บุญชูผู้น่ารัก (1980)

บุญชูผู้น่ารัก (1988)
Director: บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
Genres: Comedy
https://www.imdb.com/title/tt2464388/
Grade: A

"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง" จะใกล้ไม่ไกลแต่หนังเรื่องนี้คือหนังในดวงใจใครหลายคนที่เชื่อได้เลยว่าหนุ่มสุพรรณนามว่าเจ้าบุญชูจะทำให้ผู้ชมจดจำไม่รู้ลืม


เรื่องก็ไม่ได้เกินคำว่าไกลตัวเพราะใกล้มากๆและอาจไม่มีคำว่าใกล้เพราะมันอยู่กับตัวเรา? เอาเป็นว่าเรื่องของเรื่องคือเรื่องมันยาวและอาจจะสั้นก็ได้ถ้าชีวิตยังคงไม่สิ้นและต้องดิ้นต่อไป มาเข้าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตช่วงย่างก้าวสู่มหาวิทยาลัยที่ก่อนเราจะเข้าได้นั้นต้องเผชิญต่อความยากลำบากตรากตรำอ่านหนังสือชนิดรากงอกกันเลยทีเดียวเพื่อชื่อของตัวเองที่จะไปโผล่ในวันประกาศผลว่าจะติดคณะที่ตัวเองอยากเข้าในฝันหรือไม่ และหนึ่งในนั้นคือหนุ่มสุพรรณนามว่าบุญชู (สันติสุข พรหมศิริ) ที่อายุอาจจะมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพราะเรียนธรรมะจนจบนักธรรมเอกออกมาเป็นคนมีความซื่อสัตย์ ยึดมั่นต่อความถูกต้อง และเป็นคนดีมีแต่คนรักไม่ขาดสาย แต่นั้นไม่ใช่ความฝันอันสูงสุดสำหรับบุญชูที่เฝ้าเรียนธรรมะ เพราะอย่างหนึ่งที่ใครต่อใครต้องการคือการเรียนมหาลัยโดยมีแม่ (จุรี โอศิริ) ที่พยายามปลุกปั้นให้บุญชูออกมาขยันคอยหาเลี้ยงส่งจากการทำไร่ทำนาเสมอมา ในคราวนี้แหละที่ชีวิตต้องเรียนรู้ต่อไปเพื่อคว้าใบปริญญากลับมาสู่หมู่บ้านเป็นเกียรติของตระกูลให้แม่ดีใจ ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้สิ่งที่ต้องฝ่าฟันคือการสอบเข้าที่จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะว่ายากก็ไม่ยาก แต่ถ้าพลาดก็ต้องรอไปอีกปีเพื่อสอบใหม่ สิ่งที่ยากลำบากคือก่อนจะสอบจะต้องมีความพร้อมซึ่งเรามีความรู้มากพอแล้วหรือยัง มีความสามารถเพียงพอที่จะทำข้อสอบในคณะที่ตัวเองอยากเข้าได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญคือความมุ่งมั่นอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวความตั้งใจว่าที่ทำไปคือเราอยากจะเข้าจริงๆเพื่อเอาความรู้หรือทำไปเพื่อเอากระดาษหนึ่งใบที่มีค่าแค่บอกวุฒิเท่านั้น ประเด็นนี้อาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ก็แอบมาให้คิดอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับการเรียนต่อปริญญาตรีที่ท้ายที่สุดแล้วเราต้องการเข้าไปเพื่ออะไรระหว่างความก้าวหน้าพัฒนาตนเองกับโอ้อวดว่าตัวเองมีความสามารถทำได้ บางครั้งการบอกคนโน้นคนนี้ว่าลูกตัวเองกำลังสอบเข้ามหาลัยอาจไม่ใช่เพื่อโชว์แต่หมายถึงการให้ความหวังในโอกาสก็เป็นได้


