Back to the Future Part II (1989) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2

Back to the Future Part II (1989) | เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi
Grade: A

ภาคแรกจบไปซะแบบนั้นแล้วจะไม่ให้มีภาคต่อคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อลงทุนไป 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ได้กำไรมาถึง 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันจริงตั้งใจทำเป็นไตรภาคเดินเรื่องรวดเดียวแบบไม่ต้องพักต่างหาก นี่สิถึงจะมันส์ขนาดแท้ กลับมาเข้าที่เนื้อเรื่องที่สานต่อจากตอนจบภาคแรกที่ว่าด้วยดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) ใช้รถเจาะเวลาไปอนาคตในปี 2015 ก่อนจะกลับมาในปี 1985 อีกครั้งเพื่อมาบอกมาร์ตี้ (Michael J. Fox) เรื่องลูกในอนาคตที่กำลังจะพบปัญหาชิ้นใหญ่ที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไป ทำให้งานนี้ทั้งด็อกทั้งมาร์ตี้ต้องเดินทางไปอีก 30 ปีข้างหน้าเพื่อไปแก้ไขปัญหานี้ให้จบลงด้วยดี ทำให้การผจญภัยครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าปัญหาของการไปอนาคตครั้งนี้ได้ส่งผลไปยังอดีตจนผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมหาศาลเมื่อด็อกกับมาร์ตี้ได้ย้อนกลับมาเวลาเดิมในปี 1985 แล้วพบว่าทุกอย่างผิดปกติไปหมดทั้งบ้านเมืองที่ตอนนี้ถูกคุกคามจากเหล่าอาชญากรรมจนไร้วี่แววของความสงบสุข โรงเรียนแหล่งความรู้ถูกทำลาย สังคมมีความป่าเถื่อน แต่เพราะอะไรแม้แต่ด็อกยังแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว จะมีเบาะแสอยู่อย่างคือผู้นำแห่งโลกความรุนแรงนี้คือบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) แล้วทำไมเขาคนนี้ถึงกลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจรวยล้นฟ้าได้ทั้งที่หลังจากกลับมาจากอดีตพร้อมแก้ไขปัญหาไปแล้วก่อนหน้านี้ยังเป็นคนใช้อยู่เลย จึงเป็นเหตุสงสัยที่ด็อกกับมาร์ตี้ต้องช่วยกันหาเบาะแสตัวการว่าทำไมเวลาถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ทั้งยังต้องสืบให้ได้ว่าควรทำยังไงจึงจะเปลี่ยนเวลานี้ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง กระนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง และพวกเขาก็หยุดคิดเฉยๆไม่ได้ด้วย
 
 
ถ้าภาคแรกคือการปูพื้นให้เข้าใจเรื่องตัวละคร การข้ามเวลา และปมตัวละครต่างๆตามเวลาแล้วล่ะก็ ภาคนี้คือการนำสิ่งที่เราเรียนรู้จากภาคแรกมากระทำให้ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งยังเพิ่มเนื้อหาสาระให้น่าค้นหาตามหลักวิทยาศาสตร์อีกด้วย เช่นการอธิบายของด็อกที่ว่ามีอะไรมากระทำในอดีตจนเวลาปัจจุบันเปลี่ยนไป ซึ่งเท่ากับส่งผลกับอนาคตอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่มาร์ตี้กับด็อกยังอยู่ที่อนาคตนั้นยังคงเป็นเหตุการณ์ที่คาดเอาไว้ว่าควรจะเป็นของมันเองเพราะไม่ได้ส่งผลกระทบในฝ่ายใด ทว่าหลังกลับมาจากอนาคตมาสู่เวลาปัจจุบันก็พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด

คำถามคือการแก้ไขเวลาในอนาคตทำให้เหตุการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างงั้นหรือ เปล่าเลยเพราะอนาคตคือเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นและผลกระทบในอนาคตไม่มีวันจะสะเทือนมายังอดีตได้ เว้นแต่อดีตเท่านั้นที่ส่งผลกับอนาคต ดังนั้นความคิดที่มาร์ตี้บอกให้ไปอนาคตเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นยิ่งไม่สามารถทำไดเแล้วใหญ่ เนื่องจากเมื่อกลับมาสู่เวลาปัจจุบันแล้วสภาพไม่เหมือนเดิมจากที่เคยต่อให้ไปอนาคตอีกกี่รอบมันก็เป็นช่วงเวลาของอนาคตที่ได้อิทธิพลจากปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมไป สรุปคือไม่สามารถไปอนาคตที่เป็นเหมือนเดิมอย่างที่ตอนแรกไปได้อีกแล้ว ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงอยู่ที่การย้อนเวลาไปที่ต้นเหตุที่ถูกต้องอย่างมีลำดับว่าเริ่มที่จุดไหนเพื่อแก้ไขในจุดนั้นซะ ก็คิดดูล่ะกันว่าในหมู่ไตรภาคทั้งสามมีภาคนี้แหละที่เล่นกับองค์ประกอบเวลาได้เยอะที่สุดจนกลายเป็นแนวผจญภัยไปเต็มๆ ตั้งแต่ไปอนาคตเพื่อแก้ไขเรื่องผิดพลาดจากนั้นกลับมาปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วไปอดีตอีกเพื่อหาต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และสุดท้ายกลับบ้าน ผิดกับภาคแรกที่ผจญภัยไม่มากแต่เด่นเรื่องเนื้อเรื่องกับตัวละครที่แต่ละตัวโผล่มาสร้างสีสันบวกกับอารมณ์ตลกๆกัดจิก ส่วนภาคสองความเข้มข้นคือแอ็คชั่นล่ะกันเพราะเรื่องเดินไม่พักแล้วยังรู้สึกได้ถึงความมันส์ที่มากกว่าเดิม


