บุญชู 6 โลกนี้ดีออก สุดสวย น่ารักน่าอยู่ ถ้าหงุ่ย (1991)

บุญชู 6 โลกนี้ดีออก สุดสวย น่ารักน่าอยู่ ถ้าหงุ่ย (2534) 
Director: บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
Genres: Comedy
Grade: S

อาจถึงคราวต้องลองมองมุมอื่นบ้างเมื่อหนนี้ตัวละครบุญชู (สันติสุข พรหมศิริ) จะไม่ใช่ตัวละครหลักในเรื่องคนเดียวอีกต่อไปเมื่อมีทองดี (จักรกฤษณ์ อำมรัตน์) ญาติจากลูกพี่ลูกน้องมาฝากตัวเพราะสอบติดเกษตรได้เหมือนกัน ทางเรื่องราวนี้แทบจะก๊อปปี๊บุญชูมาเลยกับเรื่องการใช้ชีวิตในกรุงเทพครั้งแรกที่ไม่รู้จะทำยังไงบ้าง แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าสมัยบุญชูครั้งใหม่ๆเพราะตอนนี้บุญชูใช้ชีวิตตามชาวกรุงได้แล้วและทำหน้าที่ดูแลทองดีได้ไม่ทิ้งห่าง ทว่าเรื่องของเรื่องที่ไม่น่าจะมีปัญหาก็ดันมีซะได้เพียงเพราะคนๆเดียวคือลลิตา (รัญญา ศิยานนท์) นักเรียนนอกที่โมลี (จินตหรา สุขพัฒน์) ขอแรงให้มาช่วยงานในบริษัทโฆษณา เป็นผู้หญิงที่เก่งรอบด้าน มีเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนต้องตาค้างกันเป็นแถว ซึ่งก็เหมือนจะไม่มีอะไรมากจนกระทั่งเพื่อนๆของบุญชูกับทองดีได้รับคำเชิญชวนให้มาเล่นโฆษณาจนไปพบกับลลิตาตัวเป็นๆเข้าจึงทำให้หยอย (เกียรติ กิจเจริญ) ,คำมูล (กฤษณ์ ศุกระมงคล) ,นรา (อรุณ ภาวิไล) ,ไวยากรณ์ (วัชระ ปานเอี่ยม) ,เฉื่อย (นฤพนธ์ ไชยยศ) ,ประพันธ์ (เกรียงไกร อมาตยกุล) ไม่เว้นแต่บุญช่วย (สุเทพ ประยูรพิทักษ์) ที่ต่อให้ในใจมีคุณมานี (ปรารถนา สัชฌุกร) ยังต้องคิดนอกใจ(แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อบุญช่วยเองก็พยายามซื้อใจมาตลอดแต่ไม่เคยได้ใจมานีเลยสักที ในขณะที่มานีตั้งหน้าตั้งตาทำงานไม่คิดเรื่องคู่ครองเลย) เกิดอาการกระสับกระส่ายละเมอเพ้อฝันกลางวันกันเป็นแทบ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเมื่อทองดีเกิดติดลลิตาจนเป็นเรื่องให้ถูกหลอกใช้ให้ทำเรื่องไม่ควร ทำให้บุญชูและเพื่อนๆตั้งสติรับมือกับปัญหานี้ก่อนที่จะสายเกินแก้


จากที่รู้คือยิ่งมีภาคต่อยิ่งสนุกมากขึ้นโดยเฉพาะภาคนี้ที่อัดแน่นด้วยสาระกับมุขอย่างลงตัว อีกทั้งยังเพิ่มมุมมองเสริมเนื้อเรื่องให้ดูหนักแน่นยิ่งขึ้นจากตัวละครใหม่ด้วยท่าทางนิสัยซื่อตรงทำให้เรากลับไปนึกถึงสมัยบุญชูยังไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยพึ่งเข้ากรุงเทพฯด้วยท่าทางอ่อนต่อโลก(แต่ไม่วายบางครั้งยังทำซื่อ) กลับเข้าเรื่องที่เนื้อหาได้โยงประเด็นใหญ่ๆฝากไว้กับทองดีในเรื่องของลลิตาที่บ่งบอกถึงความเชื่อใจกับการดำเนินชีวิตที่แตกต่างของคนสองคน