The Bone Snatcher (2003) ผีดูดคน

The Bone Snatcher (2003) | ผีดูดคน
Director: Jason Wulfsohn
Genres: Horror | Mystery | Sci-Fi | Thriller

คร.แซ็ค สเตรเกอร์(Scott Bairstow)ทำงานอยู่ในห้องแล็ปที่เขาในแวนคูเวอร์ทำหน้าที่ออกแบบระบบรองรับการใช้ชีวิตแบบออนไลน์ สำหรับผู้เสี่ยงภัยจากสภาพแวดล้อมอากาศ แต่การทำวิจัยจำเป็นต้องใช้งบในปริมาณที่สูงในแต่ละครั้ง ทำให้จำเป็นต้องออกไปข้างนอกเพื่อให้มีเงินเข้าโครงการ และสถานที่แห่งนั้นก็คือที่อันตรายที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง นั่นคือทะเลทรายนามิบ ดร.แซ็คจะเดินทางไปวิจัยข้างนอกโดยมีลูกทีมหนึ่งเป็นกำลังหนุนร่วมเดินทางกับมิกกี้(Rachel Shelley) คาร์(Warrick Grier)และอีก 3 คน


การเดินทางในครั้งนี้เป็นการตามเพชร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับสัญญาณติดต่อจากเครื่องสำรวจเพชรที่กลายเป็นว่าหลังจากนั้นกลับเงียบหายไปและพวกเขาจำเป็นต้องไปตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแห่งนั้น ภายหลังการเดินทางต้องพบสิ่งที่น่าสยองนั้นคือศพทั้ง 2 คนที่ถูกแล่เนื้อกระจัดกระจายออกไปจนเหลือกระดูกเท่าที่เห็น และมีรอยเท้าที่กำลังมุ่งหน้าไปสักแห่งหนึ่ง คาร์ได้ตามและเจอเข้ากับบางสิ่งและยิงไป แต่ทว่าหลังจากเข้าไปใกล้ต้องพบกระดูกที่หายไปอีก 1 ศพ ทำให้ทุกคนแปลกประหลาดกับสิ่งที่เห็นที่ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่สิ่งที่เห็นมันเคลื่อนไหวได้ และเมื่อกลับที่แคมป์พบว่ามีอะไรบางอย่างทำให้สายเชื่อมแทงก์น้ำมันขาดทำให้ไม่สามารถใช้รถต่อได้ ตอนนี้พวกเขาถูกทิ้งในกลางทะเลทรายและต้องรอคอยจากทีมช่วยเหลือ แต่ระหว่างคอยมีบางสิ่งกำลังจ้องพวกเขาอยู่ห่างๆและความสยองได้เริ่มขึ้นในดงทะเลทรายที่กว้างใหญ่

บางทีการจะตั้งชื่อไทยสักเรื่องอาจหมายถึงข้อผิดพลาดที่อธิบายตัวหนังผิดเพี้ยนไปไกล เพราะคำว่าผีในเรื่องไม่มีผีสักตัวเดียวแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้แปลกใหม่แค่มีการเอาตัวรอดเป็นเกณฑ์เพื่อวิวัฒนาการเท่านั้น


สำหรับใครที่เคยชมเรื่องนี้มาแล้วคงพอเข้าใจทันทีว่ามันไม่ใช่หนังสยองที่เกิดจากเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด ด้วยสิ่งที่เห็นนั้นคือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ซึ่งนั้นคือมดนั้นเองที่กลายเป็นฆาตกรนักฆ่าในเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ตอนแรกดูๆอาจไม่เข้าใจว่าจะเป็นมดได้อย่างไงกัน เรื่องคงต้องให้ไปชมกันก่อนซะพักหนึ่งแล้วจะเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน

ในบริเวณที่กว้างขวางเต็มไปด้วยวิวทัศน์เม็ดทรายเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะชัดเจนมากขึ้นเมื่ออิงกับความร้อนที่ระอุกลางทะเลทรายคือความว่างเปล่าไร้ขอบเขต เมื่อลองคิดถึงโทนและบรรยากาศของเรื่องนี้ดูแล้วกลับพบว่าการสร้างโทนฉากหลังนั้นดูได้บรรยากาศที่โล้นไร้สิ่งมีชีวิตและแห้งแล้ง ชวนให้เปล่าเปลี่ยวได้เวลากลางคืนที่ไม่มีใคร ด้วยสภาพแวดล้อมตัวหนังเข้าใจถึงบรรยากาศที่ไร้สิ่งมีชีวิตได้ดูสมจริงแต่ขาดความจริงไปกับความร้อนที่ดูๆแล้วชวนให้เย็นเสียมากกว่ากับฉากโล่งๆไม่มีอะไร ในส่วนที่แดดออกจะเบาบางไม่ค่อยร้อนเลย ก็ถือว่าโลเคชั่นทำได้สวยในบางฉากที่มีมุมมองที่เต็มอิ่มกับช่วงนั้นๆที่ไม่มากนักแต่พอรับรู้ได้จากท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆใดๆมาบดบัง ในด้านตัวละครการแสดงออกถึงบรรยากาศค่อนข้างผิดหวังเพราะดูส่วนไหนการแสดงออกถึงบรรยากาศดูไม่มีนอกจากเวลากลางคืนที่รู้ว่าต้องหนาวแน่ๆถึงส่วมเสื้อกันหนาว แถมการแสดงยังดูแข็งในบางจุดที่บอกไม่ว่าน่ากลัวหรือแปลกประหลาดตกใจในสิ่งที่เห็นคล้ายความเคยชินที่พอชมแล้วรู้สึกกับตัวละครที่นิ่งเกินไปจนรู้ว่าขาดความอรรถรสของอารมณ์นั้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย


