อยกว่าเล็กน้อยแต่ความสนุกไม่ได้ต่างกันเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)