Punisher: War Zone (2008) สงครามเพชฌฆาตมหากาฬ

Punisher: War Zone (2008)
สงครามเพชฌฆาตมหากาฬ
Director: Lexi Alexander
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller

อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ แฟรงค์ แคสเซิล(Ray Stevenson)กลับมาอีกครั้งในนาม “The Punisher” ที่ครั้งนี้ได้เกิดเรื่องราวขึ้นขณะลงมือจัดการกับบิลลี่ รุสโซตี้(Dominic West)จอมมาเฟียวายร้าย เมื่อแฟรงค์ทำให้รุสโซตี้ต้องเสียโฉมแต่ยังไม่ตายและกลับมาแก้แค้นให้ตกตายไปข้างหนึ่ง ด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อพันนิชเชอร์ บิลลี้ รุสโซตี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “จิ๊กซอว์” แล้วตั้งตัวเป็นผู้นำรวบรวมกำลังอาชญากรทั่วเมืองมาเล่นงาน แต่ขณะเดียวกันเอฟบีไอก็ยังคงไล่ตามจับศาลเตี้ยอย่างพันนิชเชอร์ด้วยเช่นกัน ทำให้แฟรงค์ต้องเจอสงครามที่มีปัญหาคั่นระหว่างกลาง แต่กับชายที่ไม่ยอมแพ้ทำให้แฟรงค์เลือกจะเผชิญหน้าต่อปัญหาและจะจัดการกับเหล่าผู้ร้ายต่อไปให้สิ้นซาก


จะเรียกว่าเป็นภาคต่อได้ก็คงบอกไม่เต็มปาก เพราะสภาพของหนังมีการดำเนินเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับภาคแรกมากนักที่มีการข้ามเรื่องราวออกไปไกลจนเป็นเนื้อหาของตนเอง อีกทั้งยังเปรียบได้ว่าเป็นการรีบูตแบบครึ่งๆกลางๆที่ไม่ประติดประต่อภาคแรกเมื่อปี 2004 เลยแม้แต่ฉากสูญเสียครอบครัวที่เปลี่ยนใหม่หมด ฉะนั้นถ้าจะตอบว่าเป็นภาค 2 ก็คงเป็นภาคที่ไม่ลงรอยกับภาคแรกเอาซะเลย ซึ่งจากการข้ามเรื่องราวที่ไม่ต่อเนื่องกับภาคแรก ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายที่จากต้นกำเนิดของการล้างแค้นกลายเป็นฮีโร่ที่ตามเก็บเหล่าผู้ร้ายต่างๆ
จนเรียกตัวเองว่า Punisher

สิ่งที่ Punisher: War Zone แตกต่างจากภาคที่แล้ว คือความเป็นแอ็คชั่นที่ใส่มามากกว่าเดิม และเน้นขายความมันส์จากการยิงซะส่วนใหญ่ ซึ่งเอกลักษณ์เด่นๆของเรื่องนี้เป็นความดิบเถื่อนที่ยิงกันแบบได้เห็นเลือดพุ่ง แถมความระห่ำในภาคนี้มาโหดมากและทิ้งห่างความเข้มข้นจากภาคแรกที่พยายามคงเป็นดราม่าและชีวิต
 

สำหรับในภาคนี้จะมีการปรับปรุงให้เข้ากับคอมมิคมากขึ้น มีความเป็นการ์ตูนมากขึ้น มีสีสันและมุมมองที่ดูสมจริงสมจริงแตกต่างจากเดิมไปคนละด้าน ซึ่งจากเดิม Punisher เมื่อปี 2004 จะว่าด้วยเนื้อเรื่องดูหนักหน่วงมีเรื่องราวของชีวิตความสับสนและการล้างแค้น ที่ถึงแม้พล็อตเรื่องจะพอได้แต่ในด้านบทบาทกับง่ายๆอย่างหลวมๆ ในขณะเดียวกัน Punisher: War Zone กลับมีพล็อตเรื่องง่ายๆแบบหนังธรรมดาทั่วไป แต่เป็นแนวดึงดูดทางด้านความมันส์ โดยรวมแล้วต่างมีข้อดีข้อเสียที่พอๆกัน แต่ที่ไม่ได้ทำให้หนังดูดีขึ้นเลยคือบทบาทของตัวร้ายที่ไม่ได้เก่งหรือมีเสน่ห์มากที่ควร จนตอนไคลแมกซ์สิ่งที่ผู้ชมอยากจะหวังก็ไม่ได้หวัง ว่าแล้วก็จบง่ายๆดีๆนี่เอง