โดยอีกหนึ่งใสซื่อทำตามด้วยใจบริสุทธิ์หวังได้ผลตอบแทนด้วยรัก ในขณะที่อีกคนเป็นเพียงฝ่ายใช้ประโยชน์จนลืมความรู้สึกอีกฝ่ายเพราะคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นไปเป็นการเอาตัวรอดเพียงคนเดียว และอีกประเด็นคือบุญชูในเรื่องของโมลีที่เหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะชัดเจนมากขึ้นทว่ากลับมีอนาคตที่เลือนลางเกินกว่าที่ฝันเอาไว้เมื่อต่างคนเดิมมากจากคนละที่แม้จะมาเรียนในกรุงเทพฯไม่ได้หายกันไกลกระนั้นหลังเรียนจบต้องกลับไปที่บ้านเกิดจนทำให้คิดว่าบุญชูที่มาจากสุพรรณกับโมลีที่ถิ่นฐานเดิมอยู่กรุงเทพฯและมีแผนช่วยพี่มานีทำงานกลายเป็นเรื่องขัดแย้งกันจนเป็นเรื่องวัลวิตกไม่อนุญาติให้โมลีไปอยู่ที่บ้านนอก นี้อาจเป็นประเด็นหลักๆแต่เนื้อแท้ยังมีประเด็นหลายเรื่องให้สะท้อนออกมาค่อนข้างมากโดยเฉพาะการตีความเกี่ยวกับกรุงเทพฯว่าทำไมคนถึงอยากมาที่นี้ ทำไมถึงมาเรียนต่อ และทำไมคนถึงโหยหางานกันนัก แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ย่อมเป็นเพราะคือเมืองที่พัฒนาเต็มไปด้วยสิ่งที่ทันสมัยอะไรหลายอย่างก็ใหม่ๆทั้งความรู้ การอยู่อาศัย อีกทั้งเงินก็ดีไม่เหมือนคนบ้านนอกที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยแต่รายได้แตกต่าง นี่เป็นเพียงความคิดแรกที่เรารู้เพราะคือเรื่องจริงและบุญชูก็เริ่มตระหนักเข้าใจว่ากรุงเทพฯกับสุพรรณแบบไหนที่บุญชูเลือก ซึ่งจุดนี้เองเราจะเข้าใจถึความต่าง


สิ่งที่เห็นได้ชัดคือภาคนี้แสดงถึงการเติบโตของตัวละครขึ้นมาอีกระดับจนเริ่มสนใจอนาคตการงานมากขึ้น(อนึ่งบุญชูจบช้ากว่าคนอื่นเพราะสอบเข้าได้ที่หลัง) สังเกตได้ว่าการเติบโตแต่ละคนนั้นต่างทำให้มีเป้าหมายของตัวเองยิ่งภาคนี้ที่กล่าวถึงปีสุดท้ายและจบได้รับใบปริญญาซึ่งหลักประกันชีวิตต่อไปคือการหางานทำ แน่นอนว่างานที่ทำเป็นอะไรที่ค่อนข้างกดดันสำหรับบุญชูไม่ใช่จากตำแหน่งหรือรายได้หรือแม้กระทั่งกลัวตกงานแต่เป็นสภาพสังคมที่แสดงถึงการแย่งชิง เห็นได้จากการสมัครงานที่ต่อแถมยาวเป็นหางว่าวที่เกิดจากนักศึกษาที่เรียนจบก็วิ่งเข้าหาแหล่งงานด้วยความเร่งรีบขาดความมีน้ำใจขนาดต่อแถวส่งใบสมัครยังเบียดกันไม่รู้จะว่ายังไง สิ่งนี้สะท้อนได้หลายมุมมองซึ่งกับบุญชูคงไม่พ้นความเข้าใจว่างานที่ทำนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรุงเทพฯเสมอไป เรียนก็เมืองกรุง ทำงานก็เมืองกรุง แล้วบ้านนอกที่จากมาล่ะจะว่ายังไง