About Time (2013) ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก

About Time (2013)
ย้อนเวลาให้เธอ(ปิ๊ง)รัก
Director: Richard Curtis
Genres: Comedy | Drama | Fantasy | Romance | Sci-Fi

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ง่ายๆสำหรับเรื่องนี้จะแบ่งประเด็นหลักๆอยู่ 2 อย่าง คือตัวเองกับครอบครัว ในส่วนแรกเกี่ยวกับตัวเองนั้นจะหมายถึงทิม (Domhnall Gleeson) ชายหนุ่มที่เล่าชีวิตของตัวเองในแบบที่น่าจะดีกว่านี้ได้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ มีหลายอย่างในตัวเขาที่รู้สึกขาดๆแม้จะอยู่กับครอบครัวหรือมีคนที่ชอบอย่างชาร์ล็อตต์ (Margot Robbie) ทว่านั้นก็กลายเป็นความรักที่ผิดหวังทั้งที่มันควรจะใช่สำหรับเขาแล้วแท้ๆ จนสุดท้ายในวันที่ต้องออกจากบ้านจากครอบครัวเข้าเมืองไปงานทำเป็นทนายความชีวิตของเขาก็พบจุดเปลื่ยน


จุดเปลี่ยนที่ทำให้รู้สึกได้ว่าไฟในตัวได้เกิดขึ้นอีกครั้งจากความเปลี่ยวเหงาที่ต่อให้อยู่ในเมืองมากผู้คนก็มิอาจหาใครรู้จักได้ คนนั้นคือแมรี่ (Rachel McAdams) ผู้หญิงที่พบในชั่วข้ามคืนได้พบได้เห็นด้วยสายตาเหมือนบอกว่าใช่ คือเธอแน่นอนคนนี้แหละ และด้วยความสัมพันนี้เองที่พาเขาและเธอมาอยู่ด้วยกัน ผ่านเรื่องราวมิอะไรต่อมิอะไรมากมาย ทว่าสำหรับทิมแล้วนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาพร้อมเผชิญเกี่ยวกับความรักแต่นี่หมายถึงชีวิตทั้งชีวิตที่เขาต้องสร้างขึ้น ชีวิตที่ถูกกำหนดไว้โดยเขาเป็นคนตัดสินใจว่าควรจพให้มันเกิดขึ้นต่อไปหรือปล่อยมันไป นั้นเพราะทิมมีพลังพิเศษสามารถย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ตัวเองยังจำได้ ซึ่งพลังนี้แรกเดิมนั้นเขาเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเรื่องแบบนี้มาก่อนและไม่คิดว่าจะใช่เรื่องจริงเพราะมองว่าคงเป็นเรื่องตลกที่ถูกพ่อ (Bill Nighy) อำเล่นในวันที่เขาจะต้องจากบ้านในไม่ไม่ช้า แต่แล้วความสงสัยไม่ได้เข้าใครออกใครจนต้องทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าถ้าเป็นเรื่องตลกมันคงเป็นอะไรที่ขำไม่ออก แต่ถ้าใช่เรื่องจริงจะเป็นเรื่องน่าขำมากๆ และเรื่องตลกก็เกิดขึ้นกับทิม

