Bridge to Terabithia (2007)
สะพานมหัศจรรย์
Director: Gabor Csupo
Genres: Drama | Family | Fantasy
Grade: A+
เจส(Josh Hutcherson)เด็กผู้ชายที่ไม่ยุ่งกับหมู่สังคมจึงเป็นที่กลั่นแกล้งจากเพื่อนๆและรุ่นพี่ และเพราะด้วยความเก็บตัวทำให้ต่างมองว่าเป็นพวกขี้แพ้ไม่มีทางสู้ แต่แล้วการเข้ามาของเด็กใหม่เลสลี่(Anna Sophia Robb)ทำให้ชีวิตของเจสต้องเปลี่ยนไปด้วย เพราะความสนิทสนมที่เริ่มมากขึ้นจนกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ทิ้งห่าง จนวันหนึ่งเจสและเลสลี่ได้ไปที่ป่าแห่งหนึ่งซึ่งมีเชือกผูกอยู่ เจสและเลสลี่ได้โหนเชือกนั้นไปอีกฝากหนึ่ง แล้วเลสลี่เกิดความคิดอย่างหนึ่ง ในขณะที่เจสมองว่าเป็นเรื่องไม่มีอยู่จริงก่อนจะคิดใหม่ จนกระทั้งบางอย่างมีอยู่จริงขึ้นมาและตั้งชื่อว่า Terabithia ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อมากมายกับการต่อสู้ระหว่างความเป็นจริงและจินตนาการ
Terabithia คืออาณาจักรของคนทั้งสองที่ตรึงความคิดระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความคิดของจินตนการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวถ่ายทอดสู่สายตาแห่งการตอบสนองของเลสลี่และเจส
ในที่แห่งนี้จะไม่มีใครรู้ลึกเห็นชัดเท่าคนทั้งสองที่เป็นประหนึ่งผู้สร้างและทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น กับโลกแห่งความจริงไม่มีสิ่งใดที่น่าเหลือเชื่อกว่าโลกของความคิดที่นำพาสู่โลกของส่วนตัวที่ประหนึ่งบ้านของตัวเอง ที่เกิดขึ้นเพราะเจตนารมย์สำนึกของตนเองที่ผ่านเวลาในการดำเนินชีวิตจนแปรสภาพเป็นโลกคู่ขนานที่พร้อมผ่านไปด้วยกันทั้งเรื่องจริงและจินตนาการที่ต่างพึ่งพิงอาศัยเพื่อค้ำจุ้นอีกสิ่งหนึ่งดังความสำคัญที่ขึ้นอยู่กับ Bridge
แต่ก่อน Bridge จะเชื่อมเข้าสู่โลกคู่ขนานได้นั้นเป็นเรื่องระหว่างความสัมพันธ์และรู้ใจกันของเลสลี่กับเจสที่ต้องสื่อใจถึงใจได้อย่างเป็นอันหนึ่งเดียวด้วยวิธีการของเลสลี่ที่มีความคิดกับคำที่ว่า"เปิดใจให้กว้าง"
ซึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นผู้สร้าง Terabithia นั้นไม่ได้มาเพราะโอกาส แต่เป็นการให้โอกาสของเจสที่ว่าจะยอมรับเลสลี่ผู้ชนะการวิ่งได้หรือไม่ทั้งๆที่เจสตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูง และจากที่คิดว่าต้องได้ที่หนึ่งกลายเป็นว่าต้องเสียตำแหน่งเพราะเด็กใหม่เลสลี่ที่ทำให้เขาต้องแพ้
การแพ้ของเจสเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดทางใจด้วยเหตุที่ว่ามีปมในใจอยู่มากมาย ซึ่งมักทำให้ถูกเพื่อนล้อบ่อยๆว่า "Loser"
เจสเป็นเด็กมัธยมต้นที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนหรือทางสังคมเป็นอย่างดี รวมถึงภายในครอบครัวที่ไม่ได้ผูกให้ความรักอย่างจริงจังเหมือนรักเข้าข้างน้องมากกว่า ทำให้มีสถานะภาพเป็นพวกเก็บตัวและยากจะสนิทสนมกับใคร แต่ในความเป็นพวกขี้แพ้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพวกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวซะทุกอย่าง เพียงแต่ในความหมายของ Loser นั้นเป็นความคิดของเพื่อนๆที่ไม่เคยเห็นว่าเจสจะมีอะไรดีและน่าสนใจ จนกระทั้งช่วงเวลาแห่งหารคว้าชัยชนะคือการวิ่งซึ่งแน่นอนว่าเจสกำลังจะชนะ แต่ต้องเปลี่ยนไปเพราะเลสลี่ผู้ลงแข่งด้วยเหตุที่ว่าอยากคบเพื่อนสักคน
