13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016) 13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี

13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016)
13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี
Director: Michael Bay
Genres: Action | Drama | Thriller | War
Grade: B-
 
เป็นงานพักเบรกก่อนจะไปทำ Transformers: The Last Knight (2017) ที่บอกจะไม่ทำแต่สุดท้ายทำเองจนได้(ก่อนหน้านี้ได้บอกจะไม่ทำ Transformers: Age of Extinction (2014) แต่สุดท้ายทำซะดื้อๆ) คิดๆแล้วบางทีการทำ  Transformers จนมาถึงภาค 5 ได้ก็กลายเป็นเสน่ห์อย่างนึงที่ลืมไม่หลง ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่น งานภาพ หรือเทคนิคต่างๆล้วนบอกถึงความเป็นผู้กำกับ Michael Bay แทบทั้งสิ้น และการให้ใครมาทำหน้าที่นี้อาจทำให้โทนของหนังเปลี่ยนไป ยอมรับว่าเนื้อเรื่องจะประคับประคองได้ไม่สู้ดีแต่ส่วนของแอ็คชั่นคือความจัดเต็มจนคอแอ็คชั่นถูกใจหลายต่อหลายคน ขณะเดียวกันคือความเอียนที่ไม่ถูกปากใครอีกหลายคนเพราะความยืดยาวที่ไม่รู้จักจบเสียที เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน ทว่าจากที่รู้สึกเกินกลับกลายเป็นขาดเสียแทนมากกว่า จะว่าแล้วเนื้อเรื่องได้อิงจากเหตุการณ์จริงที่เอาจริงๆแล้วไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรด้วยน่ะสิ พอกลายเป็นหนังจึงรู้สึกขาดไปบ้างในบางอารมณ์ กระนั้นรู้สึกมีบางอย่างที่กำลังพอดีอีกด้วย


13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi คือเหตุการณ์จริงวันที่ 11 กันยายน 2012 ในเมืองเบงกาซี ประเทศลิเบีย เป็นเรื่องของโศกนาฏกรรมของม็อบเข้าโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาจนฑูตถึงแก่ชีวิตในที่สุด ซึ่งหนึ่งในสาเหตุเกิดความวุ่นวายนี้มาจากการเมืองที่อยู่สภาวะรัฐล้มเหลวเนื่องจากขาดผู้นำหลังจากพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟีจบชีวิตลงเพราะถูกประชาชนต่อต้านจากอาหรับสปริง  (Arab Spring) หรือการเรียกร้องเสรีภาพในประเทศกลุ่มอาหรับ อันมาจากความยากจนและความไม่เป็นธรรม ด้วยสภาพบ้านเมืองในตอนนั้นทำให้เกิดหัวรุนแรงมากมายเพราะไม่มีการป้องกันหรือมาตราการเพียงพอที่จะเข้าควบคุมประชาชน ไม่ว่าจะอาวุธหรือกระบอกปืนล้วนกลายเป็นเรื่องที่หาง่ายตามตลาดที่วางเกลื่อนกลาด ด้วยสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและขาดการปกครองทำให้การตัดสินใจของคนในสังคมมาจากแรงจูงใจทั้งสิ้น ความรุนแรงอาจเกิดขึ้นเพราะไร้การควบคุมให้บ้านเมืองเป็นระเบียบ กระนั้นยังไม่เท่ากับความรุนแรงที่ส่งผ่านทางโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาที่ถูกมองว่าอิสลามกลายเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนชีวิตผู้คน และเจ้าปัญหานี้คือตัวอย่างหนังสั้นความยาว 14 นาที เรื่อง Innocence of Muslims


