Assassins (1995) แอสแซสซินส์ มหาประลัยตัดมหาประลัย

Assassins (1995)
แอสแซสซินส์ มหาประลัยตัดมหาประลัย
Director: Richard Donner
Genres: Action Crime Thriller
Grade: B-

อาชีพลับๆที่ไม่พึ่งประสงค์และขัดแย้งกับกฏหมายในการจัดเก็บรายชื่อบุคคลเป็นหน้าที่ของนักฆ่ามือปืนที่ซุ่มยิงห่างๆ เมื่องานชิ้นนี้ไม่ได้เหมือนเป็นอย่างเคยเพราะคราวนี้ยากหลายเท่า โรเบิร์ต(Sylvester Stallone)นักฆ่ามืออาชีพมือหนึ่งที่เริ่มเห็นความเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำ ตัดสินทำงานชิ้นสุดท้ายก่อนตัดขาดกับโลกการฆ่าที่กลายเป็นว่าไม่ใช่เขาที่กำลังได้รับมอบหมายคำสั่งเพียงคนเดียว เมื่อมิเกล(Antonio Banderas)นักฆ่ามือฉมังที่ไม่ด้อยกว่าโรเบิร์ตก็มีงานเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นว่าทั้งคู่ต้องแย่งงานกันเสียเอง ทว่าด้วยโรเบิร์ตที่เริ่มชิงชังในงานนี้ทำให้ตัดสินไม่กำจัดเป้าหมายแต่เป็นช่วยชีวิตเป้าหมายซะเอง และช่วยเหลืออิเล็คตร้า(Julianne Moore)ในการร่วมมือกำจัดมิเกลก่อนที่พวกเขาจะถูกกำจัดเสียก่อน


เมื่อเรื่องเริ่มบานปลายคำสั่งใหม่ที่มิเกลได้คือโรเบิร์ตเป็นเป้าหมาย ทำให้การลงไม้ลงมือเริ่มเข้มข้นขึ้นอย่างไม่กริ่มเกรง แต่โรเบิร์ตก็ต้องระแวดระวังมากขึ้นที่ต้องดูแลคนรอบตัวอย่างอิเล็คตร้าพร้อมกับข้อมูลสำคัญในตัว เมื่อเรื่องยิ่งดำเนินต่อไปการชิงไหวพริบกันด้วยความไวยิ่งมากขึ้น จนกลายเป็นกาต่อสู้ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ว่าใครจะทันกว่าใคร

Assassins จัดว่าเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่สนุกจับใจในเรื่องการเชือดเฉือนกันระหว่างโรเบิร์ตกับมิเกลที่ทั้งคู่ต่างมีเล่ห์เหลี่ยมในแบบนักฆ่าไม่ยอมหน้ากัน ทำให้ความเข้มข้นตีกระดานหมากรุกกันอย่างเพลิดเพลิน และทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกนิ้วให้กับงานชิ้นแรกของสองพี่น้อง Andy และ Larry Wachowski ในการเขียนบทที่สร้างสรรค์หนังแอ็คชั่นแบบต่างคนต่างคมใช้สมอง ที่ในเวลาต่อมามีผลงานเด่นๆดังๆอย่างเรื่อง The Matrix ทั้งสามไตรภาคในการเขียนบทและกำกับเอง จนสามารถคว้าความนิยมในมุมมองใหม่เกี่ยวกับหนังแอ็คชั่นผสมไซไฟอย่างลงตัว ที่สามารถวิเคราะห์เนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้งกับการผสานศาสนาพุทธเข้าไปอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ Assassins ไม่ใช่ว่าจะด้อยกว่าในเนื้อเรื่องแต่ยังไม่สุดยอดเท่านั้นเอง


ถ้ามองโดยผิวเผินโครงสร้างไม่ต่างอะไรกับหนังแอ็คชั่นทั้วไปที่ขายบทมากกว่าความมันส์ ซึ่งถ้าคิดว่าการจะเห็นความมันส์กับการยิงระเบิดกระท่อมแล้วก็ต้องผิดหวังไปก่อนเพราะนี้ไม่ใช่หนังแรมโบ้ ในขณะที่ความสนุกไม่ได้มาจากฉากแอ็คชั่นแต่เป็นการมองก้าวระหว่างนักฆ่าด้วยกัน การชิงไหวพริบเป็นจุดที่น่าดุเดือดที่แสดงถึงการไม่ยอมคนด้วยกันที่เกิดขึ้นกับนักฆ่ารับจ้างโรเบิร์ตกับมิเกล จากช่วงแรกเราจะเห็นได้ว่าโรเบิร์ตกำลังทำงานของตนเองอยู่และเริ่มอึดอัดกับงานมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นความเบื่อที่อยากจะขอเลิก

