The Frighteners (1996) สามผีสี่เผ่าเขย่าโลก

The Frighteners (1996)
สามผีสี่เผ่าเขย่าโลก
Director: Peter Jackson
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

ผู้กำกับที่หลายคนคุ้นชื่อเป็นอย่างดีที่ก่อนหน้าเรื่องนี้ได้ฝากผลงานเด็ดๆเอาไว้อย่าง Bad Taste (1987) ที่สร้างความคัลท์ตั้งแต่เรื่องแรกจน Dead Alive (1992) ที่เป็นหนังซอมบี้ที่บ้าปริมาณเลือดจนแหวะกันสุดๆ คราวนี้เป็นหนังผีที่ไม่ร้ายเกินไปแต่มีฮากับความตลกร้ายที่ใส่เข้ามาจนมองไม่เห็นว่าเคยเป็นผู้กำกับทำหนังคัลท์แรงๆมาก่อน กับ The Frighteners เป็นหนังที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมากจึงเป็นที่รู้จักกันน้อย ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนตัวยงแล้วล่ะก็เรื่องนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด


แฟรงค์ แบนนิสเตอร์(Michael J. Fox) หมอผีประจำหมู่บ้านที่สามารถรับรู้ความเป็นอยู่ของวิญญาณและสื่อสารกับทุกตัว แต่เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเองทำให้เขาต้องทำงานอย่างว่าคือการใช้ประโยชน์จากเพื่อนทั้งสามที่เป็นผีไปหลอกคน  เพื่อที่ชาวบ้านจะได้มาตามเขาไปปราบแล้วก็ได้เงินมาใช้ จู่ๆเกิดปัญหาระหว่างทำงานกับลูกค้าที่เกิดความแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นบนหน้าผากที่มีหมายเลขโผล่ขึ้นโดยมีเขาที่มองเห็น กลายเป็นเงื่อนงำประหลาดที่ทีแรกไม่มีอะไรน่าสนใจ ทว่าจนกระทั่งมาพบความจริงว่ามันคือหมายเลขมรณะที่โดนหมายหัวจากยมฑูตลึกลับที่แต่งตัวพรางกายด้วยผ้าคลุมที่จัดการเหยื่อดังกล่าววิธีทำให้เกิดโรคหัวใจอันลึกลับแปลกประหลาด แฟรงค์เลยตามสืบจนพบว่าความจริงมีบางอย่างกำลังบ่งการเบื้องหลังอยู่ซึ่งยมฑูตนักล่าวิญญาณนั้นไม่ยอมปล่อยเขาเอาไว้แน่ๆ ฉะนั้นผีเพื่อนของเขาทั้งสามจึงต้องหาวิธียุติเรื่องราวให้จงได้

เรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นหนังที่เข้าสู่วงการฮอลลีวูดเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่ได้นักแสดงฝีมือดีมากมายทั้ง Michael J. Fox จากเจ้าหนูเจาะเวลา Back to the Future ทั้ง 3 ภาค หรือจะ Jeffrey Combs จากหมอเปลี่ยนหัวคน Re-Animator (1985) และอีกมากมาย เมื่อเริ่มเข้าถึงตัวหนังสิ่งแรกที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นในผลงานของผู้กำกับรายนี้คือการใช้เอฟเฟค CG เข้ามาเป็นส่วนประกอบในเนื้อเรื่องเพราะปกติงานเมคอัพเป็นของถนัดอยู่แล้ว ซึ่งนั้นเป็นเหตุว่าทำไมเรื่องนี้เป็นงานของฮอลลีวูดเพื่อที่ว่าจะได้กระจายผู้ชมกันได้ทั่วถึงโดยง่ายไม่ต้องมาคิดวิตกถึงเรื่องวัยว่าเหมาะสมมากแค่ไหน ฉะนั้นสิ่งที่ดรอปลงไปคือความโหดของการละเลงเลือด ท่าทางที่ตลกมากขึ้นจนมีท่าทางเล่นทีจริงทีแม้จะทำให้เป็นตลกร้ายแล้วก็ตามแต่ด้วยความไม่ตั้งใจของตัวละครทำให้ออกบ๋องๆนิด แต่อย่างว่านี้คือหนังผีที่สนุกและเพลิดเพลินไปอีกแบบ