การค้นหาความรักนั้นเราไม่ปฏิเสธเลยว่ามันจะต้องควบคู่กับเวลาเสมอ ยิ่งเราใช้เวลามากเท่าไหร่กับการค้นหาก็ยิ่งรู้สึกมีความต้องการมากขึ้น และเมื่อใดที่สิ่งเรามุ่งมั่นในรักนั้นต้องช้ำใจจะกลายเป็นหนามเล็กๆแทงเข้ามาหรือบางทีอาจจะเป็นโซ่ที่รอยผูกเอาไว้ สำหรับทิมที่ผิดหวังในรักครั้งก่อนไม่ไดเป็นเช่นนั้นแต่หากปรับตัวว่าบางทีนี่ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะได้มา อาจจะต้องรอสักหน่อยเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเรา ดังนั้นทิมจึงยังศรัทธาในความรักในครั้งต่อไปโดยมีความคิดเล็กๆหน่อยนึงว่าเวลานั้นมาถึงคงจะรู้เองนั่นแหละ และคนนั้นคือแมรี่สาวสวยที่เขาพยายามทุกอย่างเพื่อทำให้เธอรับรักเขาเช่นเดียวกับที่เขารู้สึกว่าใช่เธอ ทว่ากว่าจะได้คำว่าประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักแต่หากในวันๆหนึ่งจะมีเรื่องราวเข้ามามากมาย ยิ่งเป็นเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันด้วยแล้วคนเราก็มักจะพลาดเรื่องใดเรื่องนึงไปด้วยเช่นกัน สมมติตอนนี้ฉันช่วยเพื่อนที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรงละครที่เกิดนักแสดงจำบทที่เขาเล่นไม่ได้จนทำให้งานออกมาล้มเพียงเพราะนักแสดงขาดความรับผิดชอบหรือบทมันซับซ้อนเกินไปแล้วล่ะก็เราอาจจะเสียเรื่องหนึ่งไปอย่างเรื่องรัก


เรื่องรักในคืนที่พบกับแมรี่ได้ทำความรู้จักด้วยคำพูดผ่านเสียงไปมาท่ามกลางความมืดเหมือนเป็นคืนลองใจแลกเปลี่ยนความคิด ยิ่งพูดคุยกันมากก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น และเมื่อเจอหน้ากันยิ่งไม่ต้องไปบอกปฏิเสธว่ายังแต่ตอนนี้เลย อย่างน้อยขอเบอร์ไว้ติดต่อก็ดีเหมือนกัน นั้นจึงเป็นประเด็นเล็กๆระหว่างเรื่องของตัวเองที่พบรักที่ใช่แน่ๆกับช่วยทำให้ใครบางคนสำเร็จในชีวิตจะเลือกอย่างไหนดีกว่ากัน ทว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกและทิมเก่งที่จะใช้ประโยชน์ในการย้อนเวลาไปกลับได้ราวกับทำให้เกิดขึ้นได้ขอแค่ช่วยบอกเวลาที่เกิด สถานที่ให้ถูก เพียงแค่นั้นก็สามารถวาปไปได้แม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ตาม นั้นจึงเป็นประเด็นเกี่ยวกับทิมที่เลือกใช้ชีวิตแบบไร้ข้อกังขา ไม่ประสบข้อผิดพลาด ไม่แม้กระทั่งจะทำให้เรื่องแย่ๆเกิดขึ้นกับชีวิตได้ สุดแสนจะเพอร์เฟคเสียจริงในการมีความสามารถย้อนเวลาไปมาได้ แต่ปัญหาเห็นจะมาจากการไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นสักครั้ง

สังเกตได้ว่าทุกครั้งที่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจำต้องรีบไปหามุมมืดๆเพื่อย้อนเวลาตัวเองแล้วแก้ไขไม่ให้เรื่องร้ายๆหรือข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเคยชินแต่ไม่ถึงกับว่าหมดความเคารพต่อศักดิ์ศรีในความจริง บางครั้งทิมไม่เลือกย้อนเวลาไปแก้ไขบางทีเขาเลือกจะปล่อยผ่านไปเพราะไม่ใช่เราเลี่ยงได้แต่เราต้องผ่านสิ่งนี้ไปสักวันอาจไม่ใช่วันนี้ก็ต้องพรุ่งนี้วันใดวันหนึ่งแน่นอน สิ่งปรารถนาที่สุดสำหรับทิมในช่วงๆแรกมาจากความเหงา ไม่มีใครที่อยากรักทั้งที่มีคนรักเขามากมายเพียงแค่คนที่ขาดไปคือคู่ชีวิต


