Wolf Creek 2 (2013) หุบเขาสยองหวีดมรณะ 2

Wolf Creek 2 (2013)
หุบเขาสยองหวีดมรณะ 2
Director: Greg McLean
Genres: Horror | Thriller
Grade: B-
 
ถ้าใครชอบภาคแรกอาจรู้สึกตะหงิดในภาคนี้อยู่บ้างซะหน่อย เพราะอารมณ์จะไม่เหมือนกันที่พยายามเล่าเรื่องให้เร็วขึ้นมากจนอารมณ์ความน่ากลัวที่ภาคแรกทำเอาไว้เกือบหายไปจนกลายเป็นหนังสยองขวัญไล่ฆ่าที่ไม่มีอะไรให้นอกจากอีหรอบเดิมๆของสูตรหนังสยองขวัญ แต่ถึงความน่ากลัวในเรื่องบรรยากาศน้อยลงใช่ว่าความโหดจะลดลงไปด้วย เพราะไม่ทันไรหนังก็เปิดเรื่องทันทีกับมิค เทย์เลอร์ (John Jarratt) ฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าคนอย่างสบายใจที่คุ้นเคยกันดีในภาคแรก กระนั้นในภาคแรกกว่ามิคจะโผล่ออกมาก็ปาไปค่อนเรื่องเพราะเอาแต่ปูตัวละครจนเกือบลืมไปว่าคือหนังสยองขวัญ จนกระทั่งมิคปรากฎตัวพร้อมกับยินดีช่วยเหลือคนที่ติดแหง่กข้างปากปล่องภูเขาไฟวูล์ฟครีกที่เป็นอุทยานแห่งชาติให้เหล่านักท่องเที่ยวแวะเยี่ยมชมก็กลายเป็นเรื่องสยองขวัญขึ้นมาทันที ซึ่งในภาคแรกได้บอกเรียบร้อยว่าการที่รถเสียนั้นมาจากฝีมือของมิคที่แอบทำให้เครื่องรถยนต์เสียเพื่อให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถไปไหนได้และใช้จังหวะนี้ในเวลาที่พอเหมาะเข้าหาเหยื่อทำเป็นคนดีเข้าช่วยเหลือก่อนจะจัดการเหยื่อเหล่านั้นด้วยยาสลบที่ปนมากับน้ำดื่มอย่างเนียนๆ ประเด็นที่เนื้อหาในภาคแรกกล่าวคือการอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับสถานที่ห่างไกลจากผู้คนด้วยแล้วยิ่งเป็นอันตรายตั้งแต่การอยากไปเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากออสเตรเลียมีสถิติเกี่ยวกับคนหายตัวไปอย่างลึกลับและเจอพวกเขาเหล่านั้นเพียง 90% จากจำนวนคนที่หายไปประมาณเดือนหนึ่งให้หลัง ทว่าอีก 10% ที่หายไปไม่มีร่องรอยหรือถูกค้นเจอกลายเป็นบุคคลสาบสูญอยู่ทุกวันนี้ การอ้างอิงจากข้อมูลจริงเกี่ยวกับคนหายทำให้เกิดพล็อตเรื่องนี้ขึ้นมาเกี่ยวกับคนที่หายตัวไปว่าบางทีอาจกลายเป็นเหยื่อของมิคแล้วก็เป็นได้


จากภาคแรกที่สร้างบรรยากาศอย่างน่าหวาดกลัวกับสถานที่ที่หนีไปไหนก็ไม่มีทางรอดเพราะเป็นพื้นที่โล่งกว้าง จะมีเพียงพื้นดินที่แห้งกับต้นหญ้าไม่กี่ต้นแลละภูเขาที่รายล้อมตลอดเส้นทาง แค่สถานที่ก็กลายเป็นความน่าหวาดเสี่ยวหากจะต้องติดอยู่ที่นั้นหรือหลงเส้นทางเพราะไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่บ่งบอกถึงการเอาตัวรอดได้ แต่น่าแปลกสำหรับพื้นที่ว่างเปล่ากลับกลายเป็นที่สนใจของเหล่านักท่องเที่ยวเพื่อมาเยี่ยมชมปากปล่องภูเขาไฟวูล์ฟครีกที่มีขนาดใหญ่ และสวยงามเมื่อมองจากข้างบนที่เห็นชัดถึงความยิ่งใหญ่ ทว่าความสวยงามที่ภาคแรกเคนทำไว้จนเป็นสถานที่น่าเที่ยวของเหล่านักผจญภัยกับต้องรู้สึกหวาดระแวงเพราะอันตรายที่แฝงเข้ามา แน่นอนว่าภาคแรกทำได้ถึงอารมณ์เรื่องความโหดที่ไม่ปล่อยให้เหยื่อหนีออกไปได้ง่ายๆ และค่อนข้างสมเหตุสมผลทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับ 10% ที่เหลือหายไปไหน เพราะโอกาสรอดแทบไม่มีเสียด้วยซ้ำ จริงที่ว่าเนื้อหาของภาคแรกจะเล่าได้ถึงอารมณ์และน่าหดหู่ไม่น้อยที่จบด้วยการปล่อยให้ฆาตกรมีชีวิตต่อไปโดยที่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ ส่วนที่น่าฉงนคือเหยื่อที่ถูกฆ่าหายไปไหนและต้องการฆ่าไปเพื่ออะไร อย่างแรกอาจเป็นทรัพย์สินเงินทอง แล้วอย่างที่สองคือร่างกายถูกนำไปไหนกันแน่ บางอย่างที่ยังไม่ได้รับการไขกระจ่างเต็มที่จะถูกเฉลยในภาคนี้ที่มุ่งเรื่องราวที่มิคมากขึ้นว่าทำยังไงกับเหยื่อของตัวเอง ฉะนั้นอารมณ์ของภาคนี้จะแตกต่างกับภาคแรกตรงที่จะไม่ได้เล่าถึงตัวละครที่เป็นนักท่องเที่ยวเท่าไรนัก จะเล่าในทางของผู้ล่ามากกว่าผู้ถูกล่า


