The Great Wall (2016) เดอะ เกรท วอลล์

The Great Wall (2016) | เดอะ เกรท วอลล์
Director: Zhang Yimou
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Thriller
Grade: B-

สิ่งที่คาดหวังสำหรับเรื่องนี้คือการได้เห็นฉากงามๆอลังการ ซึ่งการใช้ชื่อหนังด้วยกำแพงเมืองจีนก็พอจะบอกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของชาวจีนที่ไม่มีชาติไหนทำได้ แต่อะไรนั้นเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนก็ดูจะเกริ่นด้วยเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ไม่ได้มีไว้ป้องกันการรุกรานของชนชาติอื่น หากแต่สิ่งนั้นเป็นการป้องกันสิ่งที่มาจากนอกโลกนามว่า"เทาเทีย" แน่นอนว่าบางคนอาจจะคุ้นชื่อเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนหรือกับใครที่ไม่เคยได้ยินต้องบอกว่าไม่ได้สร้างกันอย่างลอยๆเพราะคือตำนานอย่างหนึ่งของจีนที่เป็นถึงสัตว์โบราณ โดยความหมายของชื่อคือ"ความตะกละตะกลาม"หรือ "ความโลภ"อันไม่รู้จักพอ นั้นจึงเป็นนัยยะสำคัญของเรื่องนี้ที่ต้องการสื่อออกมา


แน่นอนว่าผู้กำกับ Zhang Yimou ได้ฝาก Hero (2002),House of Flying Daggers (2004),Curse of the Golden Flower (2006) และอีกหลายเรื่องที่มีคุณภาพให้ติดตาม ทว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมาผิดจากทุกงานที่ได้ทุนสูงหนาประกบกับ Matt Damon ดาราฮอลลีวู้ด ซึ่งภาพลักษณ์ออกมาแปลกตาผสมผสานระหว่างเอเชียกับตะวันตก แม้จะดูขัดตาในช่วงแรกแต่หลังจากซึมซับไปเรื่อยๆจะเห็นถึงความเข้ากันของทั้งสองฝ่าย แต่จุดเด่นไม่ได้อยู่ที่ดาราที่เหมือนบางคนจะมีบทบาทสำคัญแต่ไม่ช่วยอะไรเท่าไรอย่าง Andy Lau ที่ท้ายสุดมาเป็นตัวประกอบโดยไม่ต้องใช้ดาราแนวหน้าก็ยังได้ สำหรับจุดเด่นของเรื่องนี้คือสีสันที่หลากหลายจนสะดุดตาจากทหารตามหน้าที่ต่างๆ

วิลเลี่ยม (Matt Damon) กับโทวาร์ (Pedro Pascal) ทหารที่หนีการตามล่าจนดั้นด้นมาถึงกำแพงเมืองจีนก่อนจะพบความจริงอันน่าตื่นตาเมื่อกำแพงดังกล่าวไม่ได้มีไว้ป้องกันการรุกรานจากชาติอื่นแต่มีไว้กันสัตว์ประหลาดชื่อเทาเทียไม่ให้เข้าเมืองหลวง ซึ่งนี่นทำให้ทั้งสองต้องถูกจับเป็นส่วนหนึ่งของผู้ร่วมทำสงครามครั้งนี้โดยห้ามหนีเพื่อปกปิดเรื่องราวสงครามที่เกิดขึ้นแก่ชาวโลก แต่สุดท้ายจะเห็นด้วยกับการสู้รบปกป้องประเทศชาติรวมถึงมนุษยชาติให้พ้นจากอสูรเมาเทียจอมกระหายที่ไม่ยอมลดละ


ความร่วมมือการทำสงครามได้แบ่งยศตำแหน่ง 5 สีในการสู้รบฆ่าฟันข้าศึกอันเป็นเอกลักษณะของกองทัพจีนจนเรียกว่าสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยสีที่แตกต่างกันนี้ไม่ใช่แค่ความสวยงามหรือความยิ่งใหญ่เพราะสีช่วยบอกสถานะหน้าที่ของตัวละครนั้นๆ ซึ่งการแบ่งสีในสภาพที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเหมือนเป็นข้อดีช่วยกำหนดว่าเรื่องนี้มีความจริงจังต่อการทำสงครามและจัดตำแหน่งให้เป็นไปตามกลศึก ดังนี้

สีดำ-สัญลักษณ์หมี เป็นกองกำลังเเนวหน้าเเละกำลังหลักคอยควบคุมและออกคำสั่งทุกสี

สีฟ้า-สัญลักษณ์หงส์ กองกำลังแนวหน้าใช้ทักษะสูง ใช้อาวุธเด่นๆคือหอกและคอยตีกลองให้กำลังใจ อีกทั้งเป็นผู้หญิงล้วน 

สีเหลือง-สัญลักษณ์เสือ ทำหน้าที่ป้องกันกำแพงด้วยอาวุธหนักและกับดัก เช่น ลูกระเบิดไฟ กงจักรใบมีด