เนื้อเรื่องช่วงแรกแสดงถึงความเป็นอยู่ของแฟรงค์ที่หากินโดยง่ายกับการกำจัดผีที่รบกวนชาวบ้าน ซึ่งนั้นเป็นงานหลักประจำของเขาจนไม่แปลกใจถ้าสมาชิกในหมู่บ้านบางคนจะเชื่อตามเขาไปด้วยอย่างเพื่อนตำรวจที่สนับสนุนเป็นอย่างดี ด้วยอาชีพที่บ้านเราน่าจะเรียกว่าหมอผีทำให้ไม่มีอะไรนอกจากทำความสะอาดให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย แต่จะจริงเหรอเรื่องแบบนี้ถ้าเป็นพวกต้มตุ้น ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่บอกว่าถูกครึ่งๆ เรื่องจริงที่แฟรงค์กำจัดวิญญาณออกจากบ้านและเรื่องไม่จริงคือแฟรงค์ไม่ได้อยากกำจัดแต่ต้องการสร้างภาพเท่านั้น หมายความว่าแฟรงค์เห็นวิญญาณจริงๆแต่สื่อสารกับพวกเขาได้แถมสนิทกันมากอีกด้วย ในการช่วยหากินแบบลับๆ แต่แล้วงานที่ทำเป็นประจำต้องสะดุดกับลูกค้ารายหนึ่งที่เห็นความผิดปกติกับหน้าผากที่จู่ๆตัวเลขก็โผล่ขึ้นมาซะดื้อๆแล้วหายไปโดยมีแฟรงค์และเพื่อนผีของเขาที่เห็นเท่านั้น จึงกลายเป็นเรื่องปริศนาที่แฟรงค์ต้องรู้ให้ได้เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่ล้อกัน จากช่วงแค่นี้หนังก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องของเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลขปริศนานั้น ยิ่งแฟรงค์สืบมากขึ้นกลับต้องพบกับยมฑูตปริศนาที่ตามเก็บฆ่าคนที่มีหมายเลขบนหน้าผากตามลำดับที่เห็นได้เฉพาะวิญญาณแต่ในที่นี่แฟรงค์มีพรสวรรค์

เห็นเป็นอย่างงี้แต่หนังไม่ได้ดูง่ายเกินไปว่าต้องสืบๆแล้วเจอจากนั้นทำหน้าที่ของพระเอกตามสูตร แต่เนื้อเรื่องมีปมประเด็นหลายอย่างและหนึ่งในนั้นทำให้เรามองแฟรงค์กลายเป็นผู้ร้ายไปเกือบสมบูรณ์ แต่ทำไมล่ะในเมื่อเขาไม่ได้ฆ่าหรือทำร้ายใคร นั้นเพราะเป็นเรื่องของอดีตของแฟรงต์นั้นที่ไปพัวพันกับการตายของภรรยาในอดีตที่เขาอยู่ด้วย และที่สำคัญที่หน้าผากมีแผลที่ถูกกรีดเป็นหมายเลขอีกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องน่าสงสัยสำหรับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมิลตันที่ตามติดชีวิตของแฟรงค์อย่างลับๆเพราะคิดว่าเป็นพวกวิกลจริต ดูๆแล้วเหมือนโทนของหนังจะเริ่มหนักหน่วงกันทีเดียวอย่างกับแนวสืบสวนที่มีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาสอดแทรก แต่พอเอาจริงๆมันตลกมาแต่ต้นเรื่องแล้ว ขอติดเอาไว้ก่อนเพราะชอบการแสดงของ Jeffrey Combs เสียเหลือเกินนั้นเพราะมันเข้ากับบุคคลิกอย่างมาก จากตัวเรื่องมิลตันเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ไม่ธรรมดาอย่างคนอื่นๆหรือง่ายๆมาเฉพาะงานของตัวเองที่อยู่ตำแหน่งสืบสวนคดีเรื่องลับๆล่อๆแปลกๆพิสดารว่างั้น ก็ไม่แปลกหรอกที่เจ้าตัวจะดูเพี้ยนน่ากลัวอย่างนั้น ในเรื่องการแสดงนี่เข้าได้บทมากทำให้เนื้อเรื่องเดินมีมิติมากขึ้นแล้วยังเพิ่มความสนุกเข้ามาอีก แล้วยังเป็นตัวปล่อยมุขเพี้ยนๆอีกด้วยทำให้หนังมันส์ขึ้นอีกระดับเลยทีเดียว
 