Wolf Creek ไม่ได้ต่างจากหนังสยองขวัญประเภทอื่นนอกจากเรื่องของสถานที่และเจาะจงนักท่องเที่ยวเป็นหลัก แสดงถึงภัยจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเวลาไปไหนมาไหนที่มีคนแปลกหน้า ถ้าภาคแรกแสดงให้เห็นถึงการเป็นเหยื่อแล้วล่ะก็ภาคนี้แสดงให้เห็นถึงผู้ล่าอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป ในฉากเปิดเรื่องแสดงให้เห็นตัวตนของมิคอย่างไม่รีรอราวกับไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยภาคแรกที่ให้เวลาผู้ชมกับตัวละครได้มีความผูกพันรวมถึงตัวละครที่มีความสัมพันธ์น่าเอาใจช่วย สิ่งแรกที่เห็นคือการไม่ยอมใครของมิคไม่เว้นกับตำรวจที่สามารถเล่นงานได้อย่างสบายใจต่อให้คนที่อยู่ข้างหน้าคือผู้พิทักษ์กฎหมาย แต่ต้องโทษที่ฝ่ายตำรวจที่ใช้วิธีสกปรกหาข้ออ้างให้เสียค่าปรับและข่มขู่ให้มิคกลัว แน่นอนว่ามิคในสายตาผู้ชมคือนักฆ่าที่สร้างความโหดเอาไว้ในภาคแรก การมาดูถูกมิคเท่ากับผิดพลาดอย่างมาก และมิคก็เลือกจัดการตำรวจอย่างง่ายดายตามฉบับนายพรานด้วยปืนไรเฟิลคู่ใจก่อนจะใช้วิธีทรมานเหยื่อที่เป็นฉบับของตัวเองด้วยการแทงที่กระดูกสันหลังไม่ให้ขยับตัวไปไหนได้ ตามด้วยเผาทั้งเป็นอย่างไม่แยแสว่าเป็นตำรวจเพราะตัวเองคือคนที่อยู่เหนือกว่า ตามปกติแล้วหนังสยองขวัญมักไม่ถูกกับตำวจ แต่เรื่องนี้ทำตำรวจเป็นแค่ส่วนเกินที่มีไว้ระบายอารมณ์หรือโชว์ให้ผู้ชมถึงความไม่เกรงกลัวใดๆ แค่เปิดเรื่องก็โชว์โหดจนไม่ต้องสงสัยว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งพล็อตเรื่องหลังจากนี้คืออาหารจานหลักที่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยการอาศัยรถที่ผ่านไปมา นั้นคือรูทเกอร์ เอลวิส (Philippe Klaus) และคาตาริน่า ชมิดต์ (Shannon Ashlyn) ที่แวะเที่ยวตามประสานักเดินทางขาจรที่มีจุดหมายปลายทางทุกที่ที่แวะได้ สิ่งที่เห็นไม่แตกต่างกับภาคแรกกับการมาเที่ยว ทว่าต่างกันที่เป็นนักท่องเที่ยวสะพายเป้ใหญ่ที่สามารถแวะนอนได้ทุกที่โดยไม่ต้องอาศัยใคร จนกระทั่งมาถึงวูล์ฟครีกและได้เจอกับมิคที่ยินดีให้ความช่วยเหลือ แต่จะช่วยให้รอดหรือตายคงไม่ต้องบอกว่าเป็นอย่างไหน