ทุกคนวิ่งเต้นวนเวียนทำงานแต่กับเมืองสะดวกสบายนี้จนลืมถิ่นฐานบ้านเกิด แทนที่เรียนจบจะกลับบ้านไปสมัครงานทำที่นั้นกลับกลายมองว่าที่ๆจากมามีแต่ความลำบาก ฉากที่สะท้อนได้ดีคือฉากบุญชูไปสมัครงานในกรุงเทพฯด้วยสภาพเบียดแน่นต่อแถวคิวยาวจนแม้กับผู้ชมยังรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจกับความวุ่นวายนี้ อีกฉากที่เรียกว่าสะท้อนได้ถึงความเป็นผู้เสียสละหรือแม่บุญล้อม (จุรี โอศิริ) ก็คือฉากคุยกับลูกบุญชูเรื่องการหางานทำ ทีแรกบุญชูก็หวังจะหางานในกรุงเทพฯส่วนแม่บุญล้อมเองเข้าใจก็ปล่อยไป พอหลังจากบุญชูรู้ว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะก็กลับบ้านนามาหาแม่สมัครงานที่บ้านดีกว่า อย่างแรกคือไม่ต้องไปแย่งใครเขาให้วุ่นวาย อย่างสองคือการแบ่งกระจายรายได้ แม้บ้านนอกจะรายได้น้อยไม่ค่อยมีคนสนใจทั้งยังเหนื่อยทว่ามันคุ้มที่อยู่กับความดั้งเดิมสัมผัสกับธรรมชาติไม่ต้องไปแย่งใครอยู่กับสังคมที่ไม่ใช่ตัวของเรา และอย่างสุดท้ายคือได้อยู่กับแม่กับครอบครัวที่คุ้นเคยหลังจากต้องจากบ้านนามาเพื่อเรียน สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือแม่บุญล้อมดีใจที่บุญชูกลับมาหางานที่บ้านยังดีที่มีคนมาดูแลพื้นดินที่นาโดยไม่ต้องทิ้งไว้กับใคร โดยส่วนตัวช่วงเวลาแห่งความรู้สึกระหว่างแม่ลูกเป็นอะไรที่ค่อนข้างเรียบง่ายแต่เข้าถึงได้อย่างดีในการเอยปากกันในแบบคนบ้านนอกที่มีพื้นนาเป็นทรัพย์สมบัติเสมือนแหล่งอยู่กินที่ทำให้อยู่ได้ถึงทุกวันนี้ นับว่าค่อนข้างน้อยที่เห็นมุมมองนี้จากที่มักเป็นของสิ่งของเงินทองแต่นี้คือท้องนาพื้นดินเขียวชอุ่มด้วยต้นขาวตามประสาคนบ้านนอกคอกนา


อนึ่งบุญชูเลือกลองหางานในกรุงเทพฯไม่ใช่แค่เอางานอย่างเดียวเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบุญชูกับโมลีเป็นอะไรที่ผู้ชมรู้กันอยู่แล้วว่ามาเกินครึ่ง ไม่เหมือนสมัยภาคแรกๆที่ยังขอความสัมพันธ์เป็นเพียงมิตรภาพที่ดีต่อกันโดยไม่ถือว่าคือคนรักนอกจากเพื่อนที่ดี แน่นอนว่าการที่บุญชูจะหางานในกรุงเทพฯก็เพื่อมีโอกาสได้เจอกับโมลีโดยไม่ต้องไปลำบากโมลีที่อยู่ไกลคนละทิศคนละทาง กระนั้นเรื่องเป็นเช่นไรบุญชูก็เข้าใจในจุดนี้แล้วและตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อซึ่งโมลีก็คุยกับบุญชูอย่างเปิดใจและลงข้อสรุปในแบบที่ควรเป็นอย่างมีเหตุผล ที่นี่กลับมาที่ฝ่ายของลลิตาที่อยากจะเกริ่นสักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวละครนี้ว่ามีนิสัยท่าทางเช่นไรบ้าง