เรื่องราวของบุญชูไม่ได้มีเพียงแค่การสอบเข้ามหาลัยแต่หลังจากนี้ในภาคต่ออีกหลายๆภาคจะมีเรื่องราวที่ขยายออกไปมากกว่านั้นโดยตั้งเนื้อเรื่องเริ่มต้นที่ภาคนี้ด้วยการสอบเข้ามหาลัยเป็นแก่นหลักของเรื่องว่าด้วยการใช้ชีวิตที่พึ่งตัวเองจากการความห่างไกลซึ่งก็คือบุญชูที่จากสุพรรณมากรุงเทพฯเพราะเรียนมหาวิทยาลัยในฝัน โดยมหาวิทยาลัยดังกล่าวคือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ตั้งเป้าตามความเหมาะสมของตนที่จะเรียนต่อคณะเกษตรเนื่องจากที่บ้านทำไร่ทำนา ในความคิดของบุญชูคือต้องการนำความรู้มาใช้ที่บ้านเพื่อให้ได้หนทางใหม่ๆเพื่อให้ชุมชนมีแต่ความเจริญกับนวัตกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ความฝันของบุญชูไม่ได้แตกต่างจากทุกคนที่มีเป็นของตัวเองพร้อมกับเหตุผลต่างๆนาๆ

ในที่นี่ไม่ได้แตกต่างกับเราทุกคนที่ต้องเลือกก่อนเข้ามหาวิทยาลัยว่าเข้าไปจะเรียนอะไรและเรียนไปทำไม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการปักหลักอย่างหนึ่งว่าตัวเองจะเรียนจนจบไม่ใช่เพื่อกับตัวเองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงคนรอบข้างที่ส่งเสียมาหลายปี แต่เรื่องราวของบุญชูไม่ได้เกิดมาเพื่อพึ่งตัวเองด้วยการอยู่ตัวคนเดียวเพราะยังคนที่คอยช่วยเหลืออยู่ไม่น้อยเฉกเช่นชีวิตในสังคมที่ต้องคบหาสมาคมเพื่อนฝูงพยายามรู้จักคนเอาไว้เผื่ออย่างน้อยมีปัญหาจะได้ช่วยกันคลี่คลายให้ง่ายขึ้น ดีกว่ามาหมกตัวแก้ปัญหาด้วยตัวเองที่สุดท้ายอาจไม่เสร็จหรือแก้ไม่สำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นเมื่อช่วงชีวิตมาถึง ณ จุดหนึ่งต้องเปลี่ยนอาจไม่ถึงขั้นต้องทำให้ทุกอย่างแตกต่างจากเดิมเพียงแค่เพิ่มโอกาสให้ตัวเองบุคคลเหล่านั้นที่นอกเหนือจากคนทางบ้านคือเพื่อนนี่แหละ แน่นอนว่าเพื่อนอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุดเพรียกพร้อมด้วยความสุภาพแต่เป็นกันเองพร้อมจะด่าว่าแกล้งกันได้ราวกับญาติมิตรสนิทกันกระนั้นก็ไม่เคยทิ้งกันแม้จะมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่นในเรื่องนี้ที่พิสดารมีแต่คนจังหวักนู้นจังหวัดนี้ต่างทำนองต่างภาษาถิ่นแต่ก็อยู่ด้วยกันเพราะสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนเข้าหากัน


นอกจากความซื่อตรงต่อการเล่าเรื่องการใช้ชีวิตตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยจนภายหลังจากภาคต่ออีกหลายภาคก็ยังสอดแทรกเรื่องมนุษย์สังคมว่าด้วยเพื่อนไม่ทิ้งกันอย่างน่าอบอุ่นซึ้งใจ โดยในเรื่องก็เริ่มเล่ามาจากการมาสอบที่ทำให้พวกเขาได้มาพบกันทีละคนสองคนอย่างบังเอิญก่อนจะสนิทยิ่งขึ้นที่มีทั้ง หยอย (เกียรติ กิจเจริญ) เพื่อนอ้วนอารมณ์ดีแต่ปากจัดไปนิด , คำมูล (กฤษณ์ ศุกระมงคล) คลั่งไคล้โบราณคดีกับชอบกินปลากระป๋อง(เป็นชีวิตจิตใจ) , นรา (อรุณ ภาวิไล) บ้าการเมืองมีแต่หลักการ(แต่ภาคหลังภาคนี้หลักการจริงๆเพราะตอนนี้ยังไม่ได้เข้าเรียนยังปกติอยู่) , ไวยากรณ์ (วัชระ ปานเอี่ยม)  ใฝ่ฝันอยากเป็นแพทย์  และมั่นคงหรือเฉื่อย (โรม อิศรา) แต่เอาเข้าจริงไม่มีใครเรียกมั่นคงนักนอกจากเฉื่อยด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องอธิบายแค่ฟังเสียงพูดก็ร้องอ่อ

