R-Point (2004) | อาร์-พอยท์ สมรภูมิผี | B+
Director: Su-chang Kong
Genres: Action | Horror | War
ครึ่งแรกทั้งหลอนทั้งขนลุกไม่คิดว่าบรรยากาศจะเหมาะเจาะเข้ากับฉากหลังเป็นพื้นป่าในยุคสมัยสงครามเวียดนามได้ขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าน่าสะพรึงไม่น้อยกับสิ่งที่ผสมผสานระหว่างจิตวิทยากับเรื่องผีให้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่ความหลอนน่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในหนังเท่านั้น เนื่องจากเคยเกิดขึ้นจริงกับเหล่าทหารเกาหลีใต้ที่ได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจากหน่วย Donkey 3 ซึ่งสัญญาณก็ขาดๆหายๆ จับใจความได้ไม่ชัดเจน มีคลื่นแทรกตลอดเวลา ทว่าสิ่งที่พอฟังรู้เรื่องคือประโยคที่บอกว่าตัวเองกำลังทรมานเหมือนอยู่ในนรกอยากให้ไปช่วยเหลือเร็วๆ แต่นั้นยังไม่หลอนเท่าเมื่อรู้ว่าหน่วยนี้ได้หายสาบสูญไปในพื้นที่ R-Point เป็นเวลา 6 เดือนกว่าแล้ว แน่นอนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่หายไปนานขนาดนั้นแล้วยังติดต่อกลับมาได้ทั้งที่สันนิษฐานไปแล้วว่าหน่วยนี้เสียชีวิตกันหมดทุกคน
อ้างอิงจากเรื่องจริงด้วยเหตุการณ์หลอนในกองทัยเกาหลีใต้ที่ใช้เวลาเก็บข้อมูลไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเรื่องราวในหนังก็ว่าต่อหลังจากได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจึงวางแผนขอกำลังหน่วยหนึ่งไปทำภารกิจช่วยเหลือทหารที่ซาบสูญไปในเขต R-Point โดยมีผู้หมวดซอยส์ (Woo-seong Kam) รับผิดชอบดูแลภารกิจในครั้งนี้ จากพล็อตตามหาทหารที่หายไปทำให้แอบนึกถึง Saving Private Ryan (1998) ที่ว่ากลุ่มทหารตามตัวทหารคนหนึ่งกลับบ้าน แต่จะให้เทียบกันจริงๆต้องบอกว่าคนละเนื้อกันเลย การเล่าเรื่องราวจะไม่เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และหนักแน่น อะไรที่กำลังพูดถึงสงครามแบบปะทะกันหรือการยิงกันด้วยฉากแอ็คชั่นไม่ใช่สิ่งที่หนังเรื่องนี้จะหาได้ จะไปเน้นแค่มุมเล็กๆของทหารกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น จะมีแค่อาคารใหญ่ที่ตั้งในพื้นที่โล่งกับพื้นป่าที่รกร้างราวกับถูกปล่อยให้ทิ้งตาย และความไม่มีอะไรนี่แหละที่สร้างความระแวงตลอดทั้งเรื่อง
สำหรับเรื่องจะเริ่มต้นที่การขึ้นฝั่งเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายในเขต R-Point ที่เดียวกับเหล่าทหารที่หายไป ระหว่างทางก็เจอกับหินแกะสลักที่มีใจความปริศนา แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจความหมายของตัวหนังสือเหล่านั้น แต่การเดินทางไปจุดหมายต้องพบว่าเป็นความตกใจที่จู่ๆอีกวันมีตึกอาคารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งที่วันก่อนไม่มีใครเห็นเลยสักคน จากฉากนี้แค่ฉากธรรมดาก็แสดงความน่ากลัวไม่ใช่น้อยที่จู่ๆจะมีอาคารขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาในที่โล่ง อีกทั้งสภาพยังดูทรุดโทรมเก่าแก่ซะจนไม่น่าไว้ใจ ถ้าจะหาความสยองขวัญจากเรื่องนี้คงไม่พ้นบรรยากาศที่เน้นหลอนประสาทมากกว่าใช้วิธีให้คนดูสะดุ้งตกใจกลัว
