Lights Out (2016) ไลท์ เอาท์ มันออกมาขย้ำ

Lights Out (2016)
ไลท์ เอาท์ มันออกมาขย้ำ
Director: David F. Sandberg
Genres: Horror | Mystery
Grade: B

เป็นการสานต่อหนังสั้นในปี 2013 ด้วยชื่อเดียวกันและเอกลักษณ์ความน่ากลัวผ่านความมืดเหมือนกัน ที่เพิ่มเข้ามาคือส่วนของเนื้อเรื่องให้มีน้ำหนักอธิบายที่มาที่ไป ซึ่งเรื่องราวความน่ากลัวใต้ความมืดได้เกิดกับมาร์ติน (Gabriel Bateman) เด็กชายที่หวาดกลัวต่อความมืดเพราะบางสิ่งบางอย่างภายในบ้านจนไม่สามารถทนต่อไปได้ทำให้ต้องเดือดร้อนถึงรีเบคก้า (Teresa Palmer) พี่สาวที่แยกบ้านอยู่ต้องเข้ามาจัดการปัญหาภายในครอบครัวเนื่องจากโซฟี (Maria Bello) แม่ของมาร์ตินมีท่าทีไม่ปกติและปิดบังบางอย่างเอาไว้ ซึ่งสิ่งนั้นทำให้สองพี่น้องต้องประหลาดใจและสะเทือนขวัญขึ้นเรื่อยๆที่พยายามเข้าไปจัดการหรือช่วยเพราะไปขัดขวางบางอย่างที่มันไม่ต้องการให้ทำ


ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตะหงิดใจชวนนึกถึง Oculus (2013) ตรงที่ตัวละครหันหน้าสู้เพราะรู้ตัวว่าถึงหนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่รอดจึงเลือกเผชิญหน้าเสียดีกว่า ซึ่งอันนี้ค่อนข้างชอบเพราะทำให้ลืมสูตรหนังสยองขวัญเดิมๆให้ตายได้เลย การหนีเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออกที่จู่ๆเข้ามาช่วยเพราะสุดท้ายเราต้องช่วยตัวเองก่อนอยู่ดี เริ่มแรกอาจมีอืดบางนิดหน่อยเป็นการเกริ่นตัวละครที่มีอยู่ โดยหลักๆจะเห็นว่าพล็อตเรื่องคับแคบมีกันแค่คนในครอบครัวเท่านั้น จะมีเพิ่มคือเบรต (Alexander DiPersia) แฟนของรีเบคก้าที่เดิมสังหรณ์ใจว่าจะตายเร็วอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายหลายอย่างได้พิสูจน์ว่าเรื่องนี้มีดีเกินกว่าเอาจุดเด่นในหนังสั้นมาใส่ในหนังที่ยาวขึ้นแล้วจะต้องสยองขวัญแบบเดิมๆ

ช่วงแรกอาจดูอืดแต่จริงๆไม่ได้เล่าเรื่องช้าแต่อย่างใดแค่อาจยังตื่นเต้นไม่มากเพราะโดยส่วนตัวไม่รู้สึกเป็นของแปลกที่สดใหม่ อย่างฉากเปิดเรื่องยอมรับว่าไปไวและใส่อารมณ์กันอย่างรวดเร็วแต่โดยรวมแล้วการเริ่มความอยากรู้อยากเห็นมีอยู่ค่อนข้างบ่อย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าพล็อตเรื่องไม่ได้ไปไหนไกลเลย วนเวียนกันอยู่ในบ้านกับครอบครัวที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ถ้าพลาดจะมีชะตากรรมไม่ต่างกับตอนเปิดเรื่องที่ไร้หนทางสู้ภายใต้ความมืดอันเป็นจุดขายของเรื่องนี้ เอกลักษณ์ที่ทำให้โดดเด่นคือการเล่นแสงไฟกับความมืด ในที่สว่างจะรู้สึกปลอดภัยแต่เมื่อความมืดเข้ามาจะรู้สึกหวาดกลัว


สิ่งที่พิเศษคือการดึงจุดขายออกมาเล่นได้สนุกพร้อมกับบอกตัวตนของผีว่าจะมาเมื่อไร เหมือนเป็นการให้เหตุผลการปรากฎตัวที่ไม่ใช่โผล่โน้นโผล่นี้จนไม่สมเหตุสมผล นับเป็นการให้ตัวตนของผีที่รู้ว่ามีอยู่ที่ไหนก็ได้แบบกำหนดขอบเขต ซึ่งในที่นี่คือความมืดที่พร้อมจะโผล่มาเล่นงานได้ทุกเมื่อทุกครั้งที่ตัวละครเดินเข้าสู่จุดที่มืด จัดว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวแม้จะรู้สึกไม่ถึงกับแปลกแต่มีที่ไหนที่เจาะจงเล่นง่ายแต่ได้ผลเต็มที่ขนาดนี้ ความมืดเป็นของคู่กับหนังผีที่มีไว้ให้น่ากลัวหรือหาจังหวะเหมาะๆตุ้งแช่ให้ตกใจ ซึ่งจังหวะเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างทำได้ดีในแง่ให้ความสงสัยที่มาพร้อมกับจังหวะตกใจที่ไม่ทันตั้งตัวแบบต่อหน้าต่อตาไม่มีพึ่งตัดสลับฉากจนถูกจับได้ ในเรื่องความหลอนทำได้ค่อนข้างถึงอารมณ์ทีเดียว แต่ความสยองอาจไม่มากเพราะเน้นอารมณ์มากกว่า

