Cut (2000) ผีตัดหัวคน

Cut (2000)
ผีตัดหัวคน
Director: Kimble Rendall
Genres: Comedy | Horror | Mystery | Thriller

ในปี 1985 ทีมงานและกองถ่ายเรื่อง Hot Blooded ได้เจอกับเหตุการณ์สยองไม่คาดฝันเมื่อมีฆาตกรฆ่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้อย่างโหดเหี้ยมก่อนจะถูกกำจัดหายไป ผลครั้งนี้ทำให้การถ่ายทำต้องยุติลงถาวร แต่อย่างไรก็ตามความหลอนยังคงอยู่กับม้วนฟิล์มที่ใครนำเอาไปทำต่อหรือฉายฟุตเตจที่ไหนจำต้องเกิดเรื่องสยองเกิดขึ้นกับทุกรายจนเป็นหนังต้องห้ามที่เป็นไปตามความเชื่อ จนกระทั่งสิบสี่ผ่านไป นักศึกษากลุ่มหนึ่งสนใจอยากสร้างหนังขึ้นมาจึงตัดสินใจจะสร้างเรื่อง Hot Blooded ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์มาสร้างต่อให้เสร็จ โดยมีผู้กำกับแรฟฟี่(Jessica Napier)เป็นหัวหน้าโครงการที่ได้เฮสเตอร์(Sarah Kants)ผู้อำนวยการสร้างมาร่วมงานด้วย


ทว่าการจะสร้างหนังให้ต่อเนื่องได้นั้นต้องใช้นักแสดงคนเก่าซึ่งก็คือวาเนสซ่า(Molly Ringwald)ตัวนางเอกในเรื่อง Hot Blooded ที่เคยกำจัดฆาตกรนั้นมาก่อน ถึงแม้ตอนแรกจะไม่เต็มใจร่วมงานแต่สุดท้ายก็ต้องไปเพื่อลบล้างอดีตที่โหดร้ายครั้งนั้นแม้จะตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจก็ตาม เมื่อหนังเริ่มสร้างเหตุการณ์ความสยองกลับมาอีกครั้ง นักศึกษาเริ่มหายไปทีละรายอย่างลึกลับหรือว่าเรื่องอาถรรพ์จะหลับมาอีกครั้งกับฆาตกรกรรไกรตัดหญ้าที่คมพร้อมเฉือนขาดได้ทันที

หนังสยองที่เหมาะกับคนเริ่มต้นแนวนี้อย่างดี ด้วยเอกลักษณ์ที่ที่ตั้งใจมาแหวกแนวเพื่อล้อเลียนหมู่หนังสยองด้วยกันเองรวมถึงบางเรื่องที่ตัวละครแอบพูดกัดจิกอย่าง Mad Max ที่ไม่เอางานจนไม่มีความก้าวหน้าไปต่อในภาคสี่ แม้จะไม่ได้บอกอะไรยาวแต่ก็พอทิ่มแทงทีมงานบางชุดได้ทันทีว่าเมื่อไรแม็กจะกลับมาสักทีใน  Mad Max ก็ด้วยเป็นหนังฟอร์มเล็กๆไม่มีอะไรลงทุนมากมายจึงไม่แปลกใจถ้าหนังจะยึดเอาตามสูตรแม้จะพยายามนอกสูตรแล้วก็ตามที ซึ่งเนื้อเรื่องก็ได้เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มุ่งจะทำหนังเรื่องหนึ่งให้เสร็จโดยไม่สนในอดีตว่าหนังเรื่องนี้เคยมีอาถรรพ์มาก่อน ขนาดรู้ว่ามีคนตายหลายรายแล้วการที่หนังหยิบช่วงวัยรุ่นมาก็เท่ากับหยิบช่วงเวลาของการอวดดีเข้ามาอีกด้วย และเมื่อไม่สนใจในความอาถรรพ์ของหนังเรื่องนั้นความอาถรรพ์จึงบังเกิดขึ้นกลายเป็นฆาตกรหรือผีที่หลุดมาจากฟิล์มม้วนหนัง เมื่อลองย้อนไปตั้งแต่ต้นเรื่องความสมเหตุสมผลหรือที่มาที่ไปก็ล้วนว่างเปล่า จึงกล่าวได้ว่าหนังเปิดมายังไงมันก็มาอย่างนั้น เจ้าฆาตรกรผีนั้นอยากโผล่ก็โผล่มาได้ตลอดทุกครั้งที่เรื่องนี้มีการฉายเกิดขึ้นซึ่งเท่ากับว่าต้องมีคนตาย