เห็นว่าตอนแรกบทดั้งเดิมไม่ได้ตั้งใจจะให้มาร์ตี้กับด็อกเจาะเวลามาปี 1955 แต่มาปี 1960 แทน แต่เหมือนผู้กำกับหัวใส Robert Zemeckis จะได้ไอเดียที่ไม่ธรรมดาจึงเปลี่ยนเป็นว่าเอาสิ่งที่เกิดในภาคแรกมาผสมด้วยเพื่อเพิ่มอรรถรสให้น่าจดจำมากขึ้น คิดดูเอาล่ะกันว่ามีมาร์ตี้ 2 คน กับด็อก 2 คนในเวลาเดียวกัน นับว่าสุดยอดมากที่คิดดัดแปลงด้วยการนำเหตุการณ์ในภาคแรกมาผสมกับภาคนี้ที่ผลออกมาแนบเนียนเกินบรรยาย ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าไม่ใจถึงจริงๆหรือเรียบเรียงดีๆคงออกมาเลอะเทอะจนมั่วแน่ๆ ทว่า Robert Zemeckis คุมงานได้อยู่หมัดราวกับควบคุมเวลาได้ดั่งใจนึก แต่เหมือนภาคนี้จะมีปัญหาอยู่อย่างคือความสนุกที่ไม่ได้เกริ่นให้ผู้ชมที่พลาดภาคแรกได้รับรู้เรื่องราวกับเหล่าตัวละครที่ถูกใช้จนหมดมุขในภาคแรกจนภาคนี้ขาดมิติไปในบางส่วน ฟังเหมือนปัญหาจะมีจนไม่น่าจะสู้ภาคแรกได้ แต่เปล่าเลยเพราะถ้าพิจารณาดีๆแล้วนี่คือการเล่าเรื่องที่ต่อจากตอนจบได้อย่างต่อเนื่อง อารมณ์ประมาณว่าภาคแรกได้เคลียร์เรื่องราวของตัวเองเสร็จแล้วต้องมาเจออีกเรื่องให้เคลียร์อีก แต่พอเคลียร์ของใหม่ได้แล้วกลับส่งผลต่อเป็นลูกโซ่ต้องแก้กันยาว ลองนึกดูว่าถ้าไม่สามารถคุมเนื้อเรื่องให้เป็นลำดับไทม์ไลท์ได้คงออกมาไร้ความสนุกแน่นอน กระนั้นการเล่นไทม์ไลท์ได้อย่างสมเหตุผลจะทำให้ความสนุกบรรลุได้อย่างเข้าถึง


