Blue Streak (1999) หยั่งงี้ต้องปล้น

Blue Streak (1999)
หยั่งงี้ต้องปล้น
Director: Les Mayfield
Genres: Action | Comedy | Crime | Thriller
Grade: B-

อย่าได้ดูถูกความสนุกเรื่องนี้เชียวต่อให้เป็นเพียงหนังตลกที่มีเนื้อเรื่องสุดแสนง่ายดายก็เถอะ นั้นเพราะว่าการเล่าเรื่องทำได้กระชับจับจังหวะความฮาได้ลื่นไหลน่ะสิ เอาจริงๆแค่พล็อตเรื่องก็ฮาเหลือร้ายแล้วกับไมลส์ โลแกน (Martin Lawrence) ที่มีแผนโจรกรรมเพชรเม็ดโตที่มีมูลค่ามหาศาล แต่แผนที่วางไว้เกือบสำเร็จต้องพังลงเพราะถูกดีคอน (Peter Greene) เพื่อนที่ร่วมขโมยเพชรครั้งนี้หักหลัง ไมลส์จึงต้องซ่อนเพชรไว้ในช่องระบายอากาศที่อยู่ในตึกระหว่างก่อสร้าง แน่นอนว่าเมื่อแผนที่วางไว้อย่างดีต้องพังทำให้ไมลส์ถูกจับเข้าเรือนจำเป็นเวลา 2 ปี เมื่อออกจากคุกพ้นโทษก็เป็นช่วงเวลาที่แสนแฮปปี้เพราะเขาจะเอาเพชรที่ซ่อนเอาไว้ แต่เจ้ากรรมตึกก่อสร้างดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปพร้อมกับติดป้ายชัดเจนว่าเป็นสถานีตำรวจ เพชรที่ขโมยมาอยู่ในตึกที่เต็มไปด้วยตำรวจทุกรูปแบบ แล้วไมลส์จะเข้าไปเอาเพชรที่ตัวเองซ่อนไว้ได้อย่างไร


จัดเป็นตลกร้ายที่เหมือนแกล้งกันเลยก็ว่าได้เพราะตัวเอกของเราแทบจะเต้นดีใจที่ออกจากคุก ในสายตาคนอื่นคงมองไมลส์ดีใจกับการเป็นอิสระพ้นโทษเสียที แต่กับไมลส์คือสิ่งที่รอคอยมานานแสนนานเพราะปกปิดเรื่องเพชรเป็นความลับที่รู้แค่เขาคนเดียว แม้สภาพหลังออกจากคุกจะไม่เหลืออะไร กระทั่งแฟนยังทิ้งไปแบบไม่ใยดี แต่จะกลัวอะไรถ้ามีเพชรเม็ดโตที่จะสร้างกำไรให้อีกมหาศาลแบบไม่ต้องพึ่งใครอีกต่อไป เหมือนชีวิตไมลส์จะเป็นไปตามหวังที่เตรียมของสำคัญให้ตัวเองเป็นของขวัญเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เดชะเพชรไปอยู่ในสถานีตำรวจแอลเอที่พร้อมจะจับพิรุธได้ตลอดเวลาและอาจจับเข้าคุกอีกรอบหากถูกจับได้ งานนี้เลยหินกว่าที่คิดต้องวางแผนชิงเพชรให้แนบเนียนที่สุดโดยไม่ให้ตำรวจรู้ ซึ่งแผนคือการปลอมเป็นตำรวจซะเลย ไม่ต้องถามว่าแผนมีความซับซ้อนหรือหักมุมอะไรไหม บอกเลยว่าไม่มี ปลอมตัวเข้าไปเอาเพชรแบบตรงๆนี่แหละไม่มีใครคาดถึง

