The Game (1997) เกมตาย...ต้องไม่ตาย

The Game (1997)
เกมตาย...ต้องไม่ตาย
Director: David Fincher
Genres: Drama | Mystery | Thriller
Grade: B+

ชีวิตคนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับนิโคลัส แวน ออร์ตัน (Michael Douglas) นักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีที่ไม่มีทำนอกจากงานของตัวเอง จากช่วงแรกของหนังจะเล่ามิติตัวละครของนิโคลัสที่มีแต่ความรับผิดชอบ ไล่ตั้งแต่การดูแลคอนราจ (Sean Penn) น้องชายจนไต่เต้าให้ตัวเองมีการงานและเงินที่สูงในระดับไม่ต้องแคร์ใครอื่นให้ช่วย แต่ในใจยังมีปมที่ละทิ้งไม่ได้เกี่ยวกับการตายของพ่อในอดีตที่กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายฝังใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีชีวิตที่จริงจังไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดมีแค่ตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอมา ด้วยการดำเนินชีวิตที่เปล่าเปลี่ยวจึงไม่มีเพื่อนรักหรือเพื่อนร่วมงานแบบสนิทสนม แม้แต่คอนราจน้องชายตัวเองยังเหินห่างกลายเป็นคนไกล แต่แล้วชีวิตนิโคลัสจะเปลี่ยนไปเมื่อวันเกิดของเขามาถึง


หลายสิ่งหลายอย่างถูกป้อนข้อมูลเกี่ยวกับนิโคลัสแบบเต็มรูปแบบ ทั้งชีวิตการทำงาน ปมในอดีต แม้กระทั่งความเป็นอยู่ที่รวมทั้งหมดคือชีวิตประจำวันที่แสนซีเรียสและหว้าเหว้จากสังคม เมื่อรู้บุคลิกนิสัยใจคอของตัวละครแจ่มแจ้งก็นำไปสู่อีกความน่าสนใจเมื่อวันเวลาถูกจัดให้ตรงกับวันเกิดของเขาแบบมีเงื่อนงำและความน่าสนใจจากคอนราจที่มาหาพี่ชายราวกับอัธพาลคนหนึ่ง ด้วยระดับของนิโคลัสอยู่ดีมีเงินมหาศาลผิดกับน้องชายที่ตกต่ำแสดงถึงข้อขัดแย้งจากทั้งสองฝ่าย ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องไม่ได้แตกหักอะไรจากมุมมองภายนอก เว้นกับภายในใจของนิโคลัสที่แสดงถึงความเบื่อหน่าย ยิ่งชีวิตความเป็นอยู่ที่เกิดขึ้นทุกวันยิ่งแสดงออกชัดเจน ทำให้คอนราจยื่นข้อเสนอที่เชื่อว่าพี่ชายตัวเองต้องลอง นั้นคือการเล่นเกมจากบริษัท CRS (Consumer Recreation Services) ที่ย้ำนักย้ำหนาทำให้ชีวิตสนุกยิ่งขึ้น

ช่วงแรกอาจดูน่าเบื่ออยู่บ้างเพราะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นนอกจากการแทรกปมในอดีตของนิโคลัสมาเป็นระยะๆกับการดำเนินชีวิตที่ซีเรียสกับความเดียวดายเหมือนคนเหงาไร้ครอบครัวไร้คนเอาใจช่วย ซึ่งถ้าว่ากันตามนิสัยของตัวละครคงไม่เลือกเล่นเกมที่น้องตัวเองให้มาง่ายๆ ดังนั้นปมในใจนี้จึงช่วยอธิบายความอยากรู้อยากลองของนิโคลัสได้อย่างดี แต่ยังไงเสียนั้นเป็นสูตรตายตัวของหนังที่ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนออะไรมาต้องเล่นแน่นอน ส่วนจะเอาแรงจูงใจที่ไหนมาโยงให้เข้ากับนิสัยใจคอตัวละครอย่างไรเป็นสิ่งที่สำคัญมากทีเดียว ซึ่งจากการโยงเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบทำได้ละเอียดและเข้มข้นตามบททุกอย่าง อาจจะตะหงิดในบางส่วนที่เหมือนจะเดาได้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเดากันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะต้องรู้แค่ครึ่งโดยอีกครึ่งเป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์ดังสโลแกนที่มอบชีวิตที่เปลี่ยนไป


