Death Machine (1994) เครื่องจักรสังหารโหด

Death Machine (1994)
เครื่องจักรสังหารโหด
Director: Stephen Norrington
Genres: Action | Horror | Sci-Fi | Thriller

ในโลกอนาคตเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ชื่อ CHAANK บริษัทนี้ได้คิดค้น ออกแบบ และ ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการรบ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคมเพราะความผิดศีลธรรม จนเกิดกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ได้แก่ แซม ไรมี่(John Sharian),ยูทานิ(Martin McDougall),เวย์แลน(Andreas Wisniewski)พยายามลักลอบเข้าไปในบริษัท เพื่อจัดการทำลายตัวบริษัทให้เกิดตกงาน แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่คาดเอาไว้ถ้าปัญหาจริงไม่ใช่เรื่องที่ทำแต่เป็นเรื่องที่เจอ จากเจ้าหน้าที่ของบริษัทเฮย์เดน แคร์(Ely Pouget)ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของแจ๊ค เดนตี๊(Brad Dourif)ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างอาวุธทำลายล้างต่างๆและพร้อมจะเปิดโปรงและยุบโปรเจ็คที่ทำให้หายไป ซึ่งนั้นทำให้เดนตี๊ไม่พอใจและทำให้เขาอยากจัดการทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้สร้างเครื่องจักรสังหารขึ้นมาใหม่ และตัวนี่ก็ต่างจากสิ่งประดิษฐิ์เดิมที่ว่า มันไม่มีความปราณีและเกิดมาเพื่อกำจัดเป้าหมายให้สิ้นซาก


พล็อตเนื้อเรื่องเป็นไปตามความเป็นโรคจิตอัจฉริยะของแจ๊ค เดนตี๊ที่อยากทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ที่เกิดเป็นว่าถูกขัดอารมณ์ทำให้เกิดอยากจำกัดส่วนเกินนั้นออกไป ด้วยการส่งเครื่องเล่นที่ตัวเองประดิษฐ์สร้าง นั้นคือเครื่องจักรที่ไล่ฆ่าคนที่ตามตัวเองต้องการ ซึ่งเอาจริงๆจัดไปตามสูตรเรียบๆง่ายๆไม่ได้เกิดอยากพลิกแพลงอะไรเลย นอกจากตามไล่ล่ากันภายในบริษัท ซึ่งตัวหนังก็อย่างว่าคือเล่นกับที่แคบวนเวียนไปมาในบริษัทที่ไม่รู้ว่าทำไมบริษัทยักใหญ่ถึงไม่มีคนนอกจากตัวละครที่หนีจากการโดนตามล่ากัน แต่จุดนี้ถึงจะขาดความสมจริงและเป็นไปได้แต่ความต่อเนื่องของหนังก็ยังพอยึดเอาใจผู้ชมให้ชวนติดตามได้อย่างพอประมาณ แถมกับการใช้ลูกเล่นกับเจ้าเครื่องจักรที่ผู้ชมจะเห็นผ่านสายตาเจ้าเครื่องจักรว่าเป็นแบบไหนตามฉากบางส่วนให้เกิดความตื่นเต้นแบบเร็วๆและแรง เนื่องจากการมองเห็นจะเหมือนเล่นวีดีโอเกมส์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีบอกตำแหน่งมีซูมหาเป้าหมายหรือจะสแกนตามหาเหยื่อ และอีกสารพัดแบบ(ความจริงก็แค่นั้นที่เหลือคือความอึด) กลายเป็นตัวอันตรายที่หนีอย่างไงมันก็ตามถึงที่ได้เพราะความสามารถที่สุดยอดและดูล้ำกับเทคโนโลยีที่อัดแน่นด้วยความเป็นอาวุธนักฆ่าบวกกับทั้งตัวเป็นเหล็กชนิดที่ว่าโดนทีไม่เจ็บก็ตายอย่างเดียวเพราะความไม่ปราณีรู้จักเมตตามีแต่กำจัดเป้าหมาย