เลสลี่คือผู้หญิงที่มองโลกด้วยจินตนาการของตัวเองล้วนๆที่ให้ผลลัพธ์แบบบริสุทธิ์เพราะเลสลี่ไม่ได้มีทีวีที่บ้านดูเลย แต่ด้วยมุมมองที่กว้างเกินหน้าจอทีวีจะให้ได้นั้นเกิดจากครอบครัวที่เป็นนักเขียน และด้วยความสัมพันธ์นี้เองทำให้เธอเปี่ยมด้วยทัศนมุมมองของโลกที่เป็นมากกว่าโลกที่คุ้นเคยกับการเปิดใจเพื่อยอมรับสิ่งที่ไม่มีอยุ่จริง
เลสลี่มีอะไรที่เหมือนกับเจสแต่ทั้งคู่ล้วนมีจุดแตกต่าง ในขณะที่เจสเลือกจะวาดรูประบายสีกับการหมกตัวในงานที่ใช้ศิลปะที่ไม่ไม่เต็มใจให้ใครดู แต่กับเลสลี่มีความคิดที่มองโลกด้วยความเป็นอิสระเสรีและมักต้องการใช้ชีวิตกับสิ่งนั้นด้วยความสุขของเธอเอง
สำหรับเลสลี่มีความแปลกมากกว่าจะเป็นผู้หญิงทั่วไปที่มีความกล้าและความคิดที่กว้างมากกว่าที่จะเป็น ทำให้ไม่แปลกใจที่หลายๆคนจะชอบเลสลี่ แต่ขณะเดียวกันใช่ว่าทุกคนจะยอมรับได้เสมอไปอย่างเด็กเกรดแปดรุ่นพี่ที่มีอายุมากกว่าและชอบวางตัวเหมือนอัธพาล
ก่อนหน้าที่เลสลี่จะชินกับโรงเรียนใหม่นั้น เจสมักมีปัญหากับรุ่นพี่เกรดแปดและเพื่อนร่วมห้องที่มักโดนเอาเปรียบ โดนเยาะเย้ย และแกล้งเป็นประจำ และด้วยเหตุที่ว่าเป็นคนเก็บตัว ไม่บอกหรือกล่าวใคร และยังมีความคิดเป็นแบบของตัวเองที่ไม่เลือกจะแบ่งปันหรือถ่ายทอดให้ใครได้ แต่ที่หนักใจคือเรื่องทางบ้านที่เกิดเป็นลูกชายเพียงคนเดียวในบ้าน จึงต้องถูกใช้งานและทำงานเป็นเรื่องที่เกิดมาตามสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูมากอย่างแข้มแข็ง ในขณะที่พี่น้องในบ้านของเขากลับถูกเลี้ยงดูมาแบบทะนุถนอม และด้วยเหตุนี้จึงเป็นบุคคลที่ไม่เข้ากลุ่มในขณะเดียวกันกลุ่มก็ไม่ได้ยอมรับเขาด้วยเช่นกันเพราะพื้นฐานทางสังคมและครอบครัวที่เลี้ยงมาด้วยความแตกต่าง จนกระทั้งมาพบกับเลสลี่ที่ได้นำพาโลกของการเก็บตัวเปลี่นเป็นโลกกว้างที่อยากมีสังคมอยู่ร่วมด้วย
ก่อนที่ทั้งคู่เกิดเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เพียงเพราะความสนิทสนมเพียงอย่างเดียว แต่เพราะทั้งคู่มีบางอย่างที่เหมือนกัน คือจิตนาการอันเลื่อมใสที่ไม่ได้เจือปนจากวัตถุนิยมแต่เป็นสิ่งแวดล้อมจากธรรมชาติ โดยเริ่มจากเลสลี่ที่เขียนบทความส่งอาจารย์ได้อย่างละเอียดถี่เหมือนเคยพบเห็นและสัมผัส แต่เธอไม่เคยเห็นแม้แต่ในทีวี หรือจะเจสที่วาดรูปใส่สมุดเอาไว้อย่างมากมายโดยที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่จริงเลย ที่สำคัญการเชื่อใจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทั้งคู่เข้าหากันได้อย่างอิสระ ซึ่งจะเห็นว่าต่างไม่มีความลับต่อกันเพราะการเปิดใจที่ทำให้อีกฝ่ายต่างเข้าใจกันและกันได้
