Knowing (2009) รหัสวินาศโลก

Knowing (2009) | รหัสวินาศโลก | B
Director: Alex Proyas
Genres: Action | Drama | Sci-Fi | Thriller

ในงานโรงเรียนประถมได้มีกิจกรรมให้เด็กนักเรียนได้วาดรูปอะไรก็ได้ตามใจชอบ แล้วนำไปใส่หลอดแคปซูลเพื่อฝังเก็บไว้ใต้พื้น จนแล้วเวลาได้ผ่านไปอีก 50 ปีให้หลังได้มีการจัดงานต้อนรับนักเรียนโดยขุดแคปซูลเมื่อ50ปีก่อนขึ้นมาให้ภาพวาดที่อยู่ข้างในแก่เด็กๆ แต่กลับเรื่องประหลาดเมื่อคาเลบ โคเอสต์เลอร์(Chandler Canterbury)ได้แผ่นกระดาษที่มีแต่ตัวเลขมากมายแทนที่จะเป็นภาพวาดเหมือนกับคนอื่นๆ จนกระทั่งจอห์น โคเอสต์เลอร์(Nicolas Cage)พ่อของคาเลบ ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้นเข้าและสะดุดความคิดบางอย่าง ซึ่งมันเป็นรหัสที่บอกวัน สถานที่ และจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างแม่นยำ แต่ด้วยความที่ไม่น่าเป็นไปได้และพยายามจับผิด ทำให้เขาต้องตกใจเมื่อสิ่งนี้คือคำทำนายล้วงหน้าที่ถูกเขียนเป็นรหัสของจริง แต่แล้วเหตการณ์หายนะที่ไม่ถูกตีความออกยังเหลือ 3 เหตุการณ์ที่รุนแรงและอาจขั้นมหันตภัยล้างโลก ทำให้จอห์นต้องแก้ไขเรื่องราวที่จะเกิดล้วงหน้าให้ยุติ แต่เมื่อจอห์นยิ่งเข้าสู่เรื่องราวเหตุการณ์มากเท่าไรบางสิ่งก็ยิ่งดูลึกล้ำและเหมือนว่าจะมีอีกหลายๆเรื่องที่่น่าตกใจ


Alex Proyas ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Knowing ได้พูดถึงไอเดียที่เขาใช้อ้างถึงแค๊ปซูลเวลาว่า "ถึงแม้จุดประสงค์ของการฝังแค๊ปซูลเวลานั้น คือการบันทึกสิ่งที่มนุษยชาติเคยทำมาในอดีต แต่ผมก็ลองคิดเล่นๆดูเหมือนกันว่า มันจะเป็นอย่างไรเมื่อในอนาคตเราเปิดแค๊ปซูลลูกนั้นออกมา แล้วกลับกลายเป็นว่ามีวัตถุที่พูดถึงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นไปแล้วอย่างชัดเจน และมันก็ยังทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอีก ผมคิดว่าสิ่งนี้คือสมมุติฐานที่น่าสนใจสำหรับการลงไปสำรวจศึกษาและต่อยอด และแน่นอนที่สุด มันคงทำให้คนดูยิ่งรู้สึกสงสัยและหวั่นกลัวอีกว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าคำทำนายชิ้นนั้นจบสิ้นลง"

Knowing ยังคงไว้ซึ่งพล็อตแบบหนังทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับหายนะล้างโลก และมีจุดเริ่มและจุดจบที่แตกต่างกันออกไปตามท้องเนื้อเรื่องที่ต้องการ แต่กับ Knowing มีประเด็นที่น่าสนใจและหลากหลายที่มีส่วนเกี่ยวพันถึงเรื่องศาสนาอย่างเต็มตัว ที่ถึงแม้จะไม่ได้เห็นแบบตรงๆและชัดเจนแต่ถ้าลองพิจารณาตีความแต่ละองค์ประกอบออกมาจะเห็นว่าความเกี่ยวข้องตามแบบฉบับศาสนาคริสต์ตามแบบฉบับคัมภีร์ไบเบิ้ลตามอย่างของวันหายนะล้างโลก เป็นข้อสันนิษฐานด้านความเชื่อที่ในไบเบิ้ลกล่าวไว้ เช่นในเรื่องที่ว่าชายชุดดำปริศนา 4 คนที่โผล่ออกมาในหนังอย่างน่าปริศนาที่ไม่รู้ว่าคือใครมาอย่างไงเต็มไปด้วยคำถาม ซึ่งอาจเปรียบได้กับสิ่งที่มีชีวิตอยู่ 4 ตนแห่งสวรรค์ ซึ่งอยู่ในบทเอเสเคียล (Ezekiel) ของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมหรือว่ามันอาจจะหมายถึง สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ(Four Horsemen of Apocalypse) ที่อยู่ในบทวิวรณ์ที่ 6 ของพระคำภีร์ใหม่ และมันก็ยังกล่าวอ้างถึงต้นไม้แห่งชีวิต(Tree of Life) ซึ่งก็เป็นเหมือนกับข้อเปรียบเปรยในพัฒนาการในตัวมนุษยชาติ