ถ้ากล่าวถึงเจ้าจักรกลมหาโหดนี่จะให้ความรู้สึกคุ้นตาเป็นพิเศษคือเหมือนหนังเรื่อง Alien (1979)ที่หน้าตาคล้ายเหมือนถอดรูปออกมาแต่กลายเป็นเมทัลไปซะนี่ ถึงหน้าตาจะคล้ายคลึงแต่ถ้ามองโดยรวมกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมีขนาดที่ใหญ่และกว้างแถมทั้งตัวเป็นเหล็กบวกกับลักษณะกายภาพที่มีสายไฟและคอหมุนแบบควงสว่านก็คงนึกลืมเอเลี่ยนเลือดกรดไปเลย


สิ่งที่เห็นจากเจ้าเครื่องจักรกลฆ่าคนนี่คือความสามารถที่มองไม่ออกเลยว่าเป็นเครื่องจักรที่เป็นโลหะทั้งตัวจริงๆเพราะความเร็วชนิดแบบวิ่งไล่กวดอย่างไงก็ทัน ทั้งที่ตัวก็หนักขนาดนั้นชวนให้รู้สึกใหญ่และเทอะทะ แต่กลับตัวหนังเลือกจะให้เจ้าตัวเครื่องจักรกลบ้าพลังซึ่งมันก็ตรงประเด็นความขัดแย้งคือความเชื่องช้าออกไปเป็นความเร็ว ทรงพลัง และมีแบบแผนการล่าตามคนคุม และนั้นทำให้สถานการณ์ของหนังดำเนินได้น่าตื่นเต้นเพราะไม่รู้ว่าจะโผล่มาตอนไหน ซึ่งถ้าโผล่ออกมาคงได้ลำบากแน่

ประเด็นของหนังเหมือนจะถูกกลบเกลื่อนและลืมไปอย่างรวดเร็วกับข้อประเด็นที่ว่าศีลธรรมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ก้าวเหยียบสิทธิมนุษย์ชนที่ต้องการเอาใช้ในการประดิษฐ์อาวุธสงคราม ทั้งที่ตอนเริ่มเรื่องก็แสดงถึงความรกร้างและไร้ความเป็นวิญญาณอยู่เลยมีแต่อาวุธที่ใช้คนในการสวมใส่และส่งผลกระทบคือการแสดงความรุนแรงเกินควบคุมจนเกิดการต่อต้านระหว่างเครื่องที่ส่วมกับคนที่ใส่ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดเรื่องประท้วงในช่วงแรกของหนังซึ่งต่างดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆจนลืมเรื่องนี้ไปสนิทก่อนจะไปปรากฎอีกทีตอนหาทางจัดการเจ้าเครื่องจักรที่ตามล่าไม่ลดละ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้วินาทีสุดท้ายว่าอาวุธสงครามที่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมจะเอามาใช้เพื่อความอยู่รอดหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่คุณตาย แต่กระนั้นประเด็นข้อถกเถียงก็ยังไม่ดีพอที่จะบอกสรุปได้ว่าควรไม่ควรได้ชัดเจนเพราะกลายเป็นว่าตัวหนังใช้ประเด็นไปกับเรื่องแอ็คชั่นที่ใส่มากับการต่อสู้ระหว่างเครื่องจักรทำตามคำสั่งกับมนุษย์ที่ใส่อาวุธ แต่ก็ดูออกจะธรรมดาและผิดแปลกไปพอสมควรเมื่อหนังกลายเป็นว่าเข้าข้างฝ่ายมนุษย์ให้รอดซึ่งเจ้าเครื่องจักรก็เหมือนหมดพิษสงลงเรื่อยๆ