สำหรับเฉพาะบางคนคงติดบรรยากาศของภาคปี 2004 จนบอกว่าภาคนี้สนุกน้อยกว่า ภาคนี้ผู้ร้ายออกแนวการ์ตูนมากไปหน่อย แต่นั้นคงเป็นจุดประสงค์หลักที่ต้องการอยู่แล้วเพื่อเรียกความสนุกแบบการ์ตูนให้ดูมีความเหมือนมากขึ้น ภาคนี้ไม่ได้เล่าถึงที่มาของแฟรงค์แค่ให้คิดย้อนกลับไปถึงครอบครัวที่ตายนิดหน่อยแบบผ่านๆไม่มีอะไรเด่นหรือมีแรงจูงใจมากนัก ซึ่งนั้นเป็นจุดปัญหาเล็กๆที่ว่าไม่มีอะไรเชื่อมโยงได้ในภาคนี้เกี่ยวกับตัวร้ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงอะไรเลย พล็อตเรื่องเริ่มจากจุดเล็กๆกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่มีความจำเป็นเพราะผู้ร้ายจิ๊กซอว์ที่เกิดไม่เข็ดอยากแก้แค้นที่พันนิชเชอร์มาทำงานและทุกอย่างในชีวิตพัง แล้วกลายเป็นเรื่องราวที่ไล่ล่ากันอย่างโต้งกันไปมา


จิ๊กซอว์เป็นตัวละครที่เหมือนจะมีเสน่ห์แต่สุดท้ายไม่ได้มีอะไรนอกจากหน้าตาที่แปลกมากกว่าคนปกติที่โดนผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าใหม่เพราะถูกพันนิชเชอร์เล่นงาน ถึงบางครั้งจะดูไม่ได้เรื่องแต่ใช่ว่าทุกครั้งจะแย่เสมอไป เพราะจิ๊กซอว์มีส่วนดีและเก่งอยู่เหมือนกันที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ และสามารถเล้าโลมผู้คนที่ต่อต้านพันนิชเชอร์มาร่วมสู้เป็นกองทัพคุมตึกได้อีกด้วย

Dominic West เล่นเป็นบิลลี่ที่เป็นลูกน้องธรรมดาที่ช่วงแรกได้หว่านเสน่ห์ให้น่าสนใจไม่น้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นจิ๊กซอว์ที่ดูแล้วมันคนละด้านกับคนเดิม ที่กลายเป็นพวกเสียสติเอาสนุกเข้าว่า สำหรับในเรื่องบุคคลที่น่าจับตามองกับการแสดงคือ Doug Hutchison ที่รับบทเป็นลูนี่ บิน จิมน้องของบิลลี่ เป็นตัวร้ายที่โผล่มาค่อนกลางเรื่องที่พร้อมกับการแสดงทางหน้าตาที่หน้ากลัว ตาลอยๆพร้อมกับเป็นพวกชอบหาเรื่อง และที่สำคัญในเรื่องได้ฟัดกับพันนิชเชอร์จนดูเกินจริงเสียมากกว่าจะใช้คนจริงๆสู้กัน


Punisher: War Zoneเปลี่ยนบทผู้เล่นพันนิชเชอร์จากเดิมทีเป็นThomas Janeกลายเป็นRay Stevenson ซึ่งนั้นทำให้ทิศทางของอารมณ์ได้เปลี่ยนไปพอสมควร ด้วยรูปลักษณ์และหน้าตาทำให้พันนิชเชอร์คนนี้ออกมาแนวโหด ไม่สนใจใยดีกับผู้ร้าย ซึ่งในเรื่องก็โหดจริงๆยิงกันสาดกระจาย เป็นแอ็คชั่นที่ผสมความรุนแรงแบบเห็นได้ชัดเจน มีเลือดกระเด็นและฉากโหดๆอีกหลายฉากที่เรียกความสะใจสำหรับบางคนได้ดี

แต่สำหรับโดยรวมจริงๆถ้าตีกรอบให้แคบจะพบกับความคับแคบที่เหมือนไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย ในด้านสถานที่ก็ดูไม่โดดเด่นหรือลงทุนอะไร เพราะผูกขาดกับความแอ็คชั่นชนิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องสนใจสถานที่แต่ขอให้ได้มันส์ก็พอแล้ว ในด้านการแสดงของคนอื่นๆมีอยู่หลักๆไม่กี่คน ที่เหลือล้วนเป็นตัวประกอบและบทบาทเล็กๆที่ให้มารับกระสุนจากปืนพันนิเชอร์

นับว่าเป็นการกลับมาที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจมากนัก แต่เป็นการมุ่งเน้นความแอ็คชั่นที่ลงตัวกับความโหดสมชื่อ Punisher ที่มีการอิงแบบการ์ตูนจนได้ฉากเวอร์ๆมาเอาใจให้น่าติดตาม ฉะนั้นเรื่องบทนั้นอ่อนยังต้องได้รับการแก้ไข ส่วนเรื่องความมันส์เติมแต่งอีกหน่อยก็คงได้ภาคดีๆที่น่าดูอีกภาค

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)