การได้สร้างครอบครัวคือจุดสูงสุดที่ทุกชีวิตต้องมีและเจอเข้าสักวัน ในที่นี้คำว่าครอบครัวหมายถึงทุกคนไม่จำเป็นว่าต้องสร้างใหม่เพราะเราทุกคนเกิดมาพร้อมครอบครัวอยู่เสมอ ในหนนี้ทิมได้แมรี่มาเป็นคนรักตามที่ใจหวังไว้และยังไม่มีใครรู้เรื่องพลังพิเศษนี้ที่เป็นความลับนี้นอกจากพ่อของเขา แต่ทิมยังคงเป็นคนที่ไม่ได้ยึดอยู่กับตัวเองหากจะนำพาใครบางคนที่สำคัญย้อนเวลาไปกับเขาด้วยเช่นกัน คนในที่นี้คือคิทแค็ท (Lydia Wilson) น้องของทิมที่ท่าทางอาจจะแปลกกว่าชาวบ้านชาวช่องไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการอยากได้เอาใจใส่มากกว่าใครๆ เมื่อทิมต้องไปทำงานในเมืองและกลับมาพร้อมกับแมรี่ได้แสดงถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคิทแค็ทก็เริ่มจะปรับตัวเข้าหากับชีวิตที่จริงจังมากขึ้นและมีคนรักไม่แตกต่างจากทิม ทว่ารักของคิทแค็มแตกต่างจากทิมตรงที่เราไม่อาจรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่ตัดสินใจได้คือความรู้สึกตรงหน้ามากกว่าเท่าที่ตาเห็น ฉะนั้นรักของคิทแค็ทจึงประสบปัญหาความสัมพันธ์มีทะเลาะและเกิดเป็นรักที่ผิดหวัง เมื่อน้องสาวต้องช้ำใจและทิมเองก็รับไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้เสียใจกับความรักอันไม่หอมหวาน สุดท้ายคำขอที่ทิมขอน้องสาวนั้นก็ไม่แตกต่างจากความเซอร์ไพร์สที่พ่อบอกลูกว่า"มีพลังพิเศษในการย้อนเวลา"

ทิมเสนอตัวช่วยด้วยพลังพิเศษนี้ย้อนเวลากลับไปตั้งแต่คิทแค็ทเริ่มมีความรัก ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้คิทแค็ทเห็นแล้วว่าความรักของเธอในคืนนั้นเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหากแต่ยั้งยืนด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ เมื่อได้ตัดสินใจแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอดีตกลับมายังปัจจุบันทำให้คิทแค็มมีความสุขอีกครั้งโดยไม่มีความรักที่แสนเศร้ามากวนใจ ทว่าสำหรับทิมนี่เป็นการทำให้บางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เป็นอย่างเรื่องลูกที่ทีแรกคือลูกสาวแต่ไฉนกลับมาอีกครั้งเกิดเป็นผู้ชายไปได้ คำถามนี่เป็นประเด็นสำหรับทิมอย่างมากที่จู่ๆอนาคตถูกเปลี่ยนไปทั้งที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไรเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งหลังจากไปถามพ่อที่รอบรู้เกี่ยวเวลาเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ที่ลองมามากทำให้รู้ทันทีว่าการเกิดเด็กมาจากสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าสเปิร์ม และไม่ต้องแปลกใจหากว่าตัวที่เจาะรังไข่ไม่ใช่ตัวเดิมแต่หากเป็นตัวใดตัวหนึ่งก็ได้เพราะมีตั้งไม่รู้กี่ล้านตัวที่มุ่งไปหาไข่ ฉะนั้นทิมจึงตัดสินทบทวนตัวเองใหม่ตัดสินใจเลือกย้อนเวลากลับไปในช่วงที่ไม่มีการแก้ไขกลับให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม ไม่ช่วยคิทแค็ทแต่ปล่อยให้เข้าโรงพยาบาลเช่นเคยเพื่อให้ได้ลูกสาวกลับมา แม้การเลือกหนทางแบบนี้ฟังดูเห็นแก่ตัวไปบ้างและกลายเป็นดาบสองคมสำหรับทิมที่มองความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป แต่ถ้าลองพิจารณาดีๆนี่อาจเป็นหนทางที่ถูกต้องสำหรับคิทแค็ทเพื่อให้เธอได้รู้จักพัก รู้จักผิดหวัง รู้จักจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ มันจะกลายเป็นการฟื้นฟูจิตใจไปในตัวโดยมีทิมพยายามหาสื่อรักให้เป็นนัยๆแต่ไม่ถึงกับให้เลือกทันทีเพียงแค่พูดลอยๆเชิงแนะนำและให้ทั้งคู่ไปสนิทกันเอง และสุดท้ายรักที่ช้ำใจจากรักที่ผิดหวังเมื่อมาถูกทางจะกลายเป็นรักที่เข้มแข็งยิ่งกว่าก่อน จะกลายเป็นรักอย่างที่คิทแค็ทและทิมต้องการ