นี่คือเหล่าเพื่อนต่างนาต่างที่ที่บังเอิญพบกันกันและเข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจ ด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่มุ่งเน้นเกินไปทำให้เราได้เห็ฯการกระจัดกระจายของแต่ละคนก่อนมารวมตัวกันว่าไปทำอะไรมาบ้างเพื่อเป็นการแนะนำตัวละครให้รู้จักซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกนักเว้นกับหยอยที่เสมือนตัวละครหลักของเรื่องที่ทำหน้าที่เป็นตัแทนของกลุ่มเพื่อนด้วยลักษณะท่าทางอันแสนโดดเด่นที่ไม่ใช่แค่รูปร่างหรือหน้าตาแต่ยังรวมถึงการชักจูงแสดงความคิดเห็นออกอย่างชัดเจนจนไม่แปลกที่ทำให้เรื่องบุญชูไม่ใช่กับตัวละครชื่อเดียวกับเรื่องที่ทุกคนจำได้เท่านั้นเพราะยังมีหยอยนี่แหละที่ช่วยให้ตัวหนังออกมาสนุกผสมกับความกวนอย่างเรื่องประโยคยอดฮิตที่เจ้าตัวพูดมากจนเรียกว่าเอ่ยปากคราวใดมักต้องมีหลุดปากมาบ้างกับ"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะ" ถ้าถามว่ากวนยังไงให้ลองไปตอบเพื่อนด้วยประโยคนี้แล้วจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ช่วยอะไรได้เลยแถมจะกวนอย่างมากถ้าเสริมด้วยบุคลิกแบบตอบประชดประชันจะเป็นความน่าหมั่นไส้อย่างนึง ทว่าสิ่งที่น่าจดจำที่ไม่ใช่แค่เรื่องมิตรภาพของเพื่อนเท่านั้นแต่มันต้องมีความรักเข้ามาเกี่ยวด้วยจึงจะครบรส และเรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่บุญชูที่เผอิญไปตกหลุมรักโมลี (จินตหรา สุขพัฒน์) ผู้หญิงที่เจอกันอย่างไม่ตั้งใจก่อนจะสนิทมากขึ้นจนบุญชูต้องหวั่นไหวขึ้นเกินเพื่อน


การที่บุญชูจะเข้ากรุงเทพได้นั้นก็ด้วยนายบุญช่วย (อานิรุตต์ ศิริจรรยา) ที่มาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯอยู่ก่อน จึงอาศัยบ้านพักเป็นแหล่งอยู่อาศัยกินนอนกับพี่ชายโดยไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่ตามประสาคนต่างจังหวัดมาในกรุงเทพฯที่ต้องมาหาหอเช่า ในจุดนี้ขอให้ไปโฟกัสถึงบุญช่วยหรือพี่ชายบุญชูที่ท่าทางแล้วเป็นคนมีวินัย สุขุม แต่ก็แฝงเล่ห์เจ้าชู้ด้วยกัน (ทั้งนี้มาจากการแสดงของอานิรุตต์ ศิริจรรยาที่น่าจะเรียกว่าเป็นที่เคารพอย่างมากจากบุคลิกส่วนตัว) ในเรื่องไม่ได้เป็นคนที่มีงานการดีเลิศนักเพราะเป็นคนเฝ้าท่าเรือที่คอยรับตังค์จากผู้โดยสารเรือข้ามฝาก จากในเรื่องไม่ค่อยมีอะไรมากมายให้ชวนสะดุดตาเพราะเป็นเสมือนตัวช่วยบุญชูให้รู้จักสังคมภายในกรุงเทพมากขึ้น เช่น การพูดการจาที่ต้องเป็นภาษากลางเพื่อให้ดูไม่บ้านนอกติดสำเนียงเหน่อ