สีแดง-สัญลักษณ์อินทรีย์ คอยโจมตีระยะไกลด้วยธนู ทำหน้าที่ตัดกำลังบั่นทอนจำนวนศัตรู 

สีม่วง-สัญลักษณ์กวาง กองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว คอยลาดตระเวนตรวจรอบกำแพง


ด้วยจุดเด่นที่แบ่งสีตามหน้าที่ทำให้รู้สึกได้รับการอธิบายแบบอ้อมๆไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าใครควรทำอะไร จะไม่ออกมาดูมัวด้วยจำนวนคนมากแต่ไม่รู้ใครเป็นใคร ทว่าทุกสีที่ได้รับหน้าที่นั้นจะมีเพียงสีเดียวที่กลายเป็นจุดด้อยของหนังเพราะไม่รู้จะสรรหาคำอธิบายเกี่ยวกับวิธีการยังไงดี ซึ่งสีนั้นคือสีฟ้าที่โผล่มาแปลกกว่าทุกสีด้วยการเดินไปตามท่อนไม้ที่ยื่นไปนอกกำแพงก่อนจะกระโดดไปพร้อมหอกแทงเทาเทีย แค่นี้อาจไม่อะไรเมื่อเทียบกับจำนวนเทาเทียแล้วยิ่งคิดไม่ออกว่าจะมีวีธีนี้มาทำไมและแต่ละฉากเหมือนตอกย้ำถึงการสูญเสีย แน่นอนว่าทุกครั้งที่กระโดดไปจิ้มก็เหมือนไปรนหาที่ตายแม้เชือกที่ผูกตัวจะเด้งกลับได้แต่ก็เห็นโดดลงไปตายกันเสียมากกว่า ขณะที่สีอื่นๆยังดูมีประโยชน์มากกว่านี้ตั้งมากมาย ทั้งนี้ทั้งนั้นหัวหน้าหน่วยสีฟ้าที่เล่นโดย Tian Jing อาจทำให้หลายคนยอมให้อภัยเพราะความสวยของเธอ

Willem Dafoe มาเล่นเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้มค่าอย่างมากเพราะไม่ได้โชว์การแสดงอะไรเท่าไรนอกจากทำเป็นคนที่อยู่กำแพงเมืองจีนมาก่อนแต่ไม่อาจหนีไปไหนได้ พอเจอพวกวิลเลี่ยมจึงวางแผนหนีโดยทิ้งให้ฝั่งคนจีนห่ำหั่นกับเทาเทียไว้เป็นเบื้องหลัง แต่การหนีจะไม่ไปมือเปล่าเพราะขโมยดินปืนไปด้วย จากข้อสังเกตหนึ่งเกี่ยวกับมูลค่าสิ่งของที่เรื่องพูดถึงคือดินปืนราวกับของหายากและมีค่ามหาศาล เปรียบเทียบความต้องการดินปืนเป็นความโลภเช่นเดียวกับเทาเทียที่ต้องการขยายพันธุ์ยึดครองเข้าเมืองหลวงฝ่ากำแพงเมืองจีนไปให้ได้ แต่ความโลภไม่ได้หยุดแค่เรื่องภายนอกเท่านั้น ตัวหนังยังไปสู่ราชวังที่ยิ่งใหญ่ด้วยความโลภจากการชิงดีชิงเด่นของเหล่าขุนนางแบบอ้อมๆเพื่อชิงผลงานเอาหน้าเอาตา ที่หนีไม่พ้นคือตัวกษัตริย์เองยังมีความโลภที่ฟุ่งเฟ้อเข้าข้างตัวเองเกินกว่าจะคิดถึงอนาคต


The Great Wall หนังทุนหนาที่มาพร้อมกับฉากแอ็คชั่นสงครามที่สนุก สู้กับสัตว์ประหลาดต่างดาวได้ไม่มีเบื่อแม้หลายอย่างจะไม่แปลกใหม่ซะทั้งหมด จะมีแค่ฝั่งคนที่ดูจะมีอะไรหลายอย่างตั้งแต่ทหารจนถึงเหล่าตัวละครมากหน้าหลายบทบาท แต่ยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่น่าหักมุมเพราะมาตรงตามสูตรทุกอย่างเว้นแต่ความสนุกที่ไม่ลดหย่อน ส่วนหนึ่งมาเพราะความไม่ซ้ำซากจำเจจึงดูสดใหม่ ขณะเดียวกันยังคงลายเซ็นผู้กำกับด้วยฉากสวยๆ เช่น ฉากลอยโคมไฟ ฉากบอลลูนยักษ์ และอีกหลายฉากตื่นตาจนพอดูมีของ กระนั้นที่ชอบเป็นการส่วนตัวมากกว่าคือความสัมพันของเพื่อนที่เรื่องนี้ใส่เข้าไปแบบไม่เลวร้ายเกินไปสามารถจบประเด็นอย่างมีข้อคิดและการให้โอกาสที่ดี ถือว่าดูเพลินแม้จะไม่ถึงกับแปลกแต่ตื่นตาในระดับหนึ่งทีเดียวที่มีหนังเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)