ยิ่งเล่าเรื่องยิ่งทวีความหลอนมากขึ้นเรื่อยๆจากความจริงที่ค่อยๆปรากฎมาทีละอย่าง และเชื่อว่าความจริงที่ทำให้ทุกคนช็อคได้ดีคือความจริงครั้งแรกที่หักมุมอย่างไม่ทันระวังตัวจนต้องมีการย้อนกลับไปดูซ้ำเพื่อความแน่ใจว่าคือความจริงแท้แน่นอน แต่การเผยมาทีละอย่างทำให้บางครั้งได้มีโอกาสเห็นปมในใจของตัวละครที่บางตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับทหารที่หายไปอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปิดเผยความจริงที่แสนหักมุมก็มีหลายอย่างจนบางทีก็พลาดฉากใดไปอาจตามเนื้อเรื่องไม่ทันเพราะการหักมุมจะไม่ปล่อยทีเดียว หลายสิ่งที่เป็นความลับจะเปิดมาทีละอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไปและทุกหักมุมใช้ได้ผลจริง ที่ชอบมากคือเลือกจังหวะได้ดีในการหักมุม น่าเสียดายที่จังหวะเริ่มแผ่วลงในตอนท้ายจนรู้สึกว่าที่หักมุมมาทั้งหมดไม่ช่วยอะไรเลยในตอนจบเพราะสรุปแล้วสิ่งที่เจอคือสิ่งที่กังวลใจอยู่นั้นแหละ
R-Point เน้นเล่าเรื่องให้ความหลอนเป็นสิ่งสำคัญกับเล่าเรื่องช้าๆให้ผู้ชมสัมพันธ์กับตัวละครต่างๆได้ง่ายและครบทุกตัวละคร ดังนั้นใครหายใครอยู่จะรู้ว่าเป็นใครและใครมีนิสัยใจคอแบบไหน ที่ชื่นชมคือตัวละครผู้หมวดซอยส์ที่นิ่งได้ทุกสถานการณ์ คำว่านิ่งในที่นี่ไม่ใช่อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรนะ แต่เป็นการควบคุมสติตัวเองให้ใจเย็นและไตร่ตรองต่อสถานการณ์ของตัวเองที่เป็นอยู่ ฉะนั้นไม่แปลกใจที่ผู้หมวดซอยส์คือตัวละครที่มีภาวะผู้นำและน่าเชื่อใจมากที่สุดแม้จะพูดน้อยปริปากออกมาไม่มากและทำท่าสบายๆ ซึ่งใครจะไปรู้ว่านี่อาจเป็นวิธีง่ายๆไม่ให้ทหารคนอื่นตึงเครียดมากเกินไปในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้น กระนั้นผู้หมวดซอยส์ไม่ได้เป็นตัวละครที่เด่นเป็นเอกลักษณ์คนเดียว ในเรื่องจะมีทหารอีกหลายคนที่มาพร้อมกับอุปนิสัยที่แตกต่างกันออกไปจนมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน
อย่างที่บอกข้างต้นในช่วงแรกสามารถสะกดอารมณ์คนดูให้เกิดอาการหลอนและหลอกล่อผู้ชมให้ติดกับได้ แต่ยิ่งเล่าเรื่องนานเท่าไรก็ยิ่งเห็นถึงทางตันของเนื้อหาที่สุดท้ายไม่ได้มีอะไรมากอย่างที่คิดเอาไว้ ดังนั้นถ้าคาดหวังตอนจบที่ต้องพีคอาจผิดหวังกันอยู่บ้างเพราะดูแล้วเหมือนจะไม่มีอะไรให้เล่าหรือสานต่อได้เลย ถึงจะอย่างงั้นยังพอเข้าใจสิ่งที่เล่าอยู่บ้างเกี่ยวกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อนัยยะต่อต้านสงครามที่อยากให้เลิกเข่นฆ่านองเลือดกัน ทว่าความหมายนี้ค่อนข้างกำกวมซะหน่อยเพราะสุดท้ายการต่อต้านสงครามที่ไร้ซึ้งความรุนแรงยังต้องใช้ความรุนแรงเข้าเผชิญหน้ากันอยู่ดี
อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ได้คือเรื่องทางจิตวิทยาที่ต้องรู้ว่าตัวเองคือใครมีหน้าอะไรและเมื่อเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ควรทำอย่างไรต่อไป การผสมผสานระหว่างจิตวิทยาในกลุ่มทหารกับเรื่องเหนือธรรมชาติด้วยผีสางนับเป็นเรื่องน่าสนใจที่ไม่น่าจะเข้ากันได้แต่เรื่องนี้ทำออกมาลงตัว ในส่วนของจิตวิทยาจะเห็นถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งท้ายที่สุดในไคล์แม็กซ์เป็นเรื่องวัดใจที่ใครไว้ใจได้ใครสติแตกกันบ้าง ในส่วนของเรื่องผีมีให้เห็นไม่มากและไม่มีการสะดุ้งแต่อย่างใด จะออกแล้วหลอนมานึกอีกทีกลายเป็นถูกหลอกเสียแล้ว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวได้เชื่อสนิทไปทั้งใจแล้ว
โดยรวมแล้วค่อนข้างชอบในระดับที่พอใจมากกับการเล่าเรื่องช้าแต่เน้นหยอดความน่ากลัวทีละขั้น จะมาเสียดายที่ตอนจบหมดพลังไม่เหลืออะไรให้เล่นอีกต่อไปจนเหมือนจบแบบห้วนๆมาไวไปไวไม่เพียงพอจะตอบคำถามว่าท้ายที่สุดเกิดอะไรขึ้นและคืออะไรกันแน่ สำหรับ R-Point เป็นหนังให้อารมณ์ที่เน้นบรรยากาศ ไม่มีตุ้งแช่ มีสยองบ้างแต่น้อย ที่มากสุดคืออารมณ์ขวัญประสาททำให้จิตตกกันไปข้างเลยทีเดียว