นอกจากการแสดงที่บางครั้งยังไม่เต็มที่แล้วยังมีบทที่ให้ความรู้สึกแปลกๆพิกลกับตัวละครที่แตกต่างกันระหว่างภาคสนามกับทดลอง ที่ปรากฏเด่นชัดกับ ดร.แซ็ค ที่ไม่คิดลงภาคสนามแต่ทว่าหลังจากได้ไปที่ทะเลทรายเข้าจริง เจ้าตัวสามารถปรับเข้ากับวิถีชีวิตได้ดีคล้ายเตรียมมาก่อนแล้ว อีกทั้งยังเล่นสเก็ตบอลบนทรายได้เก่งอีกด้วย ฉะนั้นจะแปลกหรือไม่แปลกแต่ที่แน่การให้ตัวละครมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดแบบนี้ทำให้รู้ว่าบทหนังเริ่มจะขาดๆเกินมาบ้างแล้ว

บางทีการเป็นหนังสยองเกรดบีทำให้รับรู้ว่าแนวหนังประเภทนี้ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากสิ่งที่หนังจะเป็น และกับ The Bone Snatcher คือความสยองที่ต้องทำให้ได้ ซึ่งก็มีอยู่แค่นั้นจริงๆ หลังจากนั้นไม่ว่าจะมีบทที่อ่อนก็เอาเรื่องน่ากลัวเพียงอย่างเดียว ในความน่ากลัวคงพอได้บ้างแต่หลังจากที่รู้ว่าคือตัวอะไรทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีอะไร และคิดว่ามนุษย์ชอบหาเรื่องตัวเองมากกว่าจะปล่อยตามธรรมชาติเพราะคิดว่าตัวเองปลอดภัยและสิ่งนั้นคือของอันตรายที่เก็บไว้ไม่ได้ เช่นเดียวกับมดในเรื่องที่ไม่ได้รับรู้ว่าสิ่งใดอันตรายนอกจากทำเพื่อความอยู่รอดเท่านั้นและคิดว่าการจะเอาชีวิตรอดจากธรรมชาติได้นั้นต้องมีวิวัฒนาการที่ดีกว่านี้ขึ้นไปอีก จากการดำเนินเรื่องทำให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นที่เกิดจากการรวมตัวของอะไรสักอย่างกับกระดูกจนมีรูปร่างและเคลื่อนที่ได้ก็คือฝูงมด


เมื่อลองพิจารณาดูแล้วไม่ว่าจากมุมไหนมนุษย์นี่แหละที่ดันไปหาเรื่องเสียเองไปทำลายรังก่อน และสุดท้ายคือหลุดจากรังเพื่อหาที่อาศัยใหม่โดยระหว่างนั้นก็ไปเจอกับกลุ่ม ดร.แซ็ค ความอยู่ของเผ่าพันธุ์จึงเริ่มขึ้น จัดได้ว่าเป็นหนังสยองที่เกือบเป็นที่น่าผิดหวังที่ไปได้ไม่สุดของอารมณ์ที่นำเสนอได้หลวมอย่างมาก ยิ่งตัวละครด้วยแล้วมีความคิดที่ไม่ฉลาดเอาเลยจนเดี๋ยวกลายเป็นเหยื่อง่ายๆ ประเด็นของเรื่องราวจึงถดถอยไปมากแทบจะไม่มีนอกจากหนีในสิ่งที่เจอก่อนจะโดนฆ่า

สำหรับตัวประหลาดของเรื่องนี้แล้วจะเรียกก็ตอนรวมเข้ากับกระดูกมากกว่าเพราะเหมือนศพเดินดิน และบางทีรูปร่างเปลี่ยนไปตามสถานะภาพที่แปลกๆ ที่น่าจะเข้าเค้ามากที่สุดเห็นจะเป็นเอฟเฟคที่ทำออกมาได้แม้จะดูออกว่าใช้คอมฯเข้าช่วยสุดท้ายยังดูดีกว่าหลายเรื่องที่จะเป็นการ์ตูน ส่วนความต่อเนื่องของเรื่องราวยังคงดำเนินไปแบบเรื่อยๆไม่มีที่สุดหรือน่าสนใจแบบน่าจดจำกลายเป็นงานง่ายๆเว้นแต่กลุ่มมดที่รวมตัวเข้ากับกระดูกจนเดินได้ที่อันตรายอย่างมากเพราะกรดฟอร์มิกที่จะละลายเหยื่อได้เป็นความสยองที่ค่อยน่าดูขึ้นมาอีกหน่อย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)