About Time จัดว่าเป็นหนังที่แสดงถึง Feel Good เป็นอย่างสูง โดยเฉพาะการทำให้เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีไปซะหมดเพราะพลังในการย้อนเวลา แต่เชื่อไหมว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีความเป็น Sci-fi เลยสักนิดเดียว จะมีฉากเดินเข้าไปในตู้มืดแล้วหลับตากำหมัดแน่นๆนึกถึงช่วงเวลาที่เราอยากไปก็ถึงในทันทีเพียงแค่เปิดตู้ก็กลายเป็นอีกเวลาตามที่คิดเอาไว้ในหัว มีอยู่แค่นั้นสำหรับพลังพิเศษนี้ไม่ต้องไปพึ่งเอฟเฟคใดๆเข้ามาทำให้หนังดูตื่นเต้นแค่ให้เราอนุมานคิดตามตัวละครก็รู้ผลลัพธ์ที่เกิดโดยไม่ต้องสงสัย

นับว่าเป็นหนังรักที่ทำได้ไม่นอกเรื่องไม่ออกทะเลทั้งที่มีเรื่องย้อนเวลาเข้ามาด้วยแท้ๆ ถือว่าคุมเรื่องราวได้ดีมากๆ และยิ่งไปอีกคือถ้ามองดีๆนี่จะเป็นหนังของฝ่ายชายเสียมากกว่าเพราะมุ่งเน้นไปที่บทบาทของฝ่ายชาย ในขณะที่ฝ่ายหญิงเองก็มีแต่ไม่ได้ผูกพันยาวอะไรนักแต่จะมองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และส่งผลต่อความรักได้มากพอกับกำหนดอนาคตทั้งชีวิตได้ อาทิ การมีลูก จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่แมรี่ถามทิมจะเอาลูกเพิ่มอีกคนหนึ่งเพราะเธอต้องการมีลูกสองคน ในช่วงเวลานั้นทิมคิดไตร่ตรองควรจะตอบไปยังไงดี สมควรตกลงหรือรอก่อน ในฉากนี้เห็นค่อนข้างชัดในความหมายของคำว่า"หัวหน้าครอบครัว"ในการตัดสินคิดหนทางไปต่อของอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยังไงทิมสามารถย้อนเวลาไปได้หากการมีลูกทำให้เกิดอุปสรรค แต่สิ่งนั้นทิมไม่มีทางทำแน่นอนในเมื่อให้กำเนิดมาแล้วเรื่องอะไรเขาต้องทิ้งไปด้วย การตอบตกลงหมายถึงการยอมรับความลำบากที่เพิ่มมากขึ้นและยอมรับจะไม่ไปแก้ไขอดีตเพื่อความสุขตัวเองหากความสุขนั้นมาจากตัวน้อยทั้งสองคนที่กำเนิดขึ้น