แต่ทว่าการขอเลิกจากสิ่งที่เป็นมานานกลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะพฤติกรรมความโลภในตัวยังไม่หมดลงไปกับงานที่ถูกสั่งเข้ามาใหม่ และกลายเป็นว่างานชิ้นนี้ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวที่ต้องทำ เนื่องจากมีนักฆ่าที่ว่าจ้างกำลังซุ่มเล็งอยู่ด้วยเช่นกัน และมันก็กลายเป็นเหตุการณ์สร้างความแปลกประหลาดใจกับโรเบิร์ตที่ทำไมถึงไม่ใช่เขาที่ได้ทำคนเดียว

เหตุผลนี้เริ่มจากบทสนาที่ผ่านคอมฯที่คุยกันอย่างไม่พอใจของโรเบิร์ตที่อยากเลิกแต่ไม่ได้เลิกเนื่องจากเงินค่าจ้าง ซึ่งเพื่อเป็นประกันว่าเหยื่อรายนี้ต้องไม่พลาดทำให้มีนักฆ่ามากกว่าหนึ่งและเป็นมิเกลที่เผอิญรู้จักโรเบิร์ตด้วยเช่นกัน


มิเกลเป็นตัวละครสุดแสนใจร้อนที่มีวิธีการไม่เลือกเพียงของานลุล่วงแล้วได้รางวัลเป็นอันพอ แต่จริงแล้วความหวังของมิเกลมีสูงกว่านั้นหลังจากรู้ว่ามีนักฆ่าที่กำลังวางมืออย่างโรเบิร์ตอยู่ ซึ่งมิเกลรู้ประวัติของโรเบิร์ตมาอย่างดีจนบางครั้งบางช่วงเขาได้เรียนรู้ประสบการณ์จากตัวโรเบิร์ตที่เลียนแบบวิธีการแล้วดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการตัวเอง เพราะการแย่งงานกันทำให้โรเบิร์ตเริ่มตะหงิดใจแต่ไม่ถึงขั้นสงสัยว่ามีอะไรแอบแฝงนอกจากแย่งงานกัน จนเริ่มอีกงานที่เขามาใหม่อย่างรวดเร็วซึ่งโรเบิร์ตต้องการขอลากับงานนี้ที่ทำให้เขาเริ่มเห็นความน่าเบื่อและจุดที่รู้ว่าการเป็นเหยื่อซะเองจะเป็นอย่างไง ถึงปากบอกว่าเลิกแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้ามกับความคิดที่วางเป้าไว้ตอนแรกเมื่องานนี้มีมูลค่ามากกว่าอย่างเคยจนลั่นวาจาว่าเมื่อได้เงินจากงานนี้แล้วจะขอเลิก แต่ประเด็นคือเขาจะสามารถเลิกจริงๆได้หรือเปล่า เพราะขนาดเรื่องในอดีตยังทำให้ตัดสินฆ่าเพื่อนตัวเองได้

สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือเหตุผลของความเบื่อหน่ายของโรเบิร์ตที่เริ่มไม่ชอบงานนี้ คือเรื่องในอดีตที่ตัดสินฆ่าเพื่อนตัวเองเพื่ออันดับของการเป็นนักฆ่าในวงการ ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นว่าเริ่มสำนึกขึ้นได้และวนเวียนกับภาพอดีตที่ถือปืนไรเฟิลเล็งไปยังใครคนหนึ่งที่เป็นตราบาปในเวลาต่อมา


ในขณะที่การแสดง Sylvester Stallone นั้นเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนแล้วว่าเบื่อมากแค่ไหน คงประมาณว่าไม่ต้องเล่นอะไรมากทำหน้าเฉยๆก็ดูเบื่อโลกแล้ว แต่หนังไม่ได้น่าเบื่อกับตัวละครนักหรอกเพราะคนที่แสดงได้น่าหลงไหลน่าจะเป็นตัวมิเกลที่เล่นโดย Antonio Banderas ที่แสบมากในเรื่อง