ทั้งนี้การสอดแทรกเรื่องศาสนาไม่ใช่ประเด็นเดียวของความเชื่อเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลที่จัดว่าดูมีหน้าหลังและสอดคล้องอีกด้วย คือเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ตีเข้าถึงบทสรุปของหายนะที่จะเกิดขึ้นจนเรียกความน่าเชื่อถือได้จนวินาทีสุดท้าย

สิ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวประเภทหายนะล้างโลกจากหนังอื่นๆคือการใส่จินตนาการเข้าไปด้วยวิธีการสรุปที่ฟังแล้วเหลือเชื่อเกินอย่างมากแถมให้ความรู้สึกที่ท่องในใจว่าเป็นการเชื่อมโยงที่ให้ผลลัพธ์แบบล้ำจินตนาการพอสมควรเพราะทุกอย่างที่มีในตัวหนังจะมีเนื้อหาสาระและคำตอบอย่างละนิดละหน่อย ซึ่งกับบางคนอาจแปลกใจกับการหักมุมที่ตัวหนังเสนอมา แต่กับบางทีทุกอย่างในตัวหนังได้ดักทางเอาไว้แล้ว

ฉะนั้นถ้าคิดว่าเนื้อหาของตัวหนังจะไม่มีที่มาที่ไปคงเป็นไปไม่ได้ แต่กระนั้นความตั้งใจจริงของ Knowing ยังไม่สัมผัสคำว่าถ่องแท้หรือผลลัพธ์ที่นำพาสู่บทสรุปได้อย่างจริงๆจังๆ จะกล่าวได้ก็คือความสำคัญของเนื้อเรื่องที่เกริ่นด้วยสาระและการตีความที่มีข้อเปรียบเทียบแบบชั้นเชิงมีช่วงเวลาที่จะเสนอให้โอกาศน้อยเกินไปขาดความลึกซึ่งที่ควรจะตีความให้แบบสุดโต้ง และทั้งนี้ทั้งนั้นตัวหนังก็เสนอในรูปแบบที่จัดว่าเหมือนหมดมุข แต่กระนั้นก็ใส่มุขใหม่ เป็นอีกมุมมองที่จากทฤษฏีเป็นความจริง


ถ้ากล่าวถึงในด้านความน่าสนใจคงไม่พ้นการทำนายที่เกิดจากแผ่นกระดาษที่อยู่ในแคปซูลแล้วเกิดการตีความโดยบังเอิญจนได้เรื่องการทำนายเหตุการณ์ที่เกิดล่วงหน้าที่ถูกต้อง ซึ่งยังมีปัญหาที่ว่าจะเกิดตอนไหน จนเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเพราะรู้เพียงว่าเกิดที่ไหน ตายกี่คน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเกิดได้ไง ทำให้ตัวหนังเกิดการดำเนินที่ดูต่อเนื่องกับปมปริศนาต่างๆและจุดเซอร์ไพรส์ที่เรียกความสนุกและระทึกขวัญขณะชมได้อย่างติดตา

ถึงแม้ว่า Knowing จะอ่อนด้อยกว่ามากในเรื่องของบทภาพยนตร์ ที่ขาดทั้งความลึกซึ้งและความเข้าใจในเรื่องที่พูดอย่างถ่องแท้ แต่ก็ได้เพิ่มเติมในส่วนของฉากความสูญเสียที่จะกระชากหัวใจคนดูทุกคนด้วยความตระการตาเอฟเฟคที่ชวนน่าดูชมแบบให้ความลุ้นได้แบบสุดๆ ที่สำคัญการดำเนินยังเป็นไปได้อย่างลื่นไหลและดูต่อเนื่องที่มาพร้อมกับการค้นหาความจริงต่างๆประหนึ่งหนังแนวสอบสวนที่มีความระทึกขวัญที่หนักในการกดอารมณ์ผู้ชมให้เกิดความวิตกกังวลกับเรื่องราวที่มีความผวา สิ่งที่ช่วยความน่าตื่นเต้นให้ดูสมจริงและคล้อยตามคือการใช้บทสนทนาที่เหมือนถกเถียงแบบไม่น่าเบื่อ โดยจะหนักแน่นในช่วงเกือบท้ายเรื่องและผ่อนคลายแบบปล่อยถึงที่สุดในตอนท้าย

Knowing มีมากกว่าหนังเสนอการทำลายล้างโลกตรงที่ว่ามีตอนจบได้อย่างน่าอบอุ่นถึงไม่แฮปปี้ตามหวัง แต่ทำให้เข้าใจในอีกหลายๆด้านที่มีส่วนตรงกับชีวิตจริงๆของเรานั้นคือความรักต่อครอบครัว