การพึ่งตัวเองเพื่อโอกาสต่อความฝันในมหาวิทยาลัย แม้บทบาทของบุญช่วยจะไม่โดดเด่นมากนักในภาคนี้แต่บอกก่อนเลยว่าการแสดงของอานิรุตต์ ศิริจรรยาทำได้ดีจริงๆเหมาะกับคนมีประสบการณ์ แต่ที่ไม่แพ้กันคือมานี (ญาณี จงวิสุทธิ์) พี่สาวของโมลีที่วางมาดสาวธุรกิจดุเข้มจนน่ากลัวแต่ก็สวยคมพอประมาณตามยุคสมัยนั้นๆ ในเรื่องก็ไม่มีอะไรมากเพราะยังเป็นตัวประกอบที่ยังไม่ลงลึกมากนอกจากบอกเป็นนัยๆถึงนิสัยใจคอที่ท่าทางเป็นคนเจ้าระเบียบ ทว่าในหมู่ตัวละครในเรื่องทั้งหมดเห็นจะอดยิ้มไม่ได้ยามที่โผล่หน้าออกมาคือบัวลอย (กัญญาลักษณ์ บำรุงรักษ์) ลูกของบุญช่วยกับประโยคที่ฮิต"ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า"จนเป็นเอกลักษณ์ติดตัวไปในแทบทุกภาคที่มักเป็นตัวละครมาเพื่อแซวแอบกัดจิกตามประสาเด็ก เมื่อเราเห็นว่าตัวละครแต่ละตัวต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและความฝันกับการเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สิ่งที่น่าจะเรียกว่าเป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างคือความรักที่ในเรื่องใส่ประเด็นรักจริงไม่จริงเข้ามาให้เห็นในมุมมองต่างๆสะท้อนถึงช่วงวัยนั้น


จากในเรื่องนอกจากบุญชูที่หลงรักในโมลีแล้วก่อนหน้านี้โมลีก็มีแฟนด้วยกัน แต่ท่าทางไม่ได้หวานซึ้งอย่างที่คู่รักควรจะเป็นนักเพราะความเห็นแก่ตัวจนไม่สนใจคนรอบข้างรวมถึงไม่รู้จักการยอมรับความจริงที่เห็นได้จากการดูรายชื่อคนที่สอบเข้าที่มีชื่อโมลีในใบประกาศแต่กลับไม่มีชื่อของตนเองอยู่จนเป็นเรื่องน่าอับอายและเลิกคบกับโมลีเพราะคิดว่าตัวเองที่น่าจะขยันกว่าเก่งกว่าต้องได้อยู่แต่ไม่ได้ติดได้ยังไงและอีกอย่างคือไร้น้ำใจที่สังเกตได้ว่ามีรถมารับโมลีที่ท่าน้ำได้แต่ไม่เลือกให้บุญชูขึ้นรถเลยสักครั้งทั้งที่บุญชูก็เดินมาเป็นเพื่อนประจำ นอกจากนี้ยังมีอีกคนที่เป็นตัวขัดขวางความรักของบุญชูหลังจากโมลีเลิกกับแฟนไปแล้วโดยรายหลังนี้เดิมไม่น่าเป็นตัวร้ายใดๆเพราะค่อนข้างก่ำกึ่งเพียงแค่ติดนิสัยอยากโชว์เพื่อนเสียมากกว่า ถ้ามองในแง่ของความจริงใจก็ถือว่าได้ระดับหนึ่งแต่น่าเสียดายที่ทำตัวอันธพาลและไหนจะเพื่อนๆในกลุ่มก็พาลกันทั้งนั้นจนสภาพไม่ต่างกับนักเลงที่ใช้ชีวิตไปกับเหล้ายาไปวันๆ ดังนั้นภาพพจน์ต้องออกมาค่อนข้างแย่โดยเฉพาะเรื่องการโกงที่เอาหน้าด้วยการหลอกทำเป็นมีคนมารังแกโมลีแล้วแสร้งไปช่วยทั้งที่เป็นแผนให้เพื่อนไปเป็นหน้าม้าแสดงละครหลอกว่าสู้ไม่ได้จนมองว่าคนที่ช่วยมีความกล้า ในขณะเดียวกับตัวหนังก็เข้าใจจับประเด็นเปรียบเทียบอย่างรวดเร็วด้วยการทำให้มีกลุ่มบุญชูกับเพื่อนๆอยู่แถวนั้นพอดีทำให้ออกไปช่วยโมลีจนสภาพที่ตามแผนอย่างดีกลายเป็นโดนตลบผิดแผนไปซะดื้อๆ กระนั้นยังตามฟอร์มแผนไม่ได้ถึงกับแตกในทันทีเพื่อต้องการจะสื่อถึงว่ามันยังมีเรื่องราวต่อไปอีกที่ท้ายที่สุดก็ต้องใช้กำลังแทนที่จิตใจ จะว่าแล้วก็ช่วยสะท้อนได้เยอะมากทีเดียวเกี่ยวกับความรักที่ทำไมสุภาษิตสอนคน"ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า"จึงเป็นประโยคที่เข้ามาในหนังบ่อยนัก นั้นก็เพื่อเตือนผู้ชมที่ไม่ใช่แค่ในเรื่องเท่านั้น บางทีผู้ชมคงคิดว่าอยากให้สมหวังในความรักเร็วๆมีแต่เรื่องหวานซึ้ง ทว่ากลับตรงข้ามเลยที่จะได้มีฉากดังกล่าวนอกจากจะสอนให้เป็นเรื่องของมิตรภาพเสียมากกว่าซึ่งก็คือเพื่อน สภาพการเล่าเรื่องจึงเป็นมุมของรักข้างเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ อนึ่งก็เป็นเรื่องพิสูจน์ด้วยว่ารักจริงหรือไม่และคงไม่ใช่แค่ชั่ววูป ถ้ารักจริงก็รับในมิตรภาพนี้ได้เพราะทุกอย่างต้องผ่านบททดสอบไม่ต่างกับการเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องใช้เวลาฝึกขยันอ่านหนังสือให้มาถึง ณ จุดนี้ที่ไม่ใช่เพื่อใครนอกจากพ่อแม่ที่ส่งเสียร่ำเรียนให้เราเก่งมีคุณค่าต่อสังคม


