Ninja Assassin (2009) นินจา แอซแซสซิน แค้นสังหาร เทพบุตรนินจามหากาฬ

Ninja Assassin (2009)
นินจา แอซแซสซิน แค้นสังหาร เทพบุตรนินจามหากาฬ
Director: James McTeigue
Genres: Action | Thriller
Grade: B-

ช่วงแรกของหนังเนี้ยทำได้น่าสนใจจนเกือบมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเภทของเรื่องนี้ที่ให้โทนราวกับหนังสยองขวัญมีแต่ความน่ากลัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะความรุนแรงของการต่อสู้ที่ให้ความรู้สึกเกิดอาการเอียนได้ทันทีกับคนไม่ชอบเลือด ในตอนเปิดเรื่องจะเป็นการบอกถึงความน่ากลัวของนินจาที่มีหน้าที่สังหารเป้าหมายโดยไม่มีใครเหลือรอดสักคน แน่นอนว่าเปิดเรื่องมาพอจะเดาแนวได้กับการเกริ่นความเป็นนินจาที่เก่งกาจแค่ไหน ซึ่งความเก่งที่ฆ่าคนนี่แหละกลายเป็นความบันเทิงที่ยิ่งกว่าจะดูเอามันส์เพียวๆเพราะเล่นฆ่ากันแบบแขนขาด ขากระจุย หัวหลุด เลือดสาด ที่ต้องเน้นย้ำหน่อยเห็นจะเป็นเลือดที่ขนอะไรไม่รู้กันมามากมายชนิดที่ว่าฟันทีหนึ่งเลือดจะกระเด็นไม่ต่างกับลูกโป่งที่ใส่น้ำ เมื่อลูกโป่งแตกคือน้ำกระจาย ทำนองเดียวกับเลือดที่กระจายจนมันส์มือคนทำเทคนิค CGI ที่ใส่ได้อารมณ์เต็มเหนี่ยวเรื่องความรุนแรง แม้จะเกือบกลายเป็นหนังสยองขวัญแต่อดคิดไม่ได้เลยในความโหด โดยเฉพาะฉากเครื่องซักผ้าเป็นอะไรที่ผิดคาดและถ้าใส่ในหนังสยองขวัญจะเป็นอะไรที่เข้ายิ่งกว่าเข้าเสียอีก


หลังจากเปิดเรื่องราวด้วยแอ็คชั่นสั้นๆที่ผสานกับความโหดตามวิถีนักฆ่านินจาก็เข้าเรื่องของไรโซ (Rain) ชายหนุ่มปริศนาที่ไม่รู้ว่าคือใครมาจากไหน แต่เชื่อว่าคงรู้อยู่ส่วนหนึ่งแล้วคือนินจาแน่นอน ส่วนจะยังไงต่อจากนี้คือข้อสงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป เนื่องจากช่วงแรกจะเกริ่นว่ากำลังรอสายจากโทรศัพท์ ระหว่างที่รอจะเห็นการฝึกด้วยตัวเองในห้องอย่างเงียบๆตามฉบับนินจา ไม่ว่าจะฝึกการใช้อาวุธ ฝึกสมาธิ ให้ตัวเองเข้มแข็งตลอดเวลา จนกระทั่งมีสายโทรศัพท์เข้ามาจึงออกรับงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับมิก้า (Naomie Harris) ตำรวจยุโรปที่ค้นข้อมูลจนพบความจริงที่สาวต้นตอไปถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องกับนินจาที่ลักพาตัวเด็กนำไปฝึกเพื่อไว้สังหาร และมีเพียงมาสโลว์ (Ben Miles) เพื่อนตำรวจที่ไว้ใจได้ ทว่าการที่มิก้ารู้ความจริงก็ยิ่งกลายเป็นเป้าสังหารและได้รับข้อความเตือนก่อนถูกสังหาร ซึ่งเป็นช่วงที่ไรโซเข้ามาช่วยมิก้าให้รอดจากเงื้อมมือของนินจาอื่นที่เข้ามาสังหาร พอมาถึงฉากนี้ก็แทบจะไม่ได้พักกันเลยเพราะแอ็คชั่นจะทยอยมาเรื่อยๆหลังจากปูเนื้อเรื่องให้เสร็จในช่วงแรกของหนัง

