Kiss of the Dragon (2001) จูบอหังการ ล่าข้ามโลก

Kiss of the Dragon (2001)
จูบอหังการ ล่าข้ามโลก
Director: Chris Nahon
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: B

ในปีเดียวกันมี The One (2001) ที่สร้างความมันส์และบ้าพลังแถมยังวาบมิติไปที่ไหนๆก็ได้ ถ้านั้นคือการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกไปกับการผสมเอฟเฟคเข้าช่วย เราอาจสนุกกับเรื่องนี้ในแบบปกติด้วยกังฟูในระดับที่พอดีกันดีกว่า เนื้อเรื่องกล่าวถึงหลิว ฉวน (Jet Li) เจ้าหน้าที่พิเศษจากจีนเดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อร่วมมือกับฌอง ปีแอร์ ริชาร์ด (Tcheky Karyo) ผู้บัญชาการตำรวจท้องถิ่น เพื่อจับผู้ลักลอบค้ายาเสพติดข้ามชาติ


เรื่องก็ว่าซื่อๆเหมือนจะไปด้วยดีตามแผนหลังจากทำภารกิจใกล้ลุล่วง แต่แผนพลิกตลบหลังเมื่อริชาร์ดลงมือฆ่าคนร้ายลักลอบยาตายเหี้ยนกันไปหมดเพื่อหวังของมาเป็นของตัวเองทำกำไรงามๆจากนั้นโยนความผิดไปให้อาตี๋หลิวเป็นแพะรับบาปว่าเป็นคนทำแผนพังและฆ่าทุกคนอย่างที่เห็น ทำให้หลิวต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อหาหลักฐานมาแก้ต่างกับตัวเองว่าทั้งหมดเป็นการสร้างภาพเพื่อให้เขาเป็นคนผิดทั้งที่ความจริงนี่เป็นแผนหาแพะเท่านั้นเอง แต่โชคได้ช่วยเอาไว้เมื่อมีเจสสิก้า คาเมน (Bridget Fonda) หญิงโสเภณีที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้นหลิวจึงต้องการตัวเธอเพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายเพราะเขาเองถูกตามล่าแบบให้ตายไปข้างหนึ่งกันเลยทีเดียว

จัดว่าสนุกอิ่มปากเลยก็ว่าได้ในแง่ความพอดีที่ไม่ต้องบู๊เกินไปเว่อร์เกินไปหรือแม้กระทั่งทำให้ดูเหมือนฮอลลีวูดมากทุนสร้างยัดใส่เอฟเฟค CGI เพื่อให้ออกมามากลูกเล่น ในขณะที่ตัวเนื้อเรื่องก็เล่าแบบไม่รอช้าปล่อยของกันตั้งแต่เริ่มเรื่องกับภารกิจหลอกๆอย่างรวดเร็วและใส่ฉากแอ็คชั่นโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลาว่าเมื่อไหร่ความสนุกจะเกิดขึ้นเสียที ซึ่งอันนี้ตอบโจทย์ได้ดีกับพล็อตเรื่องที่คล้ายจะไม่เท่าไหร่แต่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเกริ่นนิดนึงว่าใครเป็นใครแล้วมาทำอะไรจากนั้นก็โยนฉากแอ็คชั่นสนุกๆผสมลีลาหลบหลีกได้อย่างมันส์เดือด โดยส่วนตัวกับ The One เป็นอะไรที่ดีกว่าหลายอย่างโดยเฉพาะเนื้อเรื่องกับฉากแอ็คชั่นที่ไม่นอกเรื่องดีและยังดูสดไม่ใช่เอฟเฟคทำให้เวลาสู้กันก็เลยออกมาจริงตามสเต็ปคิวบู๊ จะว่านะกับบุคลิกของ Jet Li ในเรื่องนี้น่าจะเข้าท่าเข้าทางที่สุดแล้วเรื่องหนึ่งที่วางมาดนิ่งๆไม่ได้ออกมาดูซื่อแบบหลายๆเรื่องที่ผ่านมาจนบื้อเกินไป ในขณะเดียวกันในความนิ่งก็มีส่วนที่อ่อนโยนเก็บซ่อนเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากตอนที่เจอเจสสิก้าอยู่หน้าร้านแล้วขอเข้าห้องน้ำ ว่าตามตรงคงเป็นช่วงเวลาเดียวที่ได้ทำให้เห็นอาการอาการเขิลแล้วล่ะมั้งเพราะนอกนั้นออกแนวซีเรียสตลอดเวลา


สไตล์ออกมาตรงตามสูตรสำเร็จโดนหักหลังแล้วหนีจากนั้นหาทางพิสูจน์ตัวเองโดยมีพยานสำคัญที่ต้องรักษาเอาไว้จากการถูกตามล่า หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเนื้อเรื่องยังไม่ถือว่ามีอะไรแปลกอะไรนอกจากการใส่ความฉลาดเกมโกงของตัวร้ายที่ปิดทางทุกวิถีทางจนน่าแปลกเหลือเกินว่านี้คือมือหนึ่งของปารีสเมืองน้ำหอมงั้นสินะ เพราะอะไรนั้นนอกจากความเป็นตัวร้ายที่โหดเหี้ยมตามบทบาทแล้วยังส่อแววความเล่ห์เลี่ยมแบบเห็นแก่ตัวอย่างสุดๆซึ่งนี่คือตำรวจนะเออ แต่ที่น่าเห็นใจหน่อยคงเป็นการสอดแทรกระบบการทำงานที่เสื่อมของตำรวจที่หากำไรจากหญิงขายตัว ซึ่งเจสสิก้าคือเหยื่อหนึ่งในนั้นที่หนีวังวนนี้ไม่ได้ต่อให้มีลูกแล้วก็ตาม นั้นจึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่เจสสิก้าจะไม่ยอมช่วยหลิวอย่างเต็มที่หากไม่ไปช่วยลูกสาวของเธอเสียก่อน แน่นอนว่าหลิวต้องตัดสินใจไปช่วยลูกสาวที่ถูกพัดพรากนี้ออกมาจากสถานเลี้ยงเด็ก และแน่นอนอีกว่าเรื่องไม่ได้ง่ายเพราะริชาร์ดรู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องมาเอาตัวลูกสาวจึงดักไปก่อนหน้านี้ โดยส่วนตัวชอบจุดนี้นิดนึงเพราะตัวร้ายตามทันฝ่ายพระเอกได้ดีทำให้เกิดการปะทะกันบ่อยๆจนหนังออกมามันส์แบบไม่ฝืนยัดเข้ามาเพื่อความเป็นแอ็คชั่น แค่ดำเนินไปตามเรื่องพยายามหลบแต่สุดท้ายต้องสู้นี่แหละที่มันส์ดี เหมือนมีช่วงเซอร์ไพรส์