โทนออกมาซีเรียสตั้งแต่แรกเริ่มจนไม่รู้จะหาส่วนไหนมาผ่อนคลายได้บ้างเพราะตั้งแต่ยินยอมรับเงื่อนไขลงสมัครเล่นเกมก็เหมือนจะมีแต่ปัญหาไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่าปัญหาพวกนี้จะต้องมาจากเกมแต่ทำไมเพราะอะไรช่วยให้เรื่องราวเข้มข้นสมจริง ปัญหาที่ถาโถมเข้ามามีเหตุผลที่จับต้นชนปลายได้อย่างเหลือเชื่อราวกับเป็นของจริง ทว่าอีกนัยหนึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเกมที่เล่นไปนั้นมีวิธีการยังไงหรือรูปแบบวิธีเล่นให้ผู้เล่นรับทราบ สิ่งนั้นอาจมาในรูปของปัญหาที่ปรับสถานการณ์ให้ตรงข้ามกับทัศนะคติของผู้เล่นเพื่อเจอมุมมองที่แตกต่าง เช่นที่ว่านิโคลัสไม่มีเรื่องบาดหมางกับใครแต่สุดท้ายจะต้องมีเพราะปัญหาทางธุรกิจที่ไม่อาจทนหรือรอต่อไปได้ ไม่เว้นกระทั่งการดำเนินชีวิตอยู่บ้านที่เหมือนจะกินนอนตามปกติยังถูกดัดแปลงจากหน้าเป็นหลังมืออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน หลายอย่างที่เกิดขึ้นคือเซอร์ไพรส์แก่ผู้เล่นที่ไม่รู้ว่าอันไหนคือเรื่องจริงจากชีวิตของตัวเองหรือจากเกมที่ดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตจริงกันแน่

ความแยบยลของเรื่องนี้คือการทำให้ถูกอย่างเนียนไปหมดจนไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือไว้ใจอะไรได้อีกต่อไป ความไม่ไว้ใจจะเริ่มเข้ามาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ไม่เหลืออะไรที่ไว้ใจได้แม้กระทั่งน้องแท้ๆของตัวเองที่จู่ๆเข้ามาบอกเล่าถึง CRS ที่ตัวเองเคยเล่นแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่คุยกันไว้ จากความสนุกที่สุขกลายเป็นปัญหาก่อกวนจนคร่าชีวิตเดิมให้เป็นอีกชีวิตหนึ่งแม้จะเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองก็ตาม ต้องยอมรับว่าความสนุกของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ทิศทางของเนื้อเรื่องที่จะเป็นยังไงแต่เป็นการตัดสินใจของตัวละครที่มีแต่เด็ดขาดท่าเดียว ไม่สามารถลังเลและทุกการกระทำจะส่งผลต่อไปโดยที่ไม่อาจรู้ว่าจะมีอะไรให้เซอร์ไพรส์รออยู่


The Game เป็นหนังที่เดาได้ง่ายเพราะมีพล็อตเรื่องตายตัวแต่ไม่อาจเดาบทสรุปของเรื่องที่ตกลงจะเฉลยด้วยวิธีไหนและอย่างไร ทุกครั้งที่มีการป้อนรายละเอียดสักอย่างหรือสรุปบางอย่างให้ฟังล้วนน่าเชื่อถือเกือบหมด ในทางกลับกันการรับฟังข้อมูลจากคนอื่นที่แปลกหน้าหรือรู้จักไม่อาจยืนยันว่าคือเรื่องจริงหรือโกหก ซึ่งประเด็นนี้ได้สลับขาหลอกผู้ชมนับครั้งไม่ถ้วนจนไม่รู้ว่าความจริงยังไงกันแน่เหมือนสิ่งที่พยายามหายิ่งหายไปเรื่อยๆพร้อมกับปมปริศนาที่เพิ่มขึ้น นอกจากเนื้อเรื่องที่ยากต่อการจับต้นชนปลายแล้วยังต้องบอกว่า Michael Douglas คือตัวเลือกที่ลงตัวที่สุดในเรื่องนี้เพราะบุคลิกภาพและหน้าตาเข้ากับคาแรกเตอร์ตัวละครจนน่าจดจำ

แน่นอนว่าผู้กำกับ David Fincher ไม่ทำให้ผิดเรื่องที่จัดองค์ประกอบทุกอย่างลงตัวเกือบหมดถ้าไม่ติดตรงที่บางจังหวะดูจงใจเกินไปทำให้เกิดความฉงนใจฉุกคิดแทนที่จะคล้อยตามนำไปสู่จุดไคล์แม็กซ์แบบไม่รู้ตัวก่อน แต่ก็นั้นแหละหากคิดว่าตัวเองตามทันเรื่องนี้จะไม่แตกต่างกับนิโคลัสที่พยายามอยู่เหนือกว่ามากแค่ไหนก็ยิ่งถูกคาดเดาได้ง่ายด้วยเกมที่กำลังเล่นที่พลิกแพลงหน้ามือเป็นหลังอย่างฉับไหวไม่ทันระวัง ซึ่งข้อคิดและสรุปของเรื่องแสดงให้เห็นมุมมองของชีวิตที่อาจเจอในอนาคต โดยเรื่องนี้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อนเพื่อให้รู้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่ต้องได้รับการแก้ไขในแบบที่พร้อมทุกอย่างก็พังลงได้ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือตอนจบที่แสนอบอุ่นผิดกับทั้งเรื่องทีตึงเครียดอยู่คนเดียวมาตลอด สิ่งเหล่านี้เหมือนบอกบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาแล้วจะมีคนเดียว ยังมีเพื่อนพี่น้องเป็นที่พึ่งให้การช่วยเหลือตลอดเวลา จะเหลือแค่ตัวเราเองเลือกระหว่างตัวเองเท่านั้นหรือสังคมในมุมมองที่เปิดกว้างกว่ากัน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)