ปลาบปลื้มและซึ้งใจไม่มีใครที่ดูเรื่องนี้แล้วจะรู้สึกเฉยๆไปได้ สำหรับหนังเรื่องนี้ได้พูดถึงความรักที่ไม่ได้เกิดจากรักสองคนเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือครอบครัว การได้เห็นทิมย้อนเวลาไปกับพ่อคือสิ่งสุดท้ายที่ทิมทำได้ก่อนพ่อจะเสียไปด้วยมะเร็งจากการใช้ชีวิตที่ขาดความพอดีเกี่ยวกับพลังพิเศษที่ใช้ไม่ดูหนทาง แน่นอนว่าพ่อของทิมได้อธิบายอย่างดีเกี่ยวกับพลังที่ควรใช้ให้ถูกทาง ในฉากทิมย้อนเวลากับพ่อไปสู่สมัยทิมยังเด็กคือฉากที่เติมเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อให้ผู้ชายอกสามศอกอาจต้องมีน้ำตาซึมกันบ้างล่ะในความสัมพันธ์นี้ที่สุดแสนจะบอกได้ยาก มันเป็นเรื่องของลูกชายกับพ่อระหว่างสองที่รู้ๆกัน แน่นอนเราผู้ชมที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นก็ต่างทราบเป็นอย่างดีในความผูกพันนี้ที่หารักใดมาเปรียบระหว่างพ่อลูก บางทีการได้นักแสดง Bill Nighy มาเล่นเป็นพ่อคือเรื่องที่ถูกหลักเพราะดูมีพลังเป็นอย่างมาก อาจไม่ถึงกับได้อารมณ์แต่การสอดคล้องกับบรรยากาศกับช่วยให้ทุกสิ่งเป็นธรรมชาติหลงไปกับการแสดงได้ แม้หนังจะนิ่งไปเรื่อยๆตามสไตล์หนังรักที่ให้ผู้ชมได้ซัมซับเหล่าตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆแต่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเห็นอะไรหลายอย่างมากขึ้นต่อให้มิติหนังส่วนใหญ่จะเทไปที่ทิมก็ตามแต่ทุกอย่างล้วนเข้าหากันได้หมด เช่นเดียวกับตอนที่เจอชาร์ล็อตต์ในเมือง คนรักที่มิเคยปรารถนาจะบอกรักและคบกับเธอมาเนินนานแต่สุดท้ายต้องจากกันและไม่ได้เจอกันอีกเลย มาครั้งนี้เหมือนชาร์ล็อตต์จะมีใจให้กับทิมผิดกับครั้งแรกๆจนทิมเองก็รู้สึกได้ ทว่าทิมไม่เลือกชาร์ล็อตต์แต่หากมองว่าเป็นปมในใจชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ต้องข้ามไปให้ได้ข้ามความรู้สึกที่เคยมีแล้วอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับแมรี่คนที่เขามองว่าคือคนสุดท้าย


อนึ่งชอบทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ การดำเนินเรื่องอาจพาหลับไปบ้างแต่ด้วยความต่อเนื่องทำให้หาจุดสะดุดไม่ค่อยได้ยิ่งให้ความสำคัญแต่ละช่วงเหตุการณ์แล้วยิ่งพลาดไม่ได้เลยสักฉาก การแสดงระหว่าง Domhnall Gleeson กับ Rachel McAdams เข้าคู่กันได้ดีเป็นธรรมชาติอย่างมาก ยิ่งได้เห็นการแต่งงานที่เต็มไปด้วยลมพายุด้วยแล้วยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ถามทำไมถึงชอบฉากนี้เพราะมันคือฉากที่ทิมปล่อยให้เกิดขึ้นในวันแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องย้อนเวลาปรับแก้ไขเลื่อนวันแต่งงานเพราะวันนั้นคือวันสำคัญ

ทุกคนควรมีความสุขกับงานนี้แม้จะวุ่นวายไปบ้างแต่ไม่เห็นมีใครเสียใจเลย ดูแล้วต่างมีความสุขในมุมมองที่ต่อให้มีอุปสรรคยากเย็นแค่ไหนถ้าเรามีความสุขกับสิ่งนั้นทุกอย่างก็ลงตัวกลายเป็นความสุขที่มีค่า เวลาไม่ได้กำหนดทุกสิ่งหากเป็นเราที่รู้จักคำว่า"พอดี" นี่คือคำสอนครั้งสุดท้ายจากพ่อที่บอกลูกชายให้ใช้เวลาอย่างปกติ ไม่จำเป็นต้องพลังย้อนเวลาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดแต่อยากให้กลับมารับความรู้สึกแบบนั้นอีก ให้รู้จักคำว่าลำบากมีอุปสรรคที่เราไม่แก้ไขด้วยพลังแต่แก้ไขด้วยตัวเอง ย้อนเวลาไปหาจุดที่ยากที่สุดของแต่ละช่วงชีวิตเพื่อให้เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีต่อจิตใจ รู้จักยอมบ้างปล่อยว่างบ้างแล้วความทุกข์จะไม่ใช่สิ่งที่ดึงรั้งแต่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้มีความสุขและสนุกกับมัน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)