ผิดฟอร์มกับภาคแรกจากที่อารมณ์ดิบหนักอารมณ์กลายเป็นแนวไล่ล่าที่มีกลิ่นอายแอ็คชั่นผสมความสยองที่ลงมือลงแรงในฉากชำแหละจนทวีความโหดเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่น่าเสียดายที่เหยื่อกลายเป็นตัวละครที่บอบบางเมื่อเทียบกับภาคแรกที่ยังพอมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมจนรู้สึกน่าหดหู่ใจ กระนั้นสิ่งที่พยายามเห็นคือเหยื่อมีดูฉลาดขึ้นเมื่อกล้าตัดสินใจในสิ่งที่มิคไม่คาดถึงเมื่อถูกปฏิเสธจากคำขอช่วยเหลือ นั้นเท่ากับว่าแผนหลอกล่อของมิคที่ใช้ให้จัดการเหยื่อโดยง่ายและแนบเนียนต้องลงไม้ลงมือจึงจะสำเร็จ สิ่งที่ชอบคือถึงจะเป็นภาคต่อแต่ไม่ใช่แนวเดิมๆที่เหยียบย่ำกับพล็อตเรื่องนักท่องเที่ยวหลงกลจนต้องเอาชีวิตให้รอด อย่างน้อยเห็นการพัฒนาที่อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าในทางที่ฉลาดขึ้น ในทางกลับกันสถานการณ์ที่หนังวางไว้ก็ดูจะแปลกๆอยู่บ้างที่จู่ๆมาให้ความช่วยเหลือในยามวิกาลมืดค่ำทั้งที่กางเต้นท์นอนกันแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นยังให้เหตุผลว่าที่มานั้นมาจากเห็นควันไฟจากกองไฟในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน พอมาถึงที่หนุ่มสาวกางเต้นท์ก็มืดพอดี แต่การที่มิคออกปากให้การช่วยเหลือดูจะเป็นการคุกคามเสียมากกว่าที่บอกอุทยานแห่งชาติวูล์ฟครีกเป็นพื้นที่สงวน การมานั่งจุดกองไฟหรือนอนกางเต้นท์พักแถวนี้เป็นเรื่องที่ผิดและคงไม่ดีหากใครมาเห็นเข้า แต่อะไรนั้นดูเหมือนคำพูดของมิคไม่สามารถทำให้เหยื่อที่ตัวเองมองไว้หลงเชื่อได้ นั้นเพราะนักท่องเที่ยวทั้งสองทำการบ้านเกี่ยวกับพื้นที่มาดีว่าสถานที่แห่งนี้สามารถทำอะไรไม่ทำอะไรได้บ้าง ทว่าการศึกษาพื้นที่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าใครมีลักษณะอย่างไร การเจอมิคเท่ากับเจอความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในฉากนี้ไม่ซ้ำภาคแรกแม้จะมามุขเดิม ทว่าเลือกจะเดินเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยการลงมือกับเหยื่อชนิดที่สยดสยองกันอย่างเต็มที่


การเลือกทางเดินใหม่ให้กับเรื่องนี้ดูจะเป็นการเปิดเรื่องราวของนักฆ่าให้กว้างขึ้น ตั้งแต่การชำแหละร่างกายมนุษย์ทีละส่วนราวกับเนื้อหมูที่โดนสับแล้วนำไปขนส่งต่ออีกทอดโดยบอกว่าไปล่าหมูมา ทั้งที่เนื้อหมูอาจเป็นเพียงการอุปมาเพื่อหนีความจริงที่ว่านี้คือเนื้อของคนที่พึ่งฆ่ามาไม่นาน ด้วยความสยองอะไรก็แล้วแต่คงไม่พ้นการเชือดและเฉือนร่างกายอย่างมันส์มือจนน่าจะเป็นฉากที่แหวะที่สุดของเรื่องแล้วก็ว่าได้ ถึงจะเทียบอารมณ์ดิบๆที่ปลุกความน่ากลัวจากสถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้แต่ได้ความโหดซาดิสม์มาแทนก็น่าจะถูกใจกันอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องจะมาจริงจังตอนที่พอล แฮมเมอร์สมิธ (Ryan Corr) ปรากฎตัวในหนังพร้อมกับคำว่าซวยมาด้วย เหตุที่ต้องบอกว่าซวยเพราะอย่างแรกคือพอลเป็นตัวละครที่ไม่ได้ถูกมิคเล็งเอาไว้แต่แรก แค่เป็นผู้ชายที่บังเอิญไปรับเหยื่อของมิคที่กำลังหนีก่อนสุดท้ายจะเหลือแค่พอลเพียงคนเดียวกับมิคที่พยายามตามฆ่าจนเกือบกลายเป็นหนังงแอ็คชั่นที่มีความระทึกขวัญในฉากซิ่งรถหนีระหว่างรถธรรมดากับรถบรรทุกที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครขับ ความหลากหลายกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาคนี้ที่ดูจะผิดจากภาคแรกเพราะทุนสร้างที่ต่างกัน ดังนั้นการเห็นอะไรที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกโดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ดูจะไปไกลเสียเหลือเกินกับพอลตั้งแต่ไล่ล่ากันบนถนนจนหนีตายเดินเท้าเปล่าในที่โล่งกว้างในออสเตรเลียที่มองไปทางไหนก็หาบ้านสักหลังไม่ได้ และด้วยความสนุกของการไล่ล่านี่เองที่ทำให้กลายเป็นความน่าฉงนใจเมื่อมิคที่เป็นคนธรรมดาแค่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นมีความสามารถในการตามล่ากับทักษะที่เก่งเกินคนธรรมดา ขนาดที่ว่าขโมยรถบรรทุก ขี่ม้า ใช้แซ่ ตามรอยเหยื่อ จากนี้ได้หมดเพียงคนเดียว ดังนั้นภาพลักษณ์ที่เดิมคือชายโรคจิตสูงวัยที่มีดีเพราะอาวุธช่วยดูจะไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เทียบกันแล้วเหมือนคนละคนด้านฝีมือที่นอกจากจะเก่งและฉลาดยังจัดการเหยื่อแบบปิดโอกาสรอดอีกด้วย