ในแง่ของเจ้าตัวฆาตกรไม่มีอะไรเกี่ยวข้องอะไรเลยรู้เพียงว่าเมื่อเอาหนังที่มีเจ้าฆาตกรมาฉายมันก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่คราวก่อนก็โดนฆ่าไปแล้วแท้ๆในตอนต้นเรื่อง ถ้าดูจากสภาพตัวแล้วก็อดคิดถึงพ่อรูปหล่อไมเคิล ไมเยอร์จาก Halloween ไม่ได้ที่มีลักษณะการแต่งกายที่คล้ายกัน มีหน้ากากใส่แต่คนละแบบ มีอาวุธกันคนละแบบแต่คมพอๆกัน ซึ่งดูแล้วคงได้รับอิทธิพลมาไม่มากก็น้อย หนังจ้องแต่ให้เจ้าฆาตกรมีหน้าที่ฆ่ากับฆ่าและฆ่าอย่างเดียว มีอะไรเป็นแรงจูงใจบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้ก็เป็นพวกโรคจิตอีกน่ะแหละ แม้จะมีส่วนที่น่าชื่นชมที่ไม่ธรรมดากับความฉลาดก็ตามทีแต่พอถึงจุดๆหนึ่งเนื้อเรื่องพาให้มีการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น จนไม่มีความลึกลับอะไรเลยเพราะช่วงต้นได้เล่ารายละเอียดไปหมดเปลือกแล้ว ฉะนั้นความน่าสงสัยก็หายกันไปหมดจะเหลือแต่ความสยองจากการฆ่าเท่านั้นที่จะมัดใจผู้ชมได้มากแค่ไหน

จัดว่าเข้าบรรยากาศของอารมณ์ Scream ไม่มีผิดที่เจาะจงเข้าหากลุ่มวัยรุ่นที่เลือดร้อนอยากทำหนังให้เสร็จ  โดยระหว่างการทำหนังตัวละครแต่ละตัวก็มีบทบาทเป็นของตัวเองมีหน้าที่ต่างๆที่ต่างกัน จากจุดที่ว่าเหมือน Scream คือเรื่องผู้ร้ายในเรื่องที่ตัวหนังเกือบจะหลอกผู้ชมได้แล้วถ้าเพิ่มระดับความซับซ้อนเข้าไปอีก บางทีการตัดฉากหรือหลอกล่ออาจเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับหนังสยองขวัญบางเรื่องที่ปิดบังความจริง อย่างที่รู้กันก่อนว่าฆาตกรดังกล่าวนั้นจะมีหรือไม่มียังคงเป็นปริศนากันอยู่เพราะไม่มีใครรู้หรือเห็นได้ แต่พอเนื้อเรื่องเริ่มเดินเปิดกล้องถ่ายทำหนังคนที่เล่นเป็นฆาตกรนั้นแหละที่ทำให้เรามีเอี่ยวด้วยกับความสับสนที่ว่ามันเป็นใครกันหว่า ยังดีที่ตัวละครที่รับเลือกเป็นนักแสดงฆาตกรมีนิสัยใจร้อนอยู่บ้างและขี้เล่นหลอกคนกับบทบาทของตัวเอง จึงเปรียบได้ว่าทั้งตัวจริงตัวปลอมต่างแยกไม่ออกหรอกว่าคือใคร เนื่องจากภายใต้หน้ากากที่ใส่ไปนั้นไม่มีสิ่งใดบอกได้นอกพฤติกรรมที่เกินจริงยิ่งกว่าการแสดงหน้ากล้องที่ความสยองจะเสริฟ์มาเป็นพักๆ ลองนึกดูว่าความสยองเรื่องนี้จะมากแค่ไหนถ้าเทียบกับความสยองของ Halloween หรือ Scream ที่เป็นแม่แบบของหนังสยองอีกหลายๆเรื่อง ผลที่ได้คือเป็นน่าพอใจแม้จะไม่สุดเต็มที่เพราะชอบเล่นมุมกล้องไปทางอื่นก็ตาม แต่ถ้านึกถึงสมัยก่อนพวกฉากที่เห็นแบบเต็มๆที่เลี่ยงไปเห็นอย่างอื่นแทน อย่างเช่น ตอนฆ่าเหยื่อโดยการจับหัวเอาไว้บนรางตัดไม้ที่ฉากจะตัดไปที่กระจกแทนซึ่งเลือดก็กระจูดเต็มบานกระจกทันที คือเป็นวิธีเพิ่มระดับความสยองแบบเก่าๆที่เล่นจินตนาการของผู้ชมว่าหลังจากนั้นผลจะเป็นยังไง


