The Adventures of Milo and Otis (1986) แมวจ๋าหมาอยู่นี่

The Adventures of Milo and Otis (1986)
แมวจ๋าหมาอยู่นี่
Director: Masanori Hata
Genres: Adventure | Drama | Family
Grade: A

ดั้งเดิมเป็นเนื้อเรื่องของญี่ปุ่นชื่อ Koneko Monogatari ที่แปลว่าเรื่องของลูกแมว เป็นการผจญภัย 8 บิตคล้ายๆเกมมาริโอเพียงเล่นเป็นลูกแมวที่ต้องกระโดดไปบนต้นไม้เพื่อเก็บผลไม้ทำคะแนน แต่เมื่อทำเป็นฉบับหนังได้ถูกดัดแปลงไปไกลจนไม่เหลือเค้าของเกมต้นฉบับและเพิ่มหมากลายเป็นมิตรภาพเพื่อนรักอีกด้วย ซึ่งเจ้าเหมียวมีชื่อว่าไมโลและเจ้าหมามีชื่อว่าโอติส ทั้งสองเกิดมาอายุคราวรุ่นเดียวกันเพราะทั้งสองเป็นลูกแมวและลูกหมา ทั้งสองเกิดมาอยู่ในฟาร์มที่เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ให้วิ่งเล่นผจญภัยบนหญ้าเขียวขจีและบ้านฟาร์มเลี้ยงสัตว์สำหรับพักผ่อน แต่ด้วยความซุกซนของที่เล่นสนุกไม่รู้จบทำให้ต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่นำไปสู่การผจญภัยที่เกินกว่าลูกแมวและลูกหมาตัวน้อย


กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี นับว่านานพอดูกับหนังไร้คนแสดงที่มีตัวละครหลักเพียงลูกแมวกับลูกหมา โดยเรื่องราวจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กเท่านั้นเพราะจะค่อยๆพัฒนาจนมีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งกลายเป็นมิติตัวละครที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัดระหว่างต้นเรื่องที่แสนเด็กน้อยกลายเป็นความจริงจังที่เพิ่มโทนผู้ใหญ่ แต่ด้วยความคิดว่าคงไม่มีอะไรเช่นนี้ในหนังทำให้ช่วงแรกเหมือนดูหนังสัตว์เลี้ยงน่ารักผจญภัยแบบไม่ค่อยมีอะไรนอกจากมิตรภาพเป็นจุดหลักของเรื่อง ดังนั้นใครที่หวังอยากได้อะไรที่แปลกใหม่อาจต้องผิดหวังเพราะเป็นการถ่ายทอดความน่ารักของไมโลกับโอติสจนคนรักสัตว์ต้องคล้อยตามกันไปและบทสรุปที่ค่อนข้างแน่นอน แต่พอดูไปดูมาเริ่มจะมีอะไรหลายอย่างก็เริ่มรู้สึกมีอะไรมากกว่าที่คิด

เนื้อเรื่องการผจญภัยของไมโลกับโอติสเกิดจากความซุกซนของทั้งสองจนต้องพลัดเข้าไปในป่า โดยจะแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่ต้องลุยการผจญภัยด้วยตัวเอง แน่นอนว่าฝ่ายที่ลุยหนักสุดย่อมเป็นโอติสที่ต้องวิ่งไล่ตามไมโลที่อยู่ในกล่องลอยน้ำ ซึ่งต้องมาเจอกับหมีและเข้าต่อสู้กัน(ฉากนี้มีความคิดอย่างหนึ่งที่ไม่รู้จะป็นลักษณะอย่างไรจนได้เห็นการต่อสู้ของโอติสก็รู้สึกน่ารักมากกว่าน่ากลัว) แม้โอติสจะเป็นฝ่ายวิ่งแทบทั้งเรื่องแต่ไมโลคือฝ่ายที่ต้องผจญกับความหวาดกลัวข้างหน้ามากที่สุดเพราะไม่รู้จะไปเจอกับอะไร ยิ่งฉากเจอน้ำตกทำเอาลุ้นใจหายใจคว่ำกันเลยเพราะสมจริงถึงจริงที่สุด แต่นี่ยังน้อยเมื่อต้องเผชิญกับหมีอีกครั้งที่คราวนี้ไม่มีโอติสเข้าช่วย