เรื่องคิวบู๊ทำได้ดีทำให้คิดอยู่ว่าตอนสู้กันทำไมไม่ใช้ปืน ซึ่งนี้เป็นคำตอบกลายๆทำนองว่ามันไม่เท่และแน่จริง(ดูอย่างตอนเตะลูกพูลที่ไม่ใช่แค่ดูเท่อย่างเดียวหากเป็นการแก้สถานการณ์อย่างรวดเร็วอีกด้วย) จะมีฉากแอ็คชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่คิดว่าออกจะคุ้นๆพอสมควรกับฉากหลบลูกน้องริชาร์ดแล้วมาเข้าห้องฝึกซ้อมของตำรวจอย่างไม่ตั้งใจและแต่ละคนคาราเต้สายดำทั้งนั้นเลย จึงมีความรู้สึกว่าถ้าเป็นยิปมันล่ะก็มันจะเหมือนฉากไปถล่มพวกญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว(แต่นี่ปารีสนะ)

ส่วนฉากที่จัดว่ามันส์ที่สุดคือตอนสู้กับคนผมขาว 2 คนชื่อ Didier Azoulay กับ Cyril Raffaelli กับรายแรกไม่เป็นที่รู้จักกันนักนอกจากคนหลังที่ต่อมากลายเป็นที่จดจำทันทีในบทบาทหนุ่มฟรีรันนิ่งในเรื่อง District B13 (2004) นับเป็นช่วงที่สู้กันได้มันส์และสนุกที่สุดของเรื่องเพราะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อดี ไม่เหมือนคนอื่นๆที่เอาปืนยิงไล่กวดแต่นี้วัดกันที่ฝีมือล้วนๆ(แม้จะ 2 รุม 1 ก็เหอะ) เรื่องแอ็คชั่นไม่มีปัญหาเพราะมันส์แน่ๆแต่จะเว้นๆหน่อยคงเป็นเนื้อเรื่องที่ยังไม่ค่อยกลมกลืนเท่าไหร่ มีปมบ้างดราม่าหน่อยจนบางทีความสัมพันธ์บางอย่างมันขาดหายไป อย่างความสัมพันธ์ระหว่างหลิวกับคุณตา (Burt Kwouk) ที่ให้ที่พักอาศัยหลบซ่อนและเป็นสายย่อยๆให้กับจีน ซึ่งถ้าหนังปูแน่นกว่านี้อีกหน่อยคงเก็บอารมณ์ส่วนนี้ได้พอควรและไปกับช่วงเวลานั้นได้


พูดถึงนักแสดงอย่างตัวโกงของเรื่องคือ Tcheky Karyo ที่แสดงได้สมกับตัวร้ายที่ชอบวางแผนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จ อันที่จริงเรื่องมันแปลกๆตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วที่หลิวมาถึงจากนั้นขอปืนแถมท่าทางอารมณ์ออร่าก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ตัวดีแน่นอน ด้วยเหตุนี้ทำให้เดากันได้แต่ดีที่เรื่องเล่าไวไม่ขัดกับอารมณ์ของผู้ชม ส่วน Bridget Fonda ไม่ต้องพูดถึงแสดงดีอยู่แล้วและยังแสดงได้น่าสงสารอีกด้วยถึงแม้จะเป็นโสเภณีข้างถนน แต่เรื่องของเรื่องคือที่ทำไม่ใช่เพราะอยากทำแต่ทำเพราะจำเป็นจากการถูกบังคับมาอีกทีและยังมีลูกสาวมาข่มขู่อีกก็ยิ่งน่าเห็นใจ Kiss of the Dragon เป็นหนังดูสนุกกับฉากแอ็คชั่นกังฟูของ Jet Li ได้อย่างเพลิดเพลิน มีอารมณ์อื่นๆผสมนิดผสมหน่อยให้ออกมาหลากหลายอารมณ์ กับเรื่องนี้คงไม่มีอะไรมากนอกจากเป็นการบอกถึงความเป็นฮอลลีวูดในระดับที่ดีไม่เว่อร์หรือใส่ลูกเล่นเกินไป แถมพล็อตเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากตามสูตรท้องเรื่อง จะมีก็คือความมันส์การต่อสู้ด้วยทักษะล้วนๆ ที่สำคัญพระเอกมีอาวุธประจำตัวคือเข็มที่สร้อยคอมือที่จัดว่าแปลก แต่จะสะใจอย่างยิ่งในตอนจบที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจความหมายของจูบมังกรตามชื่อเรื่องมีที่มายังไงกันแน่

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)