Lights Out เป็นหนังสยองขวัญที่ยอมรับเรื่องละครว่าฉลาดอย่างที่ตัวเองต้องการเนื่องจากเป็นสิ่งที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อกับตัวละครพาฆ่าตัวตายที่เห็นบ่อยในหนังสยองขวัญทั่วไป อีกอย่างคือมิติตัวละครที่เก็บได้หมดตั้งแต่ปมของตัวละครจนถึงระดับครอบครัว จะสังเกตว่าเป็นหนังสยองขวัญที่เล็กทุนน้อยแต่เนื้อเรื่องครบถ้วน จะเสียดายที่หนังยังสั้นประมาณ 80 นาทีทำให้รู้สึกยังไม่เต็มอิ่มสักเท่าไร อีกอย่างคือตอนจบที่หาข้อสรุปง่ายไปหน่อยจนรวบรัดทำลายความตื่นเต้นที่ลุ้นมาตลอดทั้งเรื่อง กับอีกมุมถือเป็นการสรุปที่เด็ดขาดและเด็ดดวงไปในตัวที่ไม่ทุกอย่างจะลงเอยแฮปปี้และไม่ควรมาพร่ำเพ้อเสียเวลาจึงจบอย่างรวดเร็วในแบบที่สมเหตุสมผล


"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

รอบทดลองฉายในตอนจบที่ทุกคนรอดหมดยกเว้นโซฟีในรถพยาบาลจริงๆมีต่ออีกหน่อย ซึ่งดั้งเดิมจะจบที่ฉากเห็นไฟในรถพยาบาลแวบๆเหมือนไฟตกชั่วขณะ แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือหลังจากนั้นรถพยาบาลจะวิ่งออกไปข้างนอกแล้วไฟตก จากนั้นไดอาน่ากลับมาแก้แค้นทุกคนบนรถ แน่นอนว่ากระแสออกมาไม่เป็นที่พอใจเพราะอารมณ์มันสุดและทุกอย่างลงตัวไปหมดแล้ว ถ้ามีต่อแบบนั้นจริงจะเหมือนตามรอยหนังสยองขวัญที่กำลังบอกตัวเองว่าสามารถมีภาคต่อได้ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดในเรื่องนี้ค่อนข้างกระจ่าง ไม่มีอะไรให้น่าสงสัยเท่าไร จะติดแค่ตัวไดอาน่าที่อยากเล่าประวัติมากกว่านี้อีกซะหน่อยว่าทำไมสามารถกลายเป็นวิญญาณร้ายภายใต้ความมืดได้เพราะในเรื่องเล่าว่าเป็นเพียงเด็กประหลาดที่มีโซฟีเป็นเพื่อนและกลายเป็นวิญญาณผูกติดกับร่างของโซฟี

นับเป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำที่สนุกกับจังหวะและตัวละครฉลาดจนสามารถรู้วิธีรับมือให้ตัวเองรอดตายได้ อีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือปมครอบครัวที่เป็นแก่นของเรื่องเลยก็ว่าได้ หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนบอกว่าควรอยู่กันพร้อมหน้าและมีความรักต่อกัน ในเรื่องนี้เบรตเข้ามาช่วยได้อย่างดีเพราะมีส่วนช่วยปรับความสัมพันธ์ระหว่างรีเบคก้ากับแม่ให้ปรับความเข้าใจเข้าหากัน อีกด้านหนึ่งมาร์ตินเหมือนเป็นคนกลางที่พยายามหาความรักจากที่ปลอดภัยที่สุด แน่นอนว่าเป็นรีเบคก้าเพราะมาร์ตินกลัวไดอาน่าที่เหมือนแย่งความรักจากเขาไปจนต้องการที่ดีกว่า เปรียบเสมือนการหลับนอนของมาร์ตินที่อยู่กับแม่ไม่อาจหลับเต็มตื่นราวกับรักที่ขาดหายไปจนมีแต่ความกังวลตลอดเวลา แต่พอมาอยู่กับพี่สาวรู้สึกดีและปลอดภัยเพราะได้รับการเอาใจใส่


ลักษณะเด่นของรีเบคก้าคิดว่าเป็นผู้หญิงตามประสาวัยรุ่นเช่นเดียวกับเบรตที่น่ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ต่อการรับผิดชอบ แต่ที่ไหนได้เมื่อทั้งสองมีความเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งจนรู้สึกภายนอกไม่ได้ช่วยอะไรในการดูคนที่ภายในเลยสักนิด นั้นจึงรู้สึกภูมิใจกับตัวละครทั้งสองที่ดูมีระดับมากกว่าวัยรุ่นตามหนังสยองขวัญที่มองเป็นเรื่องบันเทิงเกินกว่าจะซีเรียสแบบเรื่องนี้ นับว่าสนุกทั้งจังหวะและเนื้อหาที่เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญชวนตุ้งแช่ มีทั้งการวางปมครอบครัวและปมประเด็นหลายอย่างให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่ที่น่าติดตาไม่น้อยไปกว่าอะไรเลยคือ Teresa Palmer ในมาดสาวห้าวที่ไม่เชิงน่ารักไม่เชิงสวยหรือจะทั้งสองก็ไม่รู้ โดยรวมๆแล้วเป็นหนังสยองขวัญชั้นดีเรื่องหนึ่งสำหรับใครหลายคนเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)