พวกวิธีเมคอัพเองที่หนังก็ล้อด้วยวิธีการแกล้งตายไปหลอกเพื่อนในโรงหนังที่กำลังดูหนังอยู่ดีๆพอหันไปมองเพื่อนข้างก็โดนกรีดคอไปหมดแล้วก่อนจะรู้อีกทีว่าเป็นการอำเล่น ซึ่งจากตรงนี้ถ้ามองว่าไม่ใช่การอำล่ะก็ดูเหมือนจริงเหมือนกัน แต่แปลกคือแค่เอาเลือดปลอมมาไว้ที่คอที่ดูเหมือนแล้วเหรอเนี้ย และวิธีเมคอัพนี้เองที่หนังทำได้เห็นเต็มๆเลยอย่างฉากเฉือนคอที่เลือดไหลโจ้กเห็นรอยแยกตามแนวการเฉือนหรือจะฉากที่เจ้าตัวฆาตกรกำลังละลายที่รู้สึกสะเอียดดีแท้ หน้าดูไม่ได้เลยมันเละมากๆ สรุปว่าความสยองพอมีดีกว่าที่คิดไม่ได้มักง่ายเกินไป เว้นแต่เรื่องบทที่มีเกินมาได้ไง ลองสังเกตดีๆจะรู้ว่ามีคนเกินเข้ามาและงงด้วยว่าป้าคนนี้คือใคร จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ป้าคนนั้นโผล่ออกมาแล้วเตือนว่าให้ทำลายฟิล์มนั้นทิ้งซะ มีสิ่งเลวร้ายอยู่ในนั้น ซึ่งการโผล่ออกมาแบบไม่รู้ว่าเป็นใครก็แสดงถึงทันทีว่าเรื่องการเชื่อมโยงบทนั้นยังไม่ดี แถมโผล่มาเตือนอยู่คนเดียวที่ทำหน้าที่ดูแลเมียตัวเองที่เคยจัดการฆาตกรผีฟิล์มนั้นมาก่อนครั้นยังเป็นนางเอกสาวๆ อย่างที่รู้อย่างหนึ่งคือความท้าทายของตัวละคร ปกติถ้าเจอเรื่องร้ายๆมาก่อนจนผวาคงไม่กล้ากลับไปยุ่งเกี่ยวกับงานชิ้นนี้อีกแต่คราวนี้ยังกลับมาเล่นต่อในบทนางเอกของหนังที่สร้างเพื่อสานให้จบจริง


Cut จัดว่าเป็นหนังที่พยายามนอกตำราแต่ก็วกเข้าสูตรอย่างเดิมที่นำเสนอแบบหนังสยองเกรดบีเอาแหวะเอาสยองกับความโหดของฆาตกรที่ฆ่าด้วยความเพลิดเพลิน สำหรับใครไม่ชินแนวก็อาจมีกลัวกันบ้างแต่สำหรับขาจรที่รับชมแนวนี้อยู่แล้วก็บอกได้ว่าธรรมดา ซึ่งได้นักแสดงพวกผู้หญิงมาชมจับสายตากันทั้ง Molly Ringwald,Kylie Minogue,Jessica Napier ที่ในเรื่องดูสวยดีแอบเซ็กซี่ถ้าไม่ไปนับเรื่องอายุอ่ะนะ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ได้เรื่อยๆไม่แข็งเกินไปจะว่าก็เหมาะกับหนังสยองแนว Scream ด้วยแหละ แต่บางทีมีตลกกับตัวละครบางตัวที่ทั้งกวนและหลงหน้าที่เกินตัว อย่างตากล้องที่ถ่ายอยู่ได้สงสัยจะไม่รู้ว่าอะไรของจริงอะไรคือบทของหนัง ทีนี่ลองมากล่าวถึงผู้กำกับ Kimble Rendall ซะหน่อยที่งานนี้เป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกของเขาเลย อาจไม่แปลกที่หนังมีตำหนิไปบ้าง ก่อนหน้านี้เคยทำหนังสั้นเรื่อง Hayride to Hell (1995) ด้วย เอาเป็นว่า Cut ไม่ต้องตัดแต่ต้องเพิ่มเติมซะหน่อยเพราะช่องว่างของหนังมันเยอะ ถ้าถามว่าสนุกไหม ในระดับที่พอเอาเพลินได้ดีไม่ยุ่งยากจนเกินไปดำเนินเรื่องเร็ว เหมาะสำหรับเอาเวลาว่างมาเฉือดเล่นได้ดี อีกอย่างที่สำคัญคงรู้ว่าหนังสยองเกรดบีอาจไม่ต้องมีเหตุผลรองรับขอแค่ความสนุกที่น่าพอใจอันนี้คงรู้กันอยู่แล้ว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)