บรรยากาศของหนังชวนให้สัมผัสถึงความแห้งแล้งของยุคเทคโนโลยีเหมือนได้กลิ่นอายของโลหะอย่างชัดเจนแถมดนตรีประกอบก็บอกได้ถึงความเป็นเหล็กเข้าไปใหญ่ ทำให้เหมาะสมกันดีที่ใช้เครื่องจักรเหล็กเป็นนักฆ่า ทั้งนี่สภาพแวดล้อมของหนังก็เต็มด้วยสถาพของตัวอาคารที่มีแต่ทางเดินแคบๆที่เป็นเหล็กบวกกับผนังคอนกรีตทำให้โทนของหนังดูเข้าท่าเข้าทางกันได้ดี ถึงความโหดของเรื่องยังไม่ละเลงมากนักในช่วงหลังที่แผ่วปลายกลายเป็นแอ็คชั่น ซึ่งผลก็คือจากไล่หนีและโดนเก็บทำให้ตัวละครเกิดความจนตรอกและฮึดสู้ในสภาพแวดล้อมที่ปิดตายเพราะตัวหนังสร้างสถานการณ์ปิดล้อมตัวเองด้วยการปิดตึก จากช่วงแรกที่ดูโหดเป็นหนังสยองก็เหมือนจะยังไม่คุ้มได้ดีพอทำให้ช่วงแรกที่เรียกความสยองและน่ากลัวได้กลายเป็นความตื่นเต้นแบบชวนลุ้นในความมันส์แทน ถ้าความมันส์มาแทนที่ผลก็คือกลายเป็นการฟัดระหว่างคนกับเครื่องจักรที่บอกได้ถึงความระเบิดระเบ้อได้ใจไปอีกตามสไตล์หนังต่อเนื่องที่บู๊แบบ 2 มิติ


สรุปได้เลยว่าเรื่องไอเดียยังคงพอได้อยู่กับเรื่องรูปร่างลักษณ์ต่างๆของเครื่องจักรนักฆ่านี่ แต่กับเรื่องตัวละครนี่มาแหวกบ้างเล็กน้อยกับ 3 คนที่ต้องการบุกเข้าบริษัทเพื่อทำให้ตัวบริษัทล้มจมคือมีลักษณะแบบที่ว่าถ้าเป็นหนังทั่วไปคงมองว่าเป็นตัวโกงแต่กับเรื่องนี้เมื่อสถานการ์พลิกผันเจอเครื่องจักรมหาโหดก็กลายเป็นพวกดีไปโดยปริยาย(เพราะเจ้าเครื่องจักรมันฆ่าไม่เลือกหน้านอกจากคนบ่งการ)
ด้านนักแสดงก็ดูเป็นเอกลักษณ์ดี ด้าน Brad Dourif ก็แสดงเป็นพวกโรคจิตได้เนียนแท้อย่างกับพวกคลั่งไคล้หลงตัวเองประมาณนั้น กับ Richard Brake เลือกแสดงเป็นนายทุนบริษัทที่ยอมรับได้เลยว่าตัวโกงเอามากแต่ก็ไปเร็วเอามาก ซึ่งน่าเสียดายที่น่าจะดำเนินเรื่องให้ไปด้วยกันได้แบบมีเซอร์ไพรส์ แต่ก็ดีแล้วเพราะการดำเนินมันค่อนข้างจะไปตามสูตรและนั้นที่ว่าตัวปัญหาที่อวดเก่งมักไปก่อนเสมอ

ทั้งนี้เรื่อง Death Machine น่าจะถูกใจกับใครอีกหลายคนเพราะมีความมันส์ไปในตัวและความผสมผสานกับเครื่องจักรที่ชวนมากับความสนุกที่หลายคนคงได้ดูเพลิดเพลินอย่างดี ที่สำคัญหนังมีดีจนได้รางวัลอีกด้วยนั้นคือ รางวัล Best Special Effects จากงานภาพยนตร์ Fantafestival 1995 ที่ประเทศอิตาลี ฉะนั้นหายห่วงถ้าจะมีเรื่องเอฟเฟคแย่ๆแต่กับเรื่องนี่ของจริงกันทั้งนั้นเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)