คิดว่ายังไงกับเด็กสาวเกรดแปดที่มีวุฒิภาวะสูงกว่าในหลายมุมมอง แต่ไม่ได้ว่าจะมีสูงกว่าใครในทุกด้าน เพียงแต่ใช่ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าใครในด้านผู้ใหญ่ที่ปักหลักยึดที่นั่งหลังรถโรงเรียน หรือจะหน้าห้องน้ำที่ใครจะเข้าต้องจ่ายเงินเป็นภาษีเสียก่อน การมีพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้อยู่ต่างหรือห่างจากสิ่งที่ทำให้เกิดมากนักแต่เป็นเรื่องของสังคมที่มักจะเกิดจากเลียนแบบจากผู้ใหญ่ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในวุฒิที่สูง ทำให้ไม่ต่างอะไรกับวัยทำงานที่ต้องหารายได้เข้าครอบครัวเพื่อเลี้ยงดูและใช้ชีวิตกันอย่างสุขสม
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกลับบ้านครั้งหนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปอีกยาวนาน เมื่อเจสและเลสลี่ได้เข้าไปในป่าหลังบ้าน ด้วยความที่อยากผจญภัยตามประสาเด็กทำให้เหมือนเป็นการจุดพลุที่แตกเป็นประกายความคิดที่ให้เกิดดินแดน Terabithia แต่ผู้สร้างจริงๆคือเลสลี่เพราะการเปิดใจที่ยอมรับและเปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหรือจะรูปร่างของต้นไม้ล้วนมีการเปรียบเทียบเป็นอีกหนึ่งมิติที่เห็นได้ถ้าเปิดใจให้กว้าง จากที่เจสยังแปลกใจกับช่วงแรกที่เลสลี่ทำอะไรที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้บางอย่างที่ติดตัวมาตลอดเกิดความคิดแบบมีอยู่จริง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดบนกระดาษอย่างที่เคยเพราะสิ่งนั้นมีอยู่จริง และมันเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดใจรับสิ่งนั้น
Terabithia ในมุมมองโดยทั่วไปคือป่าไม้ธรรมดาที่มีอยู่จริง แต่เมื่อลองเปิดใจรับในทุกสิ่งจะเห็นอะไรบางอย่างที่ใจเราต้องการให้กว้างยิ่งขึ้นจนเป็นรูปเป็นตนขึ้นมาจริงๆ แล้วอะไรทำให้เลสลี่สนใจรับเรื่องอื่นมากกว่าทางด้านวัตถุนิยม ซึ่งตรงจุดนี้สังเกตได้จากการที่เลสลี่ให้ของขวัญเจสเป็นอุปกรณ์วาดรูป ที่เจสมองว่ามีราคาที่แพงและไม่เลือกที่จะรับ เพราะคิดว่ามันมีค่าเกินไปทางวัตถุ แต่เลสลี่ไม่คิดแบบนั้นเพราะไม่ได้สนใจในราคาในขณะที่เจสถาม เนื่องจากมีความคิดอยู่แล้วว่าต่อให้มีราคาสูงมากมายแค่ไหนมันยังมีค่าน้อยไปถ้าจะประเมินคุณค่าทางจิตใจ
เพราะการเปิดโลกยอมรับในสิ่งใหม่ทำให้เจสต้องเปลี่ยนตัวเองไปกลายเป็นคนที่พร้อมเผชิญหน้ามากขึ้น จากตัวอย่างที่เจสร่วมมือกับเลสลี่จัดการรุ่นพี่เกรดแปด และผลคือการเปลี่ยนไปจากการเอาคืนที่โดนกลั่นแกล้งเป็นบ่อยครั้ง สรุปง่ายๆผลพลวงการกระทำในโลกแห่งความจริงได้เปลี่ยนไปย่อมส่งผลให้ Terabithia นั้นเปลี่ยนไปด้วย