Innocence of Muslims ก่อให้เกิดการลุกฮือของประชาชนชาวมุสลิมถึงขั้นก่อให้เกิดการประท้วง และก่อเหตุรุนแรงในสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศลิเบีย เนื่องจากตัวอย่างหนังสั้นที่้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ YouTube นี้มีเนื้อหาที่ลบหลู่มุฮัมมัดผู้เป็นศาสดาชนิดที่ว่ากลายเป็นคนตรงกันข้ามกับเรื่องจริงโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องเพศที่แสดงถึงความสำส่อน รักร่วมเพศ และข้ออ้างของศาสนาเพื่อความต้องการทางเพศ เรื่องนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของแซม เบซิล นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวสหรัฐอเมริกา เชื้อสายอิสราเอล มีจุดประสงค์ต่อต้านศาสนาอิสลามกับการล้อเลียนชีวิตของศาสดามุฮัมมัดราวกับตัวตลกที่มีความเจ้าเล่ห์และเจ้าชู้ แม้ว่าจะบอกว่าไม่ได้สร้างขึ้นในเชิงศาสนาแต่เป็นทางด้านการเมืองก็กลายเป็นเรื่องดูหมิ่นศาสนาอยู่ไม่น้อย สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อศาสนาอิสลามขนาดหนักจนถูกโจมตีเป็นศาสนาจอมปลอม แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเพียงหนึ่งคน ทว่าเมื่อเรื่องนี้ตกสู่สายตาของคนที่นับถือศาสนาอิสลามก็กลายเป็นคอขาดบาดตายได้เช่นกัน เมื่อศาสนาที่เสมือนที่ยึดนำจิตใจถูกล้อเลียนกลายเป็นของสนุกมือให้เหยียดหยามจึงเกิดการประท้วงในหลายประเทศ จะมีประเทศลิเบียที่รุนแรงที่สุดเกิดเจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกาเสียชีวิตถึง 4 ศพ


จากที่บอกในข้างต้นคือที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับตัวหนังไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนักจนคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนอาจงงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุอะไร นับเป็นข้อเสียในการเล่าเรื่องที่ไม่ชวนกระจ่างในเนื้อหาจนพอถึงเวลาที่ต้องเกิดเหตุปะทะความรุนแรงจึงรู้สึกไม่มีน้ำหนักเพียงพอในการยิงไปเพื่ออะไร ทำไมถึงถูกโจมตี และใครคือศัตรูหรือมิตรกันแน่ เป็นอีกความสงสัยที่รู้ก่อนจะช่วยเพิ่มความอรรถรสของตัวหนังพอสมควร กระนั้นการจะรู้ความจริงในภายหลังก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร แค่จะรู้สึกหาเหตุผลไม่ได้ว่าตัวละครพวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร ที่ให้ได้คือฉากแอ็คชั่นที่ไม่บอกก็รู้ว่ามันส์กว่าเรื่องจริงหลายเท่า และการเล่าเรื่องที่เน้นไปทางส่งเสริมความรักชาติของทหารอเมริกาอย่างเต็มเปี่ยมจากทหารรับจ้างหน่วย GRS ทั้ง 6 นาย ได้แก่ แจ็ค ซิลวา (John Krasinski),ไทโรน วู้ดส์ (James Badge Dale),คริส พารอนโท (Pablo Schreiber),จอห์น ไทเกน (Dominic Fumusa),มาร์ค จีสต์ (Max Martini),เดฟ เบนตัน (David Denman) และเกล็น โดเฮอร์ตี้ (Toby Stephens) หน่วยกำลังเสริมที่มาทำหน้าที่อารักษ์ขาคริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ (Matt Letscher) นักการสหรัฐอเมริกาประจำประเทศลิเบีย โดยตัวเรื่องในช่วงแรกจะมุ่งไปที่แจ็คเป็นตัวละครนำของเรื่องผ่านมุมมองของเขาตั้งแต่มาประจำฐานที่ตั้งห่างจากเอกอัครราชทูตเพื่อมาคุ้มครองได้ทันยามเกิดเรื่องฉุกเฉิน ตลอดการเล่าเรื่องในช่วงแรกแทบจะไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นตื่นใจจนบางคนพาลว่าน่าเบื่อหรือยืดยาดเอาได้ง่ายๆ จะมีเพียงการแนะนำตัวละครที่พยายามชวนให้เชิดชูถึงการเสียสละ การจะต้องมาทำหน้าที่ในที่ห่างไกลจากครอบครัวที่คุยได้แค่วีดีโอคอลผ่านโทรศัพท์หรือโน๊ตบุ๊ค แม้ว่าจะชวนให้หลับแต่นี่เป็นช่วงเวลาเดียวที่ปล่อยให้ตัวละครได้เล่าเรื่องของตัวเอง