เรื่องนี้สามารถสนองความต้องการของคนดูได้แบบล้นประสิทธิภาพเพราะความเอาบันเทิงที่เต็มเปี่ยม และแน่นอนว่าจะมีฉากที่จัดว่าเด็ดที่สุดซึ่งได้รับการกล่าวขวัญเป็นอย่างดี คือฉากเครื่องบินตก ที่ถ่ายทำกันแบบลองเทคที่ถ่ายทำตลอดจนจบฉากไม่มีการตัดต่อ ทำให้ชวนรู้สึกผวาและขนลุกตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ด้วยระยะเวลาที่ไม่ทิ้งช่วงและไปต่อในสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้งานด้านเอฟเฟคดูตระการตาของจริงและที่น่าสลดใจและสวยงามคือตอนท้ายของหนังที่มีความรุนแรงแบบหายนะครั้งยิ่งใหญ่ หรือที่เรียกว่า"การระเบิดลุกจ้า"

การระเบิดลุกจ้า คือ การระเบิดลุกจ้าเล็กๆบนดวงอาทิตย์ จะสร้างมวลอนุภาคก๊าซให้ลอยเท้งเต้งอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เมื่อรวมตัวกันมากๆจนพัดผ่านโลก ก็จะเกิดพายุสิริยะนั่นเอง และมวลอานุภาคนี้แหละที่กระทบคลื่นแม่เหล็กของโลก การติดต่อสื่อสารจะขัดข้องแล้วตามมาด้วยภับพิบัติมากมาย และจากกิจกรรมบนดวงอาทิตย์นี่เอง ที่รบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วเบียดเสียดกับก๊าซบนผืนโลก เกิดเปล่งแสงกลายเป็นแสงเหนือแสงใต้ บริเวณขั้วโลกให้เราเห็นเป็นแสงสีสวยงาม ซึ่งจะเป็นอย่างไงถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดบริเวณขั้วโลกแต่เกิดกับที่อื่น


Nicolas Cage แน่นอนว่าเล่นเป็นตัวเอกของเรื่องที่ต้องโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด การแสดงคงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะว่าดูออกมาดีอยู่แล้ว แต่ในด้านกับตัวละครอื่นๆดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่บ้างอย่างเด็ก Chandler Canterbury ที่ยังเล่นไม่เต็มอิ่มมีนิ่งๆเกร็งอยู่บ้าง หรือจะ Rose Byrne ที่เล่นเป็น ไดอาน่า เวย์แลนด์ ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องราวนี้ด้วยด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เกือบจะได้เป็นตัวประกอบไปแล้วด้วยเพราะการแสดงของ Nicolas Cage นั้นดูมีมากเกินไปจนลืมความสำคัญกับบทบาทอื่นๆ จะเห็นได้ว่าเวลามีอะไร Nicolas Cage จะมีความน่าสนใจอยู่คนเดียวซะมาก ในด้านธีมของหนังดูจะกลมกลืนกับเหตุการณ์ได้ดีชวนให้รู้สึกถึงเรื่องราวที่จะเกิดแต่บอกไม่ถูกว่าจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ และที่ขาดไม่ได้คือความรู้สึกในด้านดนตรีประกอบที่ใส่จังหวะความน่าตื่นเต้นเอาไว้ทำให้ตัวหนังเหมือนไปเร็วแบบไม่มีเบื่อ แต่ที่น่าสนใจคือการใช้สุนทรีภาพในการจัดเข้ามามีส่วนร่วมกับตัวหนังที่เปี่ยมด้วยความหมายบางสิ่ง คือการนำดนตรี ซิมโฟนีหมายเลข 7 ของ บีโธเฟ่น มาใช้เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวและมีเอกภาพของงานศิลป์ได้อย่างน่าชื่นชมและฉานฉลาด


ประเด็นปริศนาอีกอย่างที่จะเห็นได้จากตัวหนังมีการใช้ภาพ chariot vision และปริศนาอักษรย่อคือ EE ความหมายของมันคือ the final event is a massive solar flare that will kill "Everyone Else."

การสิ้นสุดของการลุกไหม้อย่างรวดเร็วและความ สว่างไสวของรังสีดวงอาทิตย์ใหญ่โตมโหฬารที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิต ถ้าลองพิจารณาดีๆจะพบว่าตัวหนังมีไอเดียที่มีความผสมผสานกับศาสนาและวิทยาศาสตร์ที่ไม่น่าสมควรมี แต่ก็เกิดขึ้นได้อย่างน่าพอใจ ถึงแม้จะดูล้ำเกินไปกับบทสรุปจริงๆแต่กับเรื่องพระอาทิตย์คือเรื่องจริงที่น่าสนใจเป็นอย่างมากและมาได้ถูกประเด็นจริงๆ

ถึงสุดท้ายตอนจบของเรื่องราวจะบ้าบิ่นเกินยอมรับได้แต่ด้วยความไม่รู้ทำให้ยังมีเวลาอีกมากมายที่ขาดการพิสูจน์ดังระบบสุริยะจักรวาลที่ยังแฝงด้วยคำถามมากมายี่ขาดคำตอบ เหมือนกับในเรื่อง Knowing ที่พิสูน์แล้วว่าคำตอบที่ได้จากพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีอยู่บนโลก

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)