แล้วแผนออกมาดีเกินคาดซะด้วย เกินคำว่าพอดีไปไกลจนใครๆคิดว่าเป็นตำรวจมากฝีมือจนถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายแผนกลักทรัพย์ ตรงนี้ก็ฮาที่โจรขโมยต้องมาทำหน้าที่จับขโมยที่ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่ได้ตำแหน่งเสียดสีตัวเองเช่นนี้ แต่ที่ดูตลกไปกว่านั้นคือความไม่ธรรมดาของไมลส์กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตำรวจทุกคนชื่นชมที่มีวิธีปราบผู้ร้ายอยู่หมัดขนาดที่ว่าคาร์สัน (Luke Wilson) ตำรวจคู่หูที่พึ่งจับคู่กันไม่นานยังเคารพในความเก่งกาจของไมลส์เลย และด้วยความไม่ธรรมดาทำให้ทุกคนจับตามองฝีมือตลอดเวลาจนการเอาเพชรเป็นเรื่องยากกว่าเก่า จะไม่ยากได้อย่างไรเพราะใครๆก็เรียกไมลส์ไปจัดการคดีตลอดเวลา ส่วนวิธีจัดการแต่ละคดีก็ช่างแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องที่ทำอะไรนอกตำราเกือบหมด ซึ่งไมลส์ได้บอกแนวทางในการจัดการกับโจรคือต้องคิดให้เหมือนโจร(ก็เจ้าคือโจรนี่หว่า) 


ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าเรื่องนี้ออกแนวตลกดีตลกร้ายให้ดูกันได้ทุกวัย ดังนั้นความรุนแรงของเรื่องนี้แทบจะไม่มีให้เห็นเลยนอกจากตอนเปิดเรื่องที่มีการหักหลังกับตอนท้ายที่พอจะเข้าค่ายหนังแอ็คชั่นให้พอลุ้นอยู่บ้าง แต่จุดประสงค์หลักของเรื่องนี้คือการขายการแสดงของ Martin Lawrence ที่เล่นฮาได้ตั้งแต่หน้าตา ส่วนมุขเรื่องนี้ค่อนข้างพอเหมาะ ไม่ดูหวือหวาหรือหยาบคาย สามารถดูได้ทั้งครอบครัว อีกอย่างคือมุขไม่ถึงกับแป้กไปซะทั้งหมด อาจจะบ้างเป็นบางมุขที่รู้สึกมันได้ด้วยเหรออย่างตอนปลอมตัวเป็นคนส่งพิซซ่าเข้าไปในสถานีตำรวจเพื่อสอดส่องช่องทางในการเข้าตึกที่ดูเด่นเกินเหตุไปซะหน่อย เรื่องมุขตลกไม่ใช่เรื่องกังวลถ้าดูแล้วไม่ฮาหรือน่าเบื่อเพราะเล่าเรื่องรวดเร็ว แต่เป็นข้อเสียที่เร็วเกินไปจนแทบไม่เหลือมิติตัวละครอื่นๆนอกจากการขโมยเพชรที่ตัวเองซ่อนในช่องลมของตึกตำรวจ ทำให้เรื่องนี้เล่าเรื่องตายตัวเกินไปหน่อยเพราะมีแค่มิติเดียวที่รู้สึกมีช่องว่างเพียบเลย อย่างน้อยส่วนหนึ่งทำให้เห็นว่าเรื่องนี้ต้องการเสียดสีการทำงานของตำรวจที่ไม่ทันผู้ร้ายเพราะความเป็นตำรวจมากเกินไปจนลืมวิธีแบบโจรที่ต้องรู้จักเข้าหาและปรับตัว เฉกเช่นไมลส์ที่ปลอมเป็นตำรวจได้เพราะศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับตำรวจ หรือการไขคดีที่ต้องทำให้เหมือนโจรจะได้รู้ว่าทำอะไร

