The Villainess (2017)

The Villainess (2017)
Byung-gil Jung
Genres: Action | Thriller
Grade: A-

ไม่พูดพร่ำทำเพลงแค่เอ่ยปากถามว่า"นั่นใคร"ก็ลงมือฆ่ากันแบบต่อเนื่องไม่พักไม่เหนื่อยทั้งปืนทั้งมีดกันอย่างเลือดสาดจุใจร่วมประมาณ 8 นาที แต่นั่นยังไม่เท่ากับเป็นฉาก Long Take ที่ฟัดเหวี่ยงกันเต็มเหนี่ยวแบบเน้นๆ ซึ่งก็เริ่มด้วยมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือแทนสายตาตัวละครราวกับเล่นเกมยังไงอย่างนั้น แล้วมาเปลี่ยนเป็นบุคคลที่สามที่เราจะได้เห็นหน้าตาตัวละครแบบเต็มๆที่ต้องตะลุยต่อสู้กับกลุ่มผู้ชายหลายสิบคนทั้งที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว จากนั้นเรื่องจบลงที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับก่อนจะได้รับความสนใจจากรัฐบาลในเรื่องฝีมือเพื่อฝึกเป็นนักฆ่ามืออาชีพ นามว่า ซุกฮี (Ok-bin Kim)


สำหรับใครที่ไม่ถนัดดูหนังประเภทถ่ายซีนยาวต่อเนื่องแบบ Long Take อาจต้องมีมึนหัวกันบ้างเพราะฉากแอ็คชั่นทั้งหมดส่วนใหญ่จะลุยกันแบบเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาขึ้นลงไปมา จะไม่ถือกล้องนิ่งๆและเข้าไปประชิดตัวที่ต้องหลบหลีกตามคิวบู๊ จึงไม่แปลกใจถ้าดูแล้วจะเกิดอาการ Eye-Popping เพราะต่อเนื่องจนไม่น่าต่อได้และตื่นตาไปกับฉากต่างๆที่เหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา นอกจากความต่อเนื่องก็ยังเล่นกับสายตาผู้ชมด้วยภาพแบบเลนส์ Fisheye ทั้งนี้กับใครที่ไม่ชินแล้วเกิดอาการเวียนหัวอาจจะต้องทำใจกันหน่อย แต่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องประสาทรับรู้ก็รับประกันความมันส์ได้เลย

ของดีของเด่นอยู่ที่วิธีเล่าแบบ Long Take ที่บางครั้งเหมือนตกไปอีกภวังค์หนึ่ง แต่หมดฉากแอ็คชั่นจะกลับมาเล่าเรื่องตามปกติที่หนักไปทางดราม่า โดยซุกฮีเป็นตัวละครปริศนาที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตะลุยบุกฆ่าแก็งค์มาเฟียคนเดียว ที่สำคัญแทบไม่สนใจชีวิตตัวเองด้วยว่าหลังจากนี้จะอยู่หรือตายราวกับมาแก้แค้นเท่านั้น ทว่าเรื่องราวได้เขียนช่วงชีวิตของซุกฮีให้ไปต่อด้วยเหตุผลลูกในท้องและตกลงทำงานให้รัฐบาลในฐานะนักฆ่าที่ต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อทำภารกิจแลกกับใช้ชีวิตภายนอกอย่างมีอิสระ


ถึงจะไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวละคร แต่เรื่องราวจะเฉลยทีละเล็กละน้อยด้วยวิธีเล่าสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาสำคัญ ดังนี้

สมัยเด็กและก่อนเป็นนักฆ่าของรัฐบาล - มีปมเรื่องการตายของพ่อที่แสนโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา มีความแค้นฝังใจและจะแก้แค้นให้พ่อโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เพราะไม่เหลือใครทำให้ถูกขายก่อนที่จะบังเอิญเจอ จุงซาง (Ha-kyun Shin) หรือนักฆ่ารับจ้างที่รับซุกฮีมาดูแล ซึ่งภายหลังทั้งสองพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคนรักกัน อีกทั้งซุกฮียังได้ทักษะการต่อสู้เป็นนักฆ่าล้างแค้นให้กับพ่อที่มิอาจลืมลงได้ ทว่าต้องพบปัญหาความรักที่ไม่สมหวังทำให้เธอแค้นอย่างที่สุดจนกลายเป็นฉากต่อสู้เลือดสาดอย่างตอนเปิดเรื่อง แม้ปมประเด็นจะเรียบเรียงโดยง่าย แต่ใส่ได้ถูกจังหวะทำให้ปมตัวละครถูกสะท้อนออกมาได้ลึกซึ้งผ่านการกระทำของตัวละครในช่วงเวลาปัจจุบัน