ส่วนเรื่องตัวละครค่อนข้างตีวงแคบลงมามากจนเหลือความโดดเด่นอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น อย่างลอเรน (Lea Thompson) แม่ของมาร์ตี้ที่สร้างความประทับใจเพราะความอินโนเซ็นต์ได้อย่างดีในภาคแรกกลายเป็นว่าภาคนี้ให้ออกมาเป็นตัวประกอบที่โผล่มาเป็นบางฉากเท่านั้น แม้จะมีการเซอร์ไพร์สอยู่พออิ่มก็ตาม และเรียกความทรงจำจากของเก่าด้วยมุขมาร์ตี้ตื่นขึ้นมาจากอาการสลบ หรือกระทั่งพ่อของมาร์ตี้ที่มาน้อยจนเกือบหายไปเลยในเรื่อง จะว่าไปแล้วก็เป็นอีกตัวละครที่พลิกผันได้เช่นกันอย่างเหตุการณ์ในภาคแรกปี 1955 ที่ถ้ายังไม่เลิกเป็นพวกขี้แพ้ก็คงถูกใช้เป็นขี้ข้าบีฟตลอดไป และที่หนังจับจ้องคือบีฟนั่นเองที่กลายเป็นตัวหลักของเรื่องไปโดยปริยายด้วยเหตุผลที่ว่ากลายเป็นคนเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จนทุกอย่างเลวร้ายเกินเหยียวยาว แต่ความจริงเรื่องมันเริ่มขึ้นจากอนาคตที่พวกด็อกกับมาร์ตี้ไปในปี 2015 (คือจะบอกคงเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้างั้นข้ามย่อหน้านี้ไปเลยจะดีกว่า) แล้วเผอิญว่าบีฟตอนแก่ไปเห็นรถเจาะเวลาเข้าทั้งยังได้รับรู้ในสิ่งที่ด็อกกับมาร์ตี้พูดว่าจะทำอะไรต่อไป แต่นั้นยังไม่จบถ้าจะเปลี่ยนชะตาชีวิตทั้งหมดเพราะเรื่องเกิดจากมาร์ตี้ที่คิดโลภหวังใช้ประโยชน์ของอนาคตมาทำกำไรในเวลาปัจจุบันด้วยการซื้อหนังสือสถิติผลกีฬาที่บอกรายละเอียดว่าใครชนะใครแพ้ได้กี่แต้มเท่าไหร่ แล้วมาร์ตี้ต้องทำไมล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องบอกน่าจะเข้าใจได้ดีเพราะมาร์ตี้จะเอามาเล่นพนันกวาดเงินแบบไม่ต้องลุ้นเพราะรู้ผลกีฬาแล้วน่ะสิ นี่แหละด้านมืดของมาร์ตี้ที่อยากรวยโดยไม่ได้คำนึงคิดถึงผลกระทบว่าถ้ากลับไปรวยแล้วจะเป็นยังไงต่อ โชคดีที่ด็อกผู้ซึ่งต่อให้ดูเพี้ยนแต่มีสติตลอดได้เตือนมาร์ตี้ว่าการมาช่วยลูกเท่ากับเสียเวลาเปล่า อีกทั้งจะทำให้อนาคตเปลี่ยนไปด้วย อาจถึงขั้นเลวร้ายกาลเวลาดับสูญก็ได้(ด็อกกล่าวไว้) ทว่าบีฟรู้ในสิ่งที่ทั้งสองพูดแล้วฉวยโอกาสแอบใช้รถเจาะเวลาไปอดีตบอกตัวเองว่านี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปและระวังตัวให้ดีเพราะจะมีนักวิทยาศาสตร์ท่าทางเพี้ยนกับเด็กหนุ่มมาถามถึงหนังสือเล่มนี้


ช่างเป็นตัวร้ายที่ไร้สมองแต่ไม่กลวงเลยซะทีเดียว ในภาคแรกเห็นชัดว่าเป็นพวกชอบใช้กำลังขู่เข็ญ พอมาแก่ตัวลงยังคงเป็นตาแก่นิสัยเสียเช่นเคยซ้ำยังประสบเคราะห์กรรมลูกตัวเองไม่ต่างจากตนสมัยหนุ่ม แล้วไม่รู้ยังไงที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดผิดพลาดของเรื่องนี้ที่บีฟใช้รถเจาะเวลาเป็น พอขึ้นรถได้ทันทีก็ไปอดีตเฉยเลยทั้งที่มีเพียงมาร์ตี้กับด็อกที่รู้ว่าใช้ยังไงบ้าง อาจเป็นข้อผิดพลาดเล็กๆแต่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเพลินกับการเล่าเรื่องแบบนี้มากกว่า และอีกคนที่โผล่มาภาคแรกแต่ไม่มีความสำคัญอะไรนักนอกจากเป็นเจนนิเฟอร์ (Elisabeth Shue) แฟนของมาร์ตี้ที่เพิ่มบทบาทมากขึ้นในภาคนี้ ทว่าความรู้สึกตั้งใจใส่มาเพื่อต่อยอดมุขขำขันมากกว่าเพราะสุดท้ายตัวหนังก็ทิ้งบทตัวละครนี้แล้วให้ความสำคัญไปกับการผจญภัยระหว่างมาร์ตี้กับด็อก นึกแล้วน่าเสียดายเพราะในเรื่องค่อนข้างน่ารักทีเดียว(เดิมทีในภาคแรกคือ Claudia Wells โดยส่วนตัวชอบคนนี้มากกว่า)