ข้อดีของช่วงแรกไม่ใช่แค่แนะนำตัวละครแต่รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงจากคนแปลกหน้าที่ส่งผลในภายหลังสร้างความสับสนระหว่างมิตรกับศัตรู ไม่มีอะไรแยกแยะออกต่อให้บอกว่าฝ่ายพันธมิตรคือ 17 กุมภาก็ตาม แต่นั้นเป็นได้แค่ชื่อเพราะเอาเข้าจริงไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถพิสูจน์ว่าใครคือพันธมิตร การอธิบายถึงสถานการณ์และการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดูเคร่งเครียดอาจพอทำให้ลุ้นระทึกอยู่ได้บ้าง กระนั้นยังคงเต็มไปด้วยส่วนที่เกินไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาก็ยังได้ โดยเฉพาะฉากที่สื่อความอัดอั้นใจของทหารที่มีครอบครัวรอกลับบ้านที่ใส่เข้ามาแล้วไม่ชวนให้รู้สึกถึงอารมณ์เท่าที่ควร ด้วยอารมณ์ที่ไม่ถึงจึงเหมือนกับส่วนเกินที่ไม่มีก็ดี ทว่าจะขาดไม่ได้ด้วยเช่นกันเพราะไม่งั้นการเชิดชูเกียรติของทหารที่รักชาติรักครอบครัวอาจดูเหือดแห้งไปก็ได้ ช่วงครึ่งหลังจะกลายเป็นหนังคนละม้วนกับช่วงแรกที่พอจบการเกริ่นเรื่องราวทั้งหมดก็กลายเป็นหนังแอ็คชั่นในทันที สิ่งที่ยังการันตีในช่วงหลังคือผู้กำกับ Michael Bay ที่ยังจัดหนักจัดเต็มไปกับฉากแอ็คชั่นจนมีส่วนคล้ายหนังสงคราม Black Hawk Down (2001) อยู่บ้างกับการเดินตามทางท่ามกลางประชาชนที่ไม่รู้มาดีหรือมาร้าย สำหรับฉากแอ็คชั่นจะมีหลักๆอยู่ 2 สถานที่คือเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่ถูกโจมตีเป็นที่แรก และกองกำลังป้องกันที่ทหารรับจ้างใช้ปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ CIA คนอื่นๆ แต่ใช้ว่าความมันส์จะมันส์แบบระเบิดภูเขาเผากระท่อมอะไรขนาดนั้นเพราะเน้นสถานการณ์เป็นหลัก ฉะนั้นความมันส์จะไม่ได้อยู่แค่ระเบิดหรือยิงกัน จะเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดต่างหากที่ว่ามันส์


แจ็คคือตัวละครนำของเรื่องในช่วงแรกเท่านั้น หลังจากเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาถูกโจมตีบทบาทของตัวละครจะผกผันไปตามสถานการณ์และหน้าที่ของตัวเอง แทบจะไม่มีใครเด่นกว่าใครหรือมีใครทำตัวเป็นพระเอก ดังนั้นแม้ในแง่ของตัวละครจะดูสะเปะสะปะไปบ้าง เดี๋ยวคนนี้ทีคนนั้นที กระจายบทบาทได้ไม่เท่ากัน เช่น ทหารรับจ้างเกล็นที่มีหน้าเป็นกองกำลังสนับสนุนที่อยู่ห่างออกไป จะมีอยู่ไม่กี่ฉากที่โผล่ในหนังแต่เป็นตัวสำคัญในไคล์แม็กซ์ที่พยายามมาช่วยทหารรับจ้างที่เหลือ ซึ่งเกล็นต้องสู้กับเวลาในการไปช่วยเหลือที่ดูเป็นความล่าช้าเพราะการประสานงานที่ไม่เอื้ออำนวย หรือจะมาร์คที่มีหน้าที่สำคัญในการคุ้มครองโซน่า จิลเลี่ยน (Alexia Barlier) เจ้าหน้าที่ CIA ที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ลงภาคสนาม ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียดในช่วงครึ่งหลังยังคงแอบใส่มุขอยู่บ้างกับคริสที่เป็นทหารอารมณ์ดีพูดมากในมาดของกางเกงขาสั้นที่ผิดแปลกกว่าชาวบ้านชาวช่อง แต่ที่จะเด่นหน่อยคือบ๊อบ (David Costabile) หัวหน้าหน่วยงานผู้รับผิดชอบทุกอย่าง ในฉากที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาถูกโจมตีในมุมมองคนอื่นอาจแค่เข้าไปช่วยไม่ถึงนาทีก็เรียบร้อย ทว่าสำหรับบ๊อบเป็นปัญหาที่ยากกว่าเพราะถ้าส่งหน่วยอารักษ์ขาไปทั้งหมดจะไม่เหลือการคุ้มครองและข้อมูลอาจรั่วไหลได้ ประเด็นของบ๊อบที่ทำให้ทุกอย่างถูกแก้ในบั้นปลายทำให้การป้องกันฑูตล้มเหลวเพราะความล่าช้า แต่จะโทษบ๊อบที่สั่งช้าจนพวกแจ็คทนไม่ไหวขอลุยเองก็ไม่ใช่เสมอไป บ๊อบเป็นหัวหน้าหน่วยจึงรู้ขอบเขตของตัวเองว่าทำอะไรได้บ้างและอะไรทำไม่ได้บ้าง ในมุมมองของบ๊อบจะเห็นว่าลำบากใจต่อการตัดสินที่กลัวว่าจะรับผิดชอบไม่ไหวในภายหลัง เป็นหนึ่งความลำบากที่น่าเห็นใจไม่น้อย และอามาห์ล (Peyman Moaadi) หรือล่ามที่ทำหน้าที่แปลภาษาอีกตัวละครที่มีความเด่นไม่น้อยที่ขอร่วมต่อสู้ด้วยเพื่อความสงบของบ้านเมืองของเขา จะเห็นได้ถึงแรงกล้าที่ขอต่อสู้แม้จะไม่เท่ากับทหารอารักษ์ขาแต่เห็นได้ถึงความพยายามอย่างเต็มที่และในตอนท้ายจะเห็นว่าเขาขอเลือกเดินหน้ากลับบ้านแทนที่จะหนีไปกับพวกทหารเพื่อความปลอดภัย