อาจกล่าวได้ว่าบุญชูผู้น่ารักคือหนังที่อยู่นอกเหนือกาลเวลาในแง่แนวคิดและการนำเสนอที่ไม่ได้เก่าเกินคนจะไม่เข้าใจ เนื่องจากพล็อตเรื่องโดยหลักแล้วก็เกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัยเพียงแค่ก่อนจะเข้าได้นั้นต้องเผชิญอะไรบ้างในสังคมหมู่คนมาก ซึ่งผิดจากบ้านนอกบ้านนาที่คนไม่ได้อยู่กันเยอะและวุ่นวายเต็มไปด้วยรถที่ติดเสมอแบบกรุงเทพฯ ในที่นี้เราจะได้เห็นว่าบรรยากาศต่างๆกันแบบคนละทิศคนละทางทั้งผู้คนและบ้านเมือง บุญชูกับเพื่อนเสมือนตัวแทนจากคนบ้านนอกที่เข้ามาสู่เมืองกรุงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายสารพัดสิ่งล่อตามากมาย ที่สำคัญคือข้อแตกต่างระหว่างคนในเมืองกับคนที่เข้าเมืองที่บ่งชี้ว่าใครน่าคบมากกว่ากัน คนในเมืองต่างรีบเร่งทำหลายอย่างด้วยตัวเองแถมบางทีก็เห็นแก่ตัวมากจนลืมคนรอบข้าง กับบางคนดีบางคนไม่ดีกระจัดกระจายในสังคมจนอยู่ด้วยความระแวดระแวงขาดการไว้ใจอย่างเต็มเปี่ยมจนเป็นปัญหาเรื่องการงานที่อาจโกงกันได้ ผิดกับตามบ้านนอกที่ไม่ได้อยู่อย่างร่ำรวยด้วยงานที่เงินสูงแต่ก็มีแต่ความอุ่นใจทำด้วยใจรักมากกว่าสนทรัพย์สินนอกจากขอแค่ความอยู่รอดแบบประหยัดรู้พอเพียงกับการเลี้ยงชีพทำไร่ทำนาก็พอใจและไม่ต้องวุ่นวายกับคนมากมายที่ต่างพอกันแย่งชิงความเด่น อีกแง่ก็สะท้อนถึงด้วยว่าในเมืองใหญ่เต็มไปด้วยการแข่งขันมีหลายอย่างที่ต้องพึ่งตัวเองและที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนแท้ที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันไม่ทิ้งกันง่ายๆ สิ่งหนึ่งที่ชอบมากคือเรื่องไม่ทิ้งกันที่พบได้จากเพื่อนที่ต่อให้ดีแค่ไหนหรือดีน้อยยังไงก็คือเพื่อนที่เจอเมื่อไรก็สนุกเฮฮาได้เสมอ ยิ่งเวลาที่คับขันจะการพิสูจน์ที่ดีเพราะถ้าเพื่อนจริงย่อมไม่ทิ้งกัน จากตอนท้ายเรื่องที่บอกได้ดีว่าเมื่อเพื่อนมีอุปสรรคเราย่อมต้องไปช่วยแม้การช่วยจะไม่ได้ผลตอบแทนด้วยรางวัลใดๆเลยก็ตามแต่ถ้าทำให้เพื่อนหายจากทุกข์ได้แม้ตัวเจ็บมันก็คุ้มค่าที่จะได้หัวเราะมีรอยยิ้มไปด้วยกันอีกครั้ง นับว่าการใส่ประเด็นต่างๆของเรื่องเป็นอะไรที่เข้าทางกันได้ดีจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ไม่อย่างเกินเลยสักนิด


สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเพลงประกอบที่จัดว่าเป็นกันเองด้วยท่วงทำนองแบบบ้านๆมีความ Feel Good ค่อนข้างสูงจนเรียกว่าเพลินตั้งแต่เปิดเรื่องจนปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวหนังที่ไม่น่าจะมีอะไรมากแต่กับมีมากกว่าที่คิด ทั้งนี้ต้องขอบคุณบทเพลงที่แสนจะฟังสบายใจจากท่านทั้งสองคือคุณจรัล มโนเพ็ชรกับคุณดำรงค์ ธรรมพิทักษ์ที่ช่วยดึงพลังการเล่าเรื่องได้อย่างอิ่มเอมใจ น่าจะกล่าวได้ว่าครบเครื่องพอตัวสำหรับบุญชูภาคแรกที่เล่าเรื่องได้อย่างเรื่อยๆแต่น่าติดตามไม่รู้เหนื่อยพร้อมด้วยมุขสบายๆที่เน้นขบขันกันเองไม่ตกยุคสมัยซ้ำซาก พอนึกแล้วก็อดขำไม่ได้ในบางมุขที่อาจมาเวอร์ไปบ้างแต่นี่แหละเสน่ห์หนังไทยในยุคนั้นๆที่ต้องมีมมุขแปลกแต่ฮา ก็คงไม่มีอะไรจะกล่าวมากนักสำหรับเรื่องนี้เพราะดีอยู่แล้วแม้จะยาวไปหน่อยเพราะเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ยาวยังไงก็ไม่น่าเบื่อเพราะน่าติดตามตลอด ยอมรับโดยส่วนตัวว่าค่อนข้างชอบพอสมควรแม้จะยังไม่สุดเท่าที่ควรเนื่องบางช่วงบางจังหวะยังช้าไปหน่อย แต่รู้ไหมที่ชอบที่สุดคือตอนท้ายของเรื่องที่ไม่ได้จบแบบแฮปปี้อย่างที่ควรจะเป็นด้วยความสุขแต่เลือกจบด้วยการทำให้เศร้าหมอง ซึ่งตรงนี้แหละที่การเล่าเรื่องทำได้ดีที่พลิกตลบจากร้ายเป็นดีจนรู้สึกว่าถ้าคนที่กำลังขาดกำลังใจหนังเรื่องนี้จะช่วยตอบคำถามชีวิตได้อย่างดีเลย แม้โอกาสแรกจะสูญสิ้นไปด้วยความพยายามที่มาพร้อมกับความฝันที่สูญสลายแต่ไม่ใช่เลยที่ครั้งเดียวจะตัดสินได้ตลอดชีวิตหากยังมีความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยเสียก่อน แม้จะน่าเศร้าที่ผิดหวังแค่ไหนถ้ามีกำลังใจซะอย่างไม่มีอะไรที่ผิดหวังเกินสายเพราะยังมีโอกาสครั้งหน้าอีกครั้ง ไม่ทุกคนที่สมหวังและไม่ทุกคนที่ต้องผิดหวัง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเกินต่อไปแม้ต้องผ่านเรื่องแย่ๆแค่ไหนก็ตามหากว่ายังไม่หมดหวังที่จะก้าวต่อไปจะกลัวอะไรถ้าจะลองเสี่ยงอีกครั้ง ไม่มีอะไรต้องเสียหายถ้าลองอีกครั้ง เราทุกคนมีโอกาสเสมอ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)