เนื่องจาก Terabithia ก็เหมือนโลกคู่ขนานแต่เกิดขึ้นในโลกเดียวกันแต่คนละมุมมองเพราะเกิดจากจิตนาการที่แปรมากจากความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องจำยอมให้เรื่องยุติเพียงการเอาคืนเท่านั้นแต่ต้องรู้จักให้อภัยด้วย ซึ่งหลังจากที่รุ่นพี่เกรดแปดโดนเอาคืนจำต้องเสียใจและโศกเศร้าทำให้ไม่สามารถระบายต่อหน้าใครและมักจะปลดปล่อยความทุกข์ในห้องน้ำเพื่อเป็นการระบายความเจ็บปวด ซึ่งเลสลี่และเจสเห็นว่าพวกเขาทำเกินไป จึงต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและให้คำปรึกษาดีๆจนเป็นที่น่าพอใจ และเปลี่ยนนิสัยรุ่นพี่เกรดแปดให้กลายเป็นคนดี
ดังยักษ์ใน Terabithia ที่ต้องการมาจัดการเลสลี่และเจสที่เป็นราชาและราชินี จนในภายหลังกลับกลายเป็นฝ่ายดีและมีส่วนในการช่วยเหลือไม่ต่างอะไรกับรุ่นพี่เกรดแปดที่ตอนแรกมาว่าร้ายเสมอ แต่หลังจากเวลาผ่านพ้นไปทำให้จิตใจรุ่นพี่เกรดแปดดีขึ้น และส่งผลให้ชีวิตของเลสลี่กับเจสไม่มีข้อกังขาอีกแล้ว
เมื่อเจสมีความกล้ามากขึ้นใน Terabithia ในการสร้างป้อมปราการเพื่อรับมือกับศัตรู เขาจึงได้เรียนรู้ถึงคุณค่ามากขึ้นของการทำงานและไม่กังขาเรื่องที่จะทำทุกเช้าเมื่อพ่อใช้ให้เขาไปทำงาน จนเมื่อความมั่นใจในตัวเองมีมากขึ้นจึงเกิดการยอมรับเปิดใจในการเข้าหาครูที่แอบหลงรัก ซึ่งการที่เจสมีความมั้นใจมากขึ้นทำให้การเข้าถึงตัวครูเป็นไปได้ง่ายและต่างจากเดิมที่มีอาการเกร็งๆ จนเมื่อครูได้รู้แล้วว่าเจสมีพรสรรค์ด้านศิลปะจึงชวนไปร่วมชมพิพิธภัณฑ์ในเมือง แต่ในระยะห้วงหนึ่งความคิดของเจสนั้นอยากชวนเลสลี่ไปด้วย แต่อีกใจหนึ่งบอกว่าอยากไปกับคนที่เขาหลงรักมากกว่าเป็นการส่วนตัว
การไปชมพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงข้ามช่วงของชีวิตหนึ่ง เมื่อการไปเลือกชมพิพิธภัณฑ์นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการดูผลงานที่เป็นจุดมุ่งหมายชีวิตในอนาคตที่จะใช้เป็นจุดปักฐานในอนาคต ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดีอย่างที่สุดเพราะยังห่วงเลสลี่ที่ไม่ชวนมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนเขาไปคือการกลับมาที่บ้านพร้อมสมาชิกในบ้านที่เป็นห่วงเจสแบบผิดปกติ ก่อนจะทราบว่าเลสลี่ได้เสียชีวิตแล้ว
หลังได้รู้ความจริงที่ไม่อาจปิดบังได้เจสเลือกทำใจไม่ลงเพราะการสูญเสียที่กระชากใจเขาแบบไม่น่าให้อภัยเพราะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง และย้ำว่าตัวเองผิดที่ไม่ได้ชวนเลสลี่ไปด้วย จากการพังทลายของเพื่อนที่หาได้ยากทำให้การทำใจเป็นไปด้วยความเจ็บช้ำ แต่เกิดเป็นว่า Terabithia ก็หายไปด้วยเพราะความกลัวและไม่อยากข้ามไปอีกฝั่ง
ในภาวะที่ทุกคนเศร้ากับการไม่อยู่ของเลสลี่ทำให้ทุกคนเปิดใจมากขึ้นเกี่ยวกับเลสลี่ ที่ปรากฏจากครูคนหนึ่งที่เวลาสอนเต็มไปด้วยระเบียบและเข้มงวด แต่ภายในเปราะบางและเสียใจเรื่องเลสลี่จนเจสเกือบแปลกใจในช่วงแรก แต่เข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทุกคนต้องการเลสลี่กลับมาแต่ชีวิตยังไม่จางหายยังคงต้องมีชีวิตกันต่อไป