Antonio Banderas แสดงได้ประมาณว่าตัวร้ายนี้ร้ายจริง มีอะไรที่เดาใจได้ยาก มีอารมณ์รุนแรงผสมกับไหวพริบที่ดูเล่นดูจริง แต่เสียอย่างเดียวที่ดันเป็นพวกใจร้อนซึ่งในเรื่องไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาเพราะมีความฉลาดเป็นกรด สังเกตได้หลายฉากที่ไหวพริบจะชิงกันว่าใครมีแผนที่ดีกว่าใครจนประมาณกันไม่ได้เลยทีเดียว ซึ่งจากตอนแรกที่ทั้งคู่เจอกันในรถแท็กซี่ก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดาแน่ๆและจริงอย่างที่คิด เมื่อคนขับคือโรเบิร์ตที่แกะรอยจากประสบการณ์จนรู้ว่ามิเกลควรไปที่ไหน ซึ่งมิเกลได้หลงเข้ามาในรถแท็กซี่แต่พอรู้ความจริงกลับไม่สามารถทำอะได้เพราะภายในรถมีกระจกกันกระสุนอยู่ พอมิเกลไม่สามารถทำอะไรได้จึงคว้าปืนไปเล็งที่อื่นและนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกลายเป็นว่าโรเบิร์ตไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเลี่ยงและทำตามคำสั่งออกรถ ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นตาโชว์ไหวพริบของโรเบิร์ตบ้าง จากสิ่งที่มิเกลแสดงการขู่ยิงทำให้รู้ว่าทำการบ้านสืบประวัติมาอย่างดีเพราะโรเบิร์ตจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด เท่านี้รู้แล้วทั้งคู่กินกันไม่ลงจริงๆ


เนื้อเรื่องถึงดุเดือดเพราะฝีมือผู้กำกับ Richard Donner ที่เอาอยู่ที่แสดงถึงความอดทนของตัวละครที่มักจะมีแบบแผนเสมอที่สร้างผลงานมีคุณภาพกับตำรวจคู่หูอย่าง Lethal Weapon มาแล้วทั้ง 4 ภาค แต่การจะทำหนังให้ฉับว่องไวคงยังไม่ถึงขั้นเพราะการดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆมีอะไรจับใส่เป็นช่วงๆ มีอืดบ้าง ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ไม่ค่อยช่วยอะไรอย่างตอนโรเบิร์ตที่ทำท่าจะสารภาพความรักกับอิเล็คตร้าที่ไปๆมาๆคนฟังไม่ได้อยู่คนพูดก็บอกจนจบ กลายเป็นมุขเล็กๆที่ไม่ค่อยขำแต่เป็นชีวิตจริงคงนึกขำตัวเองไม่น้อย ถึงเร้าใจยังไม่ถึงขั้นแต่เร้าอารมณ์นี่สิจัดใส่จนน่าเหนื่อยเพราะความกดดันมีอยู่หลายฉาก มีความตื่นเต้นพอสูงในยุคสมัยที่ต้องมีการหักมุม

ฉะนั้นการดู Assassins สำหรับคอแอ็คชั่นอาจเป็นเรื่่องเฉยๆก็เป็นได้ ในขณะที่ตัวบทเองไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด ยิ่งเป็นการเก็บรายละเอียดแล้วนับว่าไม่ค่อยมีช่องว่างให้เห็น เก็บตัวละครเล่นเป็นหลักเป็นแหล่งได้คุ้มค่า มีเสริมเข้ามาไม่กี่คน ถ้าดูดีๆจะเห็นว่ามีอยู่เด่นๆไม่กี่คนและจะเป็น Sylvester Stallone กับ Antonio Banderas ที่ห่ำหั่นกันตลอดทั้งเรื่อง และ Julianne Moore ที่มาเล่นในช่วงหลังๆแล้วยาวตลอดจนหนังจบ


เอาเป็นว่าดีกรีคือความลุ้นระทึกที่อาศัยไหวพริบ ใครดีใครได้ใครเก่งใครฉลาดคนนั้นชนะ ถึงตัวหนังจะยาวรวม 2 ชั่วโมงนิดๆ แต่ความสนุกรอคอยกันได้ถ้าความสนุกนั้นคุ้มค่าและน่ายกย่อง ขอย้ำว่าติดอยู่อย่างหนึ่งคือเนื้อเรื่องที่อยากให้ละเอียดมากกว่านี้เกี่ยวกับองค์กรเพราะดูเป็นเรื่องเล็กๆระหว่างนักฆ่าด้วยกันเท่านั้น ในเวลากันหนังก็อืดแต่ดีในเรื่องรายละเอียด มีเทคนิคกลยุทธที่น่าสนใจ มีมุมมองที่ไม่จัดว่าแปลกซึ่งถือว่าการถ่ายทอดตัวละครดูมีความนัยมากขึ้นจนรู้ว่ารู้สึกอะไรไปบ้าง จากนั้นเป็นโทนหนังที่ดูออกแอ็คชั่นอย่างเห็นได้ชัดเพียงไม่บู๊มากแต่ฉับไหวเอาเรื่อง ถึงกระนั้นตัวหนังดูราบเรียบมีความสว่างไม่เน้นมุมคับแคบเหมือนเป็นหนังฟอร์มเล็กคงมากจากตัวละครน้อยนั้นแหละ ถึงจะฟอร์มเล็กแต่หนังไม่จัดว่าน่าเบื่อแต่น่าดูยิ่งดำเนินเรื่องต่อเนื่องยิ่งดี สนุกเพลิดเพลิน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)