ใช่แล้วความสนุกดูกันได้ทุกเพศทุกวัยแม้จะรุนแรงไปนิดแต่ก็รับได้ในระดับทั่วๆไปยิ่งไม่คิดว่าน่ากลัวมันจะยิ่งน่าขันขึ้นมาทันที เห็นว่าเป็นผีก็เหอะแต่ชีวิตหลังความตายนี่มันน่าตลกเสียจริง แบบว่าคนที่ตายไปแล้วยังคิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่เลย แต่จะอะไรซะอีกที่เอา CG มาใช้ได้คุ้มราคาไปเลย

แต่สุดท้ายความแหวะก็มีกับวิญญาณที่บางทีพวกนี้ก็บอบบางกันเหลือเกินโดนสเปรย์ฉีดหน้าเป็นรูหรือจะตัวขาดครึ่งอะไรประมาณนี้ อีกอย่างที่น่าสนใจคือเป็นผีใช่ว่าจะเป็นอิสระไปไหนมาไหนได้ง่ายๆเพราะมีเจ้าถิ่นอยู่ด้วย  ถ้าใครเคยดู Full Metal Jacket (1987) ยังคงจำได้ว่าจะมีอยู่ตัวละครหนึ่งที่เคร่งในระเบียบมาก ซึ่งก็คือนายพลฮาร์ทแมนที่เล่นโดย R. Lee Ermey ซึ่งมารับเล่นในบทผีเฝ้าสุสานที่ควบคุมระเบียบการอยู่ที่นั้น ขนาดตายแล้วยังไม่วายติดนิสัยนายพลบ้าสงครามเลย แค่นี้ก็รู้สึกว่าหนังมันกินไอเดียเรื่องอื่นๆเข้ามาได้อารมณ์เหมาะเจาะจริงๆ ในยุคนั้นการใช้เอฟเฟคถือว่ากำลังดีแม้ในสมัยนี้จะดูธรรมดาไปก็ตาม แต่ด้วยความเป็นคลาสสิคก็ไม่ต้องอาศัยอะไรมากถ้าสนุกมันก็สนุก อย่าง Ghostbusters (1984) เอฟเฟคไม่ได้ดูเนียนอะไรแต่ได้อารมณ์ที่สนุกและน่าขันกับมุมมองเรื่องผีแบบตลกๆ ซึ่ง The Frighteners ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน น่าเสียดายที่ความยาวเกือบสองชั่วโมงมีหลายจุดที่เกือบน่าเบื่อแต่ได้ข้อดีที่ใส่เรื่องน่าสนใจเข้ามาเป็นพักๆได้ ตามบางช่วงหนังดูง่ายอย่างตอนแฟรงค์ถอดวิญญาณตัวเองออกไปจัดการยมฑูตที่รู้สึกว่ามันก็ไม่เห็นเท่าไหร่แล้วยังเกือบโดนจัดการเรียบร้อยแล้วด้วย ที่ดีสุดคือตอนท้ายเรื่องที่ปมประเด็นถูกจัดการให้เข้ากับปริศนาตนเรื่องว่าหมายเลขที่ปรากฏคืออะไรและมันมีอะไรมากกว่านั้น
 