หลังเป็นนักฆ่ารัฐบาล - ซุกฮียอมรับการฝึกฝนเพื่อใช้ชีวิตอยู่กับลูก แน่นอนว่าด้วยทักษะที่มีอยู่ก่อนแล้วทำให้อยู่เหนือกว่าคนอื่นๆจนได้ออกภาคสนามและปฏิบัติภารกิจอย่างไม่ยากลำบากจนเกินไป ผลที่ได้รับคืออิสระในการใช้ชีวิตอยู่กับลูก กระนั้นการปล่อยนักฆ่าที่ฝึกมาอย่างยาวนานยังไม่อาจละสายตาไปได้และให้ ฮยอนซู (Jun Sung) เจ้าหน้าที่ปลอมตัวเพื่อตีสนิทกับซุกฮี แต่แล้วการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาก็ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดและหนักหนาสาหัสกว่ากับการใช้ชีวิตจริง เพราะตัวซุกฮีต้องรับความจริงที่โหดร้ายจากการที่รู้น้อยเกินไปแม้ฝีมือจะสูงส่งก็ตาม


ฮยอนซูเป็นตัวละครที่เห็นชัดเจนเลยว่ารู้สึกยังไงกับซุกฮี สำหรับเขาคือเจ้าหน้าที่ที่มาตีสองหน้าแฝงตัวเก็บข้อมูลชีวิตประจำวัน แต่นั้นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เนื้อในแล้วคือคนที่หลงรักซุกฮีแต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ พยายามดูแลอยู่ห่างๆจากการเฝ้ามองกล้องวงจรปิด แต่แล้วในวันที่ซุกฮีออกมาข้างนอกทำให้เขากลายเป็นสายสืบที่พยายามตีสนิทโดยมีเส้นกั้นบางๆระหว่างหน้าที่กับความรู้สึก สำหรับการปลอมตัวเป็นเพียงปลอมโดยหน้าที่ แต่ความรู้สึกที่มีคือของจริงและอยากใช้ชีวิตอยู่กับซุกฮีด้วยความรัก แน่นอนว่ารวมถึงลูกของซุกฮีที่อยากปกป้องในฐานะคนสำคัญ

ถ้าว่าเกี่ยวกับฮยอนซูก็เหมือนตัวตนที่เป็นจริง การกระทำอาจจะปลอมแต่แฝงด้วยความสัตย์ซื่อ การใส่เรื่องราวความรักช่วยทำให้ช่วงสุดท้ายของหนังดูรุนแรงมากขึ้นจากความแค้นของซุกฮีที่ต้องเผชิญอะไรหลายอย่างจากการสูญเสียที่มากมายกว่าทุกคน ไคล์แม็กซ์สุดท้ายจึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ฆ่าฟันที่ไม่มีคำว่าแคร์ ขณะเดียวกันความบ้าเลือดก็เต็มไปด้วยรอยร้าวทางจิตใจที่เจ็บแล้วเจ็บอีก แม้จะไม่สะเทือนอารมณ์กันถึงที่สุดแต่ใครจะไปคิดล่ะว่าช่วงชีวิตที่กำลังสวยงามจะต้องพลิกตาลปัตรจากที่กำลังดีมาแย่ลงแทบจะทันที


ช่วงการฝึกเป็นนักฆ่าทำอะไรไม่ถนัดสักอย่างยกเว้นเรื่องการต่อสู้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่สะท้อนตัวตนของซุกฮีและทำออกมาได้สมจริง นั้นคือการแสดง บางทีการเลือกงานด้านการแสดงไม่ใช่เพราะความถนัดแต่เป็นการระบายความอึดอัดในใจ สังเกตว่าตัวตนการแสดงกับชีวิตจริงมีความคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ว่าทางไหนก็เจ็บทุกทางอยู่ดี การสร้างตัวละครอย่างซุกฮีให้ออกมาผจญโลกเพื่อหาความสวยงามนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะรอบๆตัวมีความโหดร้ายที่มีแต่การทำลายกันอย่างเดียว

คำว่ารักในหนังเรื่องนี้จึงมีสภาวะเหมือนอากาศที่รู้ว่ามีแต่จับต้องไม่ได้ ไม่รู้ว่ารักจริงหรือรักปลอม แต่คนที่เจ็บคือคนที่รับความรักนั้นมาอยู่กับตัว ถ้าเป็นของขวัญคือสิ่งสวยงาม แต่ถ้าเป็นระเบิดก็คือการทำลาย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)