หลังจากทนกับครึ่งแรกของหนังที่ไม่ต่ำกว่าชั่วโมงในการเดินเรื่องแบบเรื่อยๆไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นก็น่าจะพึ่งพอใจในครึ่งหลังที่จัดหนักจัดเต็มประหนึ่งสงครามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชนถืออาวุธพร้อมยิงเข้าใส่ได้ตลอดเวลา สิ่งที่ยังชอบและคงชอบเสมอคือผู้กำกับ Michael Bay ที่มีจังหวะกับฉากแอ็คชั่นที่หนักแน่นสมจริง โดยเฉพาะกับเรื่องนี้ที่แอ็คชั่นพออิ่มไม่ถึงกับระเบิดระเบ้ออลังการเกินไป กระนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมีไม่กี่ทีและเน้นไปที่ป้องกันมากกว่าเข้าจู่โจม ฉะนั้นหวังเอามันส์พอเอามันส์ได้แต่ไม่ถึงกับมันส์เว่อร์หรือถล่มทลายจนบ้านเมืองกระจุยกระจาย แต่จะให้ความสำคัญไปที่การรักษาฐานและคนในหน่วยงานไม่ให้ถูกโจมตีจากข้าศึก ในส่วนที่ประทับใจคือการช่วยฑูตแต่เกิดมีปัญหาตรงที่แยกแยะไม่ได้ว่าใครคือฝ่ายไหน ซึ่งหนังได้ทำได้ดีในการหลอกล่อปั่นหัวเหล่าทหารจนมึนงงรวมถึงผู้ชมด้วย ถือว่างานแอ็คชั่นทำได้ดีไม่จัดว่าเยอะเกินไป ค่อนข้างกล่มกล่อมเสียด้วยซ้ำในการสร้างบรรยากาศกับสถานการณ์ที่เน้นไปที่การป้องกัน เต็มที่คือสาดกระสุนกันเสียมากกว่า อาจจะมีระเบิดบ้างแต่น้อยที่จะมีให้เห็น เช่น ในไคล์แม็กซ์ฉากยิงปืนครกที่น่าจะเป็นระเบิดใหญ่ที่สุดในเรื่องแล้วก็ว่าได้ ที่เหลือจะเป็นระเบิดประเภท RPG ก็ไม่รู้ยังไงแต่ข้าศึกจัดเต็มมากเรื่องอาวุธ ส่วนฝ่ายทหารทั้งหกไม่มีอาวุธหนักนอกจากทักษะในการรบและความสามัคคีในกลุ่มที่ดูแล้วน่ายกย่องอยู่ไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดายที่ตอนท้ายอารมณ์ดูจะดึงไม่สุดแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกหากอิงจากเรื่องจริง ถ้าดึงอารมณ์ให้เข้มข้นกับสถานการณ์บีบคั้นอีกหน่อยคิดว่าตอนจบอาจจะดีกว่านี้ สำหรับ 13 ชม.ที่เกิดขึ้นในหนังหรือเหตุการณ์จริงไม่ใช่ปฏิบัติการที่ทำภายในเวลานั้น แต่เป็นเวลา 13 ชม.ที่ยาวนานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้และดิ้นรนปกป้องให้ถึงที่สุด

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)