เล่าเรื่องเร็วและไม่เสียเวลากับการใช้มุขตลกพร่ําเพรื่อ แต่มิติตัวละครกลายเป็นข้อเสียร้ายแรงที่ทำให้เรื่องนี้แทบหาอะไรไม่ค่อยได้จากตัวละครนอกจากความฮากับเรื่องขโมยเพชรที่ต้องปลอมตัวเป็นตำรวจ อันที่จริงเนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรแต่สามารถต่อยอดกับความเป็นโจรของไมลส์ที่เผยวิธีของโจรจนหลายคนให้ทำคดีนับว่าไม่เลวที่จะเพิ่มเรื่องราวให้น่าสนใจ ซึ่งนั้นทำให้เจอกับ Dave Chappelle ในบทของเพื่อนไมลส์ที่เล่นเกือบแย่งซีนตลอดเวลาเพราะความตลกผสมชอบมาผิดที่ผิดเวลาจนไม่ต้องยิงมุขก็ขำได้โดยไม่ต้องทำอะไร โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบตรงที่ตัวละครไม่ได้ดูน่ารำคาญแต่อย่างไรเลย ซ้ำยังรู้สึกมีคามจริงจังตลอดเวลา แต่ไม่รู้ยังไงความจริงจังมักจะกลายเป็นมุขที่คอยหยอดให้แอบตลก นับเป็นเรื่องที่ดีที่สามารถคุมการเล่าเรื่องของหนังให้โฟกัสแค่จุดเดียวตลอดเวลาแม้เอาเข้าจริงจะปะปนเข้ากับเรื่องอื่นๆแต่ไม่ถือว่าหลุดประเด็นไปไหน เป็นการเล่าเรื่องที่ไปได้สุดทางของตัวละครตามจุดประสงค์ของตัวละครและเนื้อเรื่อง


Blue Streak เล่าเรื่องสนุกและใช้มุขตลกให้ออกมาเพลิดเพลินอารมณ์ดีตลอดเวลา เช่นเดียวกันชอบตลกร้ายที่พาให้เกิดความซวยตลอดเวลาแม้ในสายตาคนอื่นจะมองว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยมก็ตาม การขโมยเพชรด้วยความสามารถอันเหลือล้นทำให้เข้าใกล้เพชรได้ แต่ติดปัญหาที่จะเอาเพชรไปได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครจับได้ แน่นอนว่าทุกอย่างดูน่าสงสัยตั้งแต่แฟ้มประวัติปลอมที่หลายคนว่ามันแปลกๆแต่ไม่ได้ติดใจเพราะฝีมือจับโจรที่เก่งกาจและน่าเชื่อถือ กระนั้นตัวละครที่กลายเป็นความบอบบางเห็นจะเป็นดีคอนหรือตัวร้ายที่มีบทบาทแค่ทรยศในตอนเปิดเรื่องและตอนท้ายที่ต้องการชิงเพชรจากไมลส์ น่าเสียดายที่น่าจะใส่การชิงไหวพริบมาซะหน่อยเพราะเอาเข้าจริงแทบไม่มีอะไรเลย และยิ่งเอาเข้าจริงเป็นเรื่องราวการตามเพชรที่ตัวเองซ่อนไว้ซึ่งไม่ได้คิดเรื่องอื่นที่เห็นชัดจากไคล์แม็กซ์ที่เพชรไปไหนเจ้าตัวตามไปด้วย ไม่ได้สนใจใครเป็นอะไรขอแค่ได้เพชรก็เรียบร้อย(ประเด็นคือไม่ได้เพชรซะที) ถ้าพูดถึงคุณธรรมความดีอาจฟังแปลกๆที่ตอนจบค่อนข้างลงตัวและแฮปปี้แอนดิ้งไปหน่อย แต่อย่างน้อยทำให้รู้ว่าไมลส์มีด้านดีอยู่ไม่น้อยแม้จุดประสงค์ที่แท้จริงคือจะเอาเพชร ไม่ได้คิดจะมาช่วยไขคดีแต่อย่างใดก็ตาม ประมาณว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ถ้าดูเพื่อความฮาถือว่าตอบโจทย์ได้ไม่เลว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)