ใครชอบภาคแรกอาจชอบภาคนี้มากขึ้น ในทางกลับกันอาจรู้สึกผิดหวังที่อารมณ์ของหนังกลายเป็นบันเทิงสยองขวัญที่มีไว้เพื่อความสะใจ เช่น ฉากบีบแตรให้จิงโจ้กระโดดข้ามถนนเพื่อจะได้เห็นรถชนและเหยียบฝูงจิงโจ้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาก็ได้ถ้าไม่คิดเอาความสะใจละเลงเลือด ส่วนที่ว่าภาคนี้ต้องกาารเปิดเผยเรื่องราวของมิคที่เป็นนักฆ่าเพิ่มขึ้นนั้นดูจะมากเกินไปจนรู้สึกว่าไคล์แม็กซ์เป็นส่วนที่ไม่น่าใส่เข้ามาเพราะทำให้มิคกลายเป็นอีกคนในทันที ไม่ว่าจะฉากอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยความจริงของคนที่สาบสูญหรือศูนย์รวมความเลวร้ายของเหยื่อที่ถูกจับ ไล่ตั้งแต่การต้นเรื่องมีอะไรที่สอดคล้องกับชื่อหนัง Wolf Creek บ้างก็แทบเป็นสิ่งที่ถูกลืมไปเรื่อยๆ บรรยากาศของหนังเริ่มเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจนจากไล่ฆ่าที่เน้นอารมณ์กลายเป็นการกระทำที่รุนแรง ถึงจะรุนแรงแค่ไหนอย่างน้อยจำนวนตัวละครที่ถูกฆ่ายังทำได้พอดีและไม่ตายอย่างฟุ่มเฟือย ฉากที่พอมีลุ้นและแปลกซะหน่อยคือฉากแมวหยอกหนูที่ดูยังไงมิคสามารถฆ่าได้แต่ไม่ฆ่าเพราะนึกสนุกเล่นกับเหยื่อกับคำถาม 10 ข้อที่ตอบผิดจะถูกตัดนิ้วทีละนิ้ว เห็นว่าความสนุกไม่ได้เกิดจากไล่ฆ่าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการทรมานเหยื่อให้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุดด้วย ดังนั้นที่ว่าไม่มีอะไรเท่าไรพอมาภาคนี้มีให้ครบอารมณ์สยองขวัญจัดหนักจัดโหดกันเลยทีเดียว แต่จะเหนืออื่นสิ่งใดต้องพูดถึงนักแสดง John Jarratt ที่รับบทเป็นมิคกับการเล่นเป็นนักฆ่าได้สมบทบาท มีลักษณะเฉพาะตัวกับอารมณ์ที่คาดเดาได้ยาก สไตล์คาวบอยที่มีส่วนผสมของนายพราน และความสนุกทุกครั้งที่ออกฆ่าเหยื่อ ทว่าในหมู่หนังสยองขวัญเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นนี่อาจเป็นนักฆ่าที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Wolf Creek ออกมาสนุกและสยองสมใจ แม้ความหดหู่จะน้อยลงไปพอสมควรแต่ความสยองขวัญยังคงเต็มไปด้วยความรุนแรงที่อาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)