กลับมาที่เนื้อเรื่องที่ได้ผู้เขียนบททั้งสามีทั้งภรรยาช่วยกันนั้นคือ Peter Jackson กับ  Fran Walsh ที่ได้ดีจนเป็นที่น่าสนใจเกือบได้เป็นหนังเรื่องที่สามของชุด Tales From the Crypt และเผอิญ Zemeckis มาเจอเข้าสัมผัสได้ถึงความสนุกจนให้เป็นหนังเดี่ยวๆไปเลย ทว่าหนังสนุกจริงแต่รายได้ไม่ได้มากตามไป ด้วยต้นทุน 30 ล้านเหรียญได้คืนมาแค่ 16 ล้านเหรียญในอเมริกาเท่านั้นรวมๆทั่วโลกตกประมาณ 29 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าน่าเสียดายกลายเป็นหนังเจ๊งไปซะอย่างงั้น ด้วยเหตุนี้เองนักวิจารณ์บางอย่างยังไปบอกอีกว่าการดำเนินเรื่องยังง่ายไปน่าจะมีตอนจบที่ดูยากกว่านี้ แต่โดยส่วนตัวกลับชอบที่มันลงตัวดีแม้จะมันจะดูง่ายจริงๆบางช่วงที่เหมือนหนังทำท่าจะจบเรื่องราวได้ทันทีแต่ไม่จบปล่อยให้ลุ้นแล้วร้องว่า"อ้าวเฮ้ย" บรรยากาศของหนังเองดูได้วิวมากๆเพราะถ่ายทำกันที่นิวซีแลนด์บ้านเกิดของเจ้าตัวผู้กำกับเอง งานดนตรีประกอบเองที่ฟังเหมือนมีความลี้ลับซ่อนอยู่เลยช่วยเพิ่มอรรถรสได้ดีเหมือนกัน

ด้านนักแสดงต้องยกนิ้วให้กับ Michael J. Fox อีกครั้งที่แสดงได้เข้าลักษณะของตัวเองที่คนที่แสดงออกอาการลนๆสับสนในตัวเองว่าจะทำไงต่อ กระนั้นก็ยังเป็นตัวละครที่หัวไวได้เรื่องเจอปัญหาอะไรรีบจัดการ เพราะงี้ความต่อเนื่องของการดำเนินเรื่องถึงเป็นไปไม่น่าเบื่อติดขัดแต่อย่างใดสมแล้วที่เลือกให้เล่นบท อีกคนหนึ่งที่เป็นตัวร้ายของเรื่องที่แสดงเป็นผีแต่ก็ยังตามฆ่าคนไม่เลือกกับ Jake Busey รายนี้แสดงได้จิตมากออกทางสีหน้าและหน้าตาที่บอกยี่ห้อดาวร้ายเต็มประตู และในเวลาต่อมาไปเล่นหนังแอ็คชั่นถล่มดวงดาวยิงไอ้แมงใน Starship Troopers (1997) ส่วนคนอื่นๆแสดงได้ดีกันถ้วนหน้ายิ่งไม่คิดมากเลยถ้าหนังจะมาแนวตลกร้าย 
 

สรุปว่าการวางโครงเรื่องนั้นมีความน่าสนใจที่เยี่ยมที่ทำให้ตัวละครธรรมดาเหมือนโดนลูกหลงมีประเด็นขึ้นมาได้ วางบทได้เหมาะแม้เอาจริงจะใช้ไม่กี่คน สิ่งหนึ่งที่ชอบคือเอฟเฟคที่ทำให้ผีดูมีมิติที่น่าสนใจถึงจะไม่เนียนบางจุดแต่โดยรวมถือว่าโอเคในระดับที่โอเคมากๆ คำถามคือหลังจากหนังชิ้นนี้เขาจะสร้างหนังอะไรมาอีก คำตอบคือหนังมหากาพย์ที่ห้าปีต่อมาทุกคนจะไม่มีวันลืมกับหนังชุดยิ่งใหญ่ที่ใช้เอฟเฟคเหนือยิ่งกว่ากับไตรภาค The Lord of the Rings ที่ทำให้ทุกคนทั้งโลกรู้จักผู้กำกับคนนี้ Peter Jackson

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)