พล็อตเรื่องไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อนแม้จะพยายามให้ทุกอย่างดูมีปมก็ตาม ซึ่งตัวละครที่มีปมในใจมีเพียงไรโซหรือพระเอกของเราที่เหมือนจะมาร้ายเพราะแสดงวิธีการฆ่าอย่างเหี้ยมโหดประกอบกับตอนเปิดเรื่องที่ให้ทัศนคติเกี่ยวกับนินจาคือนักล่าสังหารที่ได้รับการจ้าง ฉะนั้นไม่ว่าจะการเล่าเรื่องหรือโทนของหนังก็ดูจะเอนเอียงให้ตัวเอกของเรามีความร้ายกาจพอสมควร แม้จะดูเป็นพระเอกที่น่ากลัวแต่พอมีเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ซึ่งตัวหนังได้พยายามอธิบายเหตุผลในใจของไรโซว่าแท้จริงเป็นคนละพวกกับนินจาที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าเพราะตัวเองมีหน้าที่ขัดขวางไม่ให้ทำสำเร็จ ส่วนเหตุผลนั้นมาจากอดีตของไรโซตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนจากโอซูนุ (Shô Kosugi) ประมุขของค่ายฝึกนินจาที่มีปรัชญาชีวิตตามแบบวิถีของนักฆ่า โอซูนุเป็นได้ทั้งครูและพ่อที่ให้การเลี้ยงดูพร้อมกับฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าตามปรัชญาของผู้แข็งเกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด ก็เหมือนกับลักพาเด็กให้ไปเป็นนักฆ่าพร้อมกับปลูกฝังความคิดให้ทำตามเป้าหมาย เสน่ห์อย่างนึงของวิถีที่โอซูนุสร้างขึ้นคือการยึดสมาชิกทุกคนเป็นครอบครัว มีชื่อเสียงตระกูล มีความเป็นมา และระเบียบที่ต้องรักษาเอาไว้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวเพื่อเป็นนักสังหารอันดับหนึ่งที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่


น่าสนใจที่วัฒนธรรมของชาวนินจาจะคล้ายซามูไรแต่ไม่ใช่ซะเดียวเพราะมีหน้าที่สังหารหรือลอบฆ่า จะเป็นได้แค่เงาที่คอยตามเก็บเป้าหมายที่ได้รับว่าจ้าง และมองสมาชิกทุกคนคือครอบครัวไม่แย่งชิงกันเองให้เสียชื่อตระกูล โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบนักแสดง Shô Kosugi ที่เล่นเป็นโอซูนุเผยแพร่วิถีของนินจาและค่อยจัดการฝึกฝนให้เป็นนักรบ คาเรกเตอร์ดูเป็นผู้นำและยึดมั่นในคำสอนที่สืบต่อมาอย่างเห็นได้ชัด และไม่แปลกใจด้วยที่นักแสดงคนนี้เสมือนต้นตำรับนินจาของฮอลลีวู้ดรุ่นบุกเบิกที่เคยมีหนังเกี่ยวกับนินจาหลายเรื่อง เช่น Enter the Ninja (1981),Revenge of the Ninja (1983),Pray for Death (1985) และอีกหลายเรื่องที่คาเรกเตอร์เกี่ยวกับนินจา กลับมาที่ไรโซที่กลายเป็นผู้ทรยศต่อโอซูนุที่เล่นโดย Rain หรือที่โด่งดังจากนักร้องเกาหลีและกลายเป็นดาราเด่นในฮอลลีวู้ดกับเรื่องแรกใน Speed Racer (2008) สำหรับเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นที่ 2 ที่แม้จะมีเอกลักษณ์ทางหน้าตาแต่การแสดงอารมณ์ยังคงนิ่งไปหน่อย ถึงจะบอกว่าเป็นนักฆ่าต้องไร้อารมณ์แต่โดยส่วนตัวยังมองว่าถ่ายทอดอารมณ์ยังไม่สุด จะมาดีในส่วนของแอ็คชั่นกับการโชว์ลีลาต่อสู้หรือการใช้อาวุธที่่ดูแล้วก็มันส์ครบอรรถรส

อย่างที่บอกว่าพล็อตเรื่องไม่ค่อยมีอะไรแต่พยายามทำให้มีโดยใช้ปมในใจของไรโซที่มีความอัดอั้นเกี่ยวกับวิถีนินจาที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์จนกลายกรอบไม่ให้ไปไหน เดิมทีไม่ใช่เพราะไรโซคิดอยากทำอะไรที่เกินกฎเกณฑ์ แต่เป็นผลมาจากคิริโกะ (Anna Sawai) หนึ่งในสมาชิกเดียวกับไรโซที่ไม่อยากทำตามคำสั่งอีกต่อไปเนื่องจากไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ สิ่งที่อยากได้คือการปีนกำแพงหนีออกไปข้างนอกเพื่อทำตามใจของตัวเอง สิ่งที่คิริโกะต้องการจะบอกคือความหมายของชีวิตที่มีอะไรมากกว่าแค่เป็นมือสังหาร หลังจากคิริโกะปีนกำแพงหนีออกไป สุดท้ายไม่อาจหนีรอดไปได้และต้องรับโทษตามกฎของโอซูนุด้วยการปลิดชีวิตไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่น ถ้าพูดในแง่ประเด็นนี้อาจจะยังไม่มากพอให้ไรโซคิดทรยศ ทว่าในฉากสลับอดีตกับปัจจุบันได้แสดงความสัมพันธ์ของทั้งสองตั้งแต่เด็กจนโตว่าทั้งมีความผูกพันมากน้อยเพียงใด คิริโกะมักเป็นฝ่ายเข้าช่วยไรโซเสมอในยามเจ็บป่วย ที่สำคัญยังเป็นคนแนะนำเปิดใจให้กว้างยอมรับในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ ด้วยความผูกพันที่ไม่บอกก็รู้ว่าทั้งสองต่างรู้สึกยังไงทำให้เป็นปมของไรโซที่ต้องสูญเสียเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่กลายเป็นความเจ็บปวดในใจ