สุดท้ายการผจญภัยข้ามเวลาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่นอกจากการคลี่คลายปัญหาที่วุ่นวายผูกเป็นลูกโซ่มากขึ้น ซับซ้อนขึ้น และเสี่ยงกว่าเดิม กระนั้นต้องชื่นชมในความเนียนอีกครั้งกับเรื่องรถเจาะเวลาที่หลังจากจบภาคแรกที่ด็อกไปปี 2015 ก็กลับมาหามาร์ตี้ในปี 1985 อีกครั้งด้วยสภาพรถที่ปรับปรุงใหม่ที่ไม่ต้องใช้พลังงานพลูโตเนียมจากนิวเคลียร์อีกต่อไป แต่เป็นพลังงานที่ได้จากการรีไซเคิลจากขยะที่หาได้ง่ายๆผิดกับภาคแรกที่หาพลังงานไม่ได้เลยนอกจากไปเอาพลังงานฟ้าผ่ามา นับว่าปัญหาเรื่องพลังงานที่ต้องใช้เยอะแต่หายากถูกตัดไปได้อย่างน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังดัดแปลงให้ไกลไปอีกด้วยการทำให้รถเจาะเวลาที่วิ่งบนถนนที่ต้องใช้ความเร็ว 88 ไมล์นั้นกลายเป็นเหาะได้แบบไม่ต้องพึ่งถนนอีกต่อไป ด็อกไปอนาคตหนเดียวได้กำไรมาเพียบเลย ทำให้อุปสรรคจากภาคแรกไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไปในภาคนี้ที่ล้ำไฮเทคขึ้น เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่นอกจากจะดูใหม่มีไอเดียแล้วยังรู้สึกถึงความหลากหลายมีสีสันช่วยเพิ่มอรรถรสน่าดูขึ้นอีกหลายเท่า เท่านั้นยังไม่หมดเพราะยังได้ความรู้สึกเต็มอิ่มไปกับการท่องเวลาที่มากขึ้นจนไม่แตกใจถ้าภาคนี้ลงทุนมากขึ้นจากเดิมเป็นประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


การดำเนินเรื่องฉับไวเช่นเคยไม่ยอมให้ผู้ชมได้พักหย่อนใจกับความสนุกที่มีมาอยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่อง มีการกัดจิกภาคแรกด้วยการนำเหตุการณ์ในภาคแรกมาประยุกต์ใช้ราวกับเกิดขึ้นจริงได้อย่างน่าเหลือเชื่อจนกลมกลืน อีกทั้งยังทำให้ผู้ชมรู้สึกอินกับความสนุกอย่างเช่นมุขตลกที่ใส่ได้อย่างลื่นไหล แต่ที่ทำให้การดำเนินเรื่องสนุกนั้นต้องยกนิ้วอีกครั้งให้กับการแสดงของ Christopher Lloyd ในบทด็อกที่แสดงถึงความซีเรียสอย่างจริงจัง และยังคงคาแร็กเตอร์เป็นนักวิทยาศาสตร์ท่าทางเพี้ยนๆเช่นเคย และอีกครั้งกับ Michael J. Fox ในบทมาร์ตี้เจ้าหนุ่มไฟแรงที่หนนี้ตัวหนังได้เปิดอีกนิสัยที่เรายังไม่เคยเห็นได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขาก็คือเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีผิดพลาดกันได้บ้างจากอารมณ์ชั่ววูบ ส่วนทางด้านนักแสดงอื่นๆยังคงวางตำแหน่งกันได้เหมาะสมกับบุคลิกแต่ละตัวดีอย่างไม่มีปัญหา ทางเอฟเฟคยังว่ากันตามยุคสมัยแต่ภาคนี้ใช้มากกว่าภาคก่อนโดยเฉพาะช่วงเวลาของอนาคตที่เราจะได้เห็นมาร์ตี้ใช้สเก็ตบอร์ดไร้ล้อ นับว่าเป็นภาคต่อที่สร้างความสนุกได้แทบไม่ลดระดับลงไปเลยสักนิดเดียว เว้นแต่ความน่าดูที่ลดน้อยลงไปในบางส่วนเพราะถูกใช้ไปเยอะมากแล้วกับภาคแรก ดังนั้นความสดใหม่หรือลีลาการขนประเด็นมุขต่างๆจึงดูเรียบง่ายไปบ้างแต่โดยรวมแล้วยังบอกได้เต็มปากว่า"ไม่ควรพลาดชมแต่อย่างใด"
 
 
Back to the Future Part II คือการเดินเรื่องต่อเนื่องจากภาคแรกที่จบลงด้วยการทิ้งเชื้อที่น่าค้นหา ดังนั้นการรับความสนุกอย่างเต็มอิ่มส่วนหนึ่งใหญ่ๆจะต้องชมภาคแรกมาก่อนทั้งสิ้น เนื่องจากมีหลายอย่างที่ภาคแรกได้สร้างบรรทัดฐานให้กับผู้ชมเอาไว้ให้อยู่ในกรอบของเนื้อเรื่องทั้งหมด ฉะนั้นแล้วนี่คือการขยายความสนุกที่ก้าวไกลมากขึ้นหลายเท่าให้สมกับความเป็นไซไฟอย่างเต็มตัว สรุปคือห้ามพลาดนั่นแหละ
 

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)