ด้วยความสมจริงเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวขานของเรื่องนี้ที่ดูยังไงก็เหมือนมากในทุกฉากและความสมจริงนี่เองทำให้มีอารมณ์ก้ำกึ่งระหว่างน่ารักกับน่ากลัว กับคนที่ไม่คิดอะไรมากจะมองเป็นการผจญภัยที่น่ารักของลูกแมวกับลูกหมาที่ถูกจัดฉากและป้องกันเอาไว้อย่างดี แต่กับคนที่มองเป็นเรื่องจริงจังหน่อยอาจรู้สึกตื่นกลัวกับฉากบางฉากที่หวาดเสียวเกินสัตว์ตัวน้อยจะมีชีวิตอยู่รอดครบทั้ง 32 ประการ โดยฉากที่หวาดเสียวมากที่สุดคือฉากไมโลตกจากหน้าผาที่ข้างล่างเต็มไปด้วยโขดหินที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสภาพจะเป็นยังไงถ้าลงมากระแทกหินเหล่านั้น ในทางกลับกันความน่ากลัวยังมีความน่ารักที่ดูแล้วไม่อยากเชื่อสายตากับฉากโอติสติดเกาะเพราะน้ำทะเลขึ้นสูงจนไม่มีที่จะไป แต่ขณะนั้นมีเต่าทะเลตัวใหญ่ไม่รู้โผล่จากไหนมาช่วยไว้ สิ่งที่อัศจรรย์คือการดูลูกหมายืนอยู่หลังกระดองเต่าลุยน้ำที่ควรเป็นไปได้ในการ์ตูน

The Adventures of Milo and Otis จะแบ่งเรื่องราวเป็น 3 ช่วง โดยช่วงแรกเป็นการแนะนำตัวละครไมโลกับโอติสถึงชีวิตของทั้งสองด้วยความซุกซน ช่วงที่สองคือการผจญภัยของไมโลกับโอติสที่ต่างพบอุปสรรคมากมายด้วยตัวเองก่อนจะพบกันในท้ายที่สุด จริงๆพล็อตเรื่องควรจบลงในช่วงที่สองที่ต่างพบเจอกันในที่สุด ทว่าการผจญภัยและการช่วยเหลือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่ต้องพบกับโลกที่กว้างขึ้นเมื่อเรื่องราววางช่วงที่สามเข้าสู่ชีวิตครอบครัว หลังจากฝ่าอุปสรรคมานักต่อนักก็ต้องถึงคราวแยกทางเมื่อทั้งสองค้นพบความรัก อธิบายง่ายๆตามประสาโลกของสัตว์คือไมโลและโอติสต่างพบคู่ที่ตัวเองต้องการผสมพันธุ์ ซึ่งพล็อตจะวางจุดแตกหักระหว่างกันก่อนจะแยกย้ายใช้ชีวิตครอบครัวด้วยการมีลูก


ความน่ารักของไมโลกับโอติสคือการได้เห็นมุมมองความรับผิดชอบที่นอกจากตัวเองแล้วยังมีอีกหลายชีวิตต้องดูแลเพิ่ม แม้การแยกย้ายเกิดจากการเจอคู่รักทำให้อีกฝ่ายเหินห่างเป็นการเปรียบเทียบอย่างหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตเพื่อนกับชีวิตคนรักที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งไมโลคือแมวและโอติสคือหมายิ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนเรื่องความแตกต่าง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการเป็นเพื่อนที่บอกนัยยะตั้งแต่เริ่มเรื่องจนไคล์แม็กซ์ที่รับรู้ได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวไม่ทอดทิ้งกัน นับเป็นหนังสัตว์เลี้ยงน่ารักที่นอกจากมีแง่คิดที่สนุกแบบเด็กแล้วยังแง่คิดที่พัฒนาสอนถึงผู้ใหญ่ได้อีกด้วย ถ้าจะมองข้อเสียคงไม่พ้นเรื่องความสมจริงที่บางทีแสดงให้เห็นว่าอันตรายจริงมากเกินไป ซึ่งเบื้องหลังมีข่าวเป็นนัยๆเกี่ยวกับชีวิตลูกแมวที่สูญเสียไปไม่น้อย แต่โดยรวมทำได้ดีและสมจริงมากทีเดียว โดยเฉพาะเต่าทะเลตัวขโมยซีนที่มาตามประสาคนแก่ขี้บ่นแต่ใจดี

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)