แต่ละอย่างนับว่าเจ็บปวดสาหัสพอสมควร ไม่ว่าจะทางกายที่รับการฝึกอย่างเข้มงวดหรือทางจิตใจที่เสียคนสำคัญ จนกระทั่งไรโซได้ลงภาคสนามครั้งแรกโดยได้รับมอบหมายงานจากโอซูนุให้ไปสังหารชายคนหนึ่งแล้วนำนาฬิกามาให้เขาเพื่อเป็นสิ่งยืนยั่นว่าภารกิจเสร็จสิ้น แน่นอนว่าไรโซทำภารกิจนั้นสำเร็จลุล่วงแต่ต้องแลกกับความเจ็บปวดและการนองเลือดที่สู้กันตายไปข้างหนึ่งถึงจะยอม หลังจากได้นำนาฬิกาให้โอซูนุก่อนจะให้เก็บเอาไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจในการฆ่าคนครั้งแรก ทว่าการพิสูจน์ยังไม่จบลงเมื่อโอซูนุได้พาผู้หญิงรายหนึ่งมาให้สังหารเช่นเดียวกับคิริโกะจากสาเหตุไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ ซึ่งนั้นทำให้ไรโซทรยศต่อโอซูนุที่ไม่อยากฆ่าใครโดยไม่จำเป็นอีกต่อไปและต้องการเป็นตัวของตัวเอง นาฬิกาหมายถึงอุปกรณ์บอกเวลา สำหรับโอซูนุคือเวลาของการเริ่มต้นเป็นนินจาที่สมบูรณ์หลังจากฝึกฝนมานาน แต่ไรโซคือเวลาที่จะกล้าเริ่มต้นชีวิตด้วยทางเลือกของตัวเองเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องยิ่งกว่า

Ninja Assassin มีข้อดีที่แอ็คชั่นจัดหนักจัดเต็มตลอดเวลา ฉะนั้นการดูเอามันส์นับเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง แต่จะมันส์แค่ไหนต้องยกให้การจัดฉากต่อสู้ที่เลือกใช้อุปกรณ์หลากหลายรูปแบบ ทั้งดาบ มีด ดาวกระจุย โซ่ที่ปลายเป็นมีดสั้น ที่บ่งบอกถึงความเป็นนินจา ทั้งยังเป็นการปะทะกันระหว่างอาวุธที่ทันสมัยกับดั้งเดิมระหว่างนินจากับหน่วยตำรวจที่มีปืนเป็นอาวุธหลัก แม้จะแอ็คชั่นสนุกมากแค่ไหนแต่เหมือนบทยังขาดมิติไปสมควรกับเรื่องของนินจาที่เห็นว่าจะเล่าแค่มิติเดียวในมุมมืดเป็นนักสังหารเท่านั้น ขณะที่ไรโซคือนินจาในด้านดีที่น่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ หรือจะเบื้องหลังในสิ่งที่มิก้าสืบหาความจริงก็กลายเป็นความบอบบางจนเมื่อมีแอ็คชั่นก็ถูกทำให้ลืมๆไปซะ แถมตัวละครมิก้าที่เหมือนจะเป็นตัวละครสำคัญต้องถูกให้กลายเป็นตัวประกอบที่ปล่อยให้ทั้งหมดเป็นของไรโซด้วยสาเหตุที่ว่ามีเพียงไรโซเท่านั้นที่สามารถสู้ได้ จึงไม่แปลกใจเลยถ้าเอาเข้าจริงคนที่ต่อสู้จะมีเพียงคนเดียวทั้งเรื่อง เช่นเดียวกันที่พระเอกจะต้องเก่งและมีความเว่อร์ให้ออกมาดูเท่จนนินจามากี่คนก็ถูกเก็บเรียบทุกราย จึงรู้สึกว่านินจาที่ดูเก่งแต่อ่อนเมื่อสู้กับพระเอก นอกจากฝีมือที่เก่งกาจสามารถลุยเดียวสู้กับนินจาหลายคนแล้วยังมีความอึดที่สังเกตว่าพระเอกจะเจ็บซ้ำถูกฟันจนเลือดเยอะแค่ไหนยังกลับมาฟิตได้(ซึ่งในเรื่องอธิบายว่ามีวิชารักษาบาดแผลให้หายในทันที) สรุปแม้จะด้อยเรื่องความเข้มข้นของเนื้อเรื่องแต่ได้ทดแทนด้วยแอ็คชั่นที่มันส์เหลือล้นพร้อมกับความโหดที่ฟันขาดเป็นขาด เลือดเป็นเลือดที่เยอะมากๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)