เจสไม่อยากจดจำเวลาเรื่องเลวร้ายจึงบีบสีลงน้ำที่เลสลี่เป็นคนมอบให้เพื่อหวังว่าจะไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่เขาตระหนักได้ว่าถึงการสูญเสียที่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการสูญสิ้นซะทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ไหลไม่ย้อนกลับมาแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือแม่น้ำที่ไม่ได้ไปไหน
ในความเป็นจริงเกิดขึ้นได้เสมอตลอดเวลา แต่อะไรจะสูญสลายเมื่อไม่มีความจริง นั้นคือจินตนาการ เมื่อเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวของจินตนาการนั้นเป็นดังชีวิตที่ทอดเลี้ยงมาจากความจริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตัดไม่ขาด และเจสได้คิดใหม่ถึงไม่มีเลสลี่อยู่แต่เขาจะทำให้ Terabithia กลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นการนับถือและไม่ลืมเลสลี่อีกเลย
Bridge to Terabithia สะพานสู่ทีราบีเตีย อาจเป็นคำพูดที่กล่าวมาตรงๆและไม่สลับซับซ้อนอะไร แต่อะไรที่น่าสงนเมื่อหลังดูเรื่องจบคือ Bridge ที่มีความหมายมากกว่าจะเป็นแผ่นไม้ปูทางข้ามฟาก แต่อาจหมายถึงหลายสิ่งๆที่กำลังจะหายไปและเริ่มขึ้นใหม่กับอีกสิ่งหนึ่งเมื่อเราเลือกข้ามสะพาน เหมือนเจสที่เริ่มเข้าใจในหลายสิ่งๆว่า"อย่าลืมคนที่อยู่ใกล้ตัว" ทำให้เจสเริ่มมีความหมายกับชีวิตมากขึ้น โดยการสร้างสะพานให้กับน้องสาวของตนเองและยกให้เป็นราชินีแห่งทีราบีเตีย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Terabithia กลับมามีชีวิตจริงๆคือการที่เจสกลับมาเข้าใจเรื่องเลสลี่ ที่ไม่ใช่เพราะความผิดของเขาที่ทำให้สูญเสียเธอไปแต่เป็นเรื่องของชีวิต ที่ทุกคนต่างเลือกเมื่อต้องการเปลี่ยนแปลง และแน่นอนว่าเลสลี่ต้องเข้าใจกับการกระทำของเจสเพราะความคิดที่ไม่เคยว่าร้ายใครและยอมรับว่านั้นก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต
"Just close your eyes but keep your mind wide open."
"จงหลับตาไว้ และเปิดใจให้กว้าง เธอจะเห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม"
Bridge to Terabithia ไม่ใช่หนังที่บอกได้เต็มปากว่าคือแฟนตาซีเพราะนี่คือการนำเสนอเรื่องราวอย่างมีชั้นเชิงและให้คุณค่าเรื่องราวได้อย่างมีเอกลักษณ์จนน่าดึงดูด ด้วยการนำเสนอสิ่งที่เกิดจากจิตนาการจากความจริงที่เกิดในชีวิต อันไปสู่การเปรียบเทียบของดินแดนทีราบีเตียที่มีความหมาย ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของจินตนาการอย่างมีระดับ แต่อันหมายถึงการใช้ชีวิตที่ตีตราความหมายแบบแฝงลึกได้อย่างมีความหมายและนัยยะของการกระทำของตัวละครที่ผ่านสายตาผู้ชมได้อย่างซาบซึ้ง ซึ่งการดำเนินเรื่องถึงแม้จะอืดในในบางช่วงและดูดราม่า แต่นี่คือหนังที่ว่าด้วยชีวิตอีกมุมมองหนึ่งขนานแท้ ที่อาจจะมีเรื่องราวอันสนุกสนานแต่กลับจบแบบซาบซึ้งชวนร้องไห้ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าหนังได้สร้างสัมพันธ์กับผู้ชมแบบลงรากลึกถึงความรู้สึกจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับสะพานที่เชื่อมโลกที่อยู่ระหว่างให้เข้าหากันให้เป็นโลกเดียวกัน