อย่างแรกคือเป็นผู้หญิงหัวสูงมุ่งแต่เรื่องงานเอาการใหญ่ไว้ก่อน ใช้ประโยชน์จากคนรอบข้างเพื่อตัวเองจนไม่คำนึงความรู้สึกอีกฝ่าย และรักสนุกกับการหยอกล่อผู้ชายประหนึ่งของเล่น สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมาะกับนางร้ายแต่อยากให้ระลึกสักนิดว่าตลอดหนังของบุญชูหาได้มีใครที่เกิดมาเป็นไม่ดีกันเสียทั้งตัวและจิตใจนอกจากจะบอกเป็นเชิงเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงต้องทำเช่นนั้นแบบที่ภาคก่อนๆนำเสนอ เช่น ต้องการความรักจึงใช้กำลังเข้าแย่งโดยไม่มีเจตนาจะทำร้ายแค่โชว์เพื่อนให้ดูว่าตัวเองก็รักและยอมทำได้เหมือนกัน เรื่องเงินที่หาได้ยากจึงต้องขโมยคนอื่นแม้ตัวเองจะหางานทำก็แล้วแต่เงินที่ได้ยังน้อยเกินกว่าจะเลี้ยงครอบครัว แม้กระทั่งความเป็นเด็กวัดที่อยู่อย่างคนจนยังมาเป็นปมมองว่าถ้ามีเงินสักก้อนคงอยู่แบบคนรวยได้จึงเลือกใช้ทุนการศึกษามาเที่ยว แล้วลลิตามีปมอะไรในใจถึงไม่เอาเพื่อนเอาฝูงนอกจากตัวเองโดยเหยียบคนอื่นขึ้นไปถึงจุดสูงสุด


ทั้งนี้ต้องกล่าวถึงทองดีที่กลายเป็นตัวละครเด่นของภาคนี้ด้วยท่าทางซื่อๆการกระทำยังไม่เข้าทางแต่รักนี้จริงใจไม่ต่างกับบุญชูกับโมลีและเผลออาจมีมากกว่าด้วยซ้ำ เดิมทีทองดีก็คือบุญชูที่มาแบบไหนก็มาแบบนั้นราวกับคนๆเดียวกันแต่เรื่องหัวใจกลับไปปิ๊งลลิตาตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งลลิตาเล่นสนุกทำท่าทีส่งหวานใส่ก็ยิ่งเสมือนได้กำลังใจจากคนที่ตัวเองรัก ทางกลับกันฝ่ายลลิตาไม่ได้จริงจังอะไรเลยเพราะคิดถึงแต่ความสนุกหยอกคนนี้ทีคนโน้นทีขนาดกับเพื่อนบุญชูยังโดนลูกไม้นี้กันแทบทุกคนจนเกิดเป็นเรื่องทะเลาะไม่พอใจเพราะต่างคนต่างคิดจะจีบลลิตาเพราะนึกว่าคือคนที่ใช่ มิหนำซ้ำยังโดนหลอกให้ตายใจส่งการ์ดอวยพรจนใครที่ชอบลลิตายิ่งเพ้อไปกันใหญ่ กว่าจะมารู้ตัวว่าเป็นแผนแกล้งหยอกก็ต้องมาทะเลาะกันเองที่ถูกผู้หญิงปั่นหัว ซึ่งก็อีกสาระหนึ่งที่เสนอได้อย่างดีระหว่างเพื่อนกับคนรักจะเลือกใคร เรามาทะเลาะกันเพื่อผู้หญิงจนลืมไปว่าเพื่อนนั้นสำคัญกว่าทั้งที่คนที่เราชอบนั้นไม่ได้เป็นความรักที่จริงจังนอกจากเป็นความรู้สึกชั่วขณะที่เกิดจากอารมณ์ เช่นเดียวกับทองดีที่ใช้อารมณ์รักมากกว่าไตร่ตรองความเป็นจริงตรงหน้าจนตกหลุมพร่งบ่อยครั้งจนถึงหนีออกจากบ้านที่สุพรรณเพื่อไปพบลลิตาในกรุงเทพฯจนคนทางบ้านนึกคิดเป็นทองดีติดผู้หญิง ทั้งนี้ยังเกิดแง่คิดถึงความเป็นไปของคนที่เข้ากรุงเทพฯแล้วกลับมาเป็นอีกคนเนื่องจากสภาพที่แตกต่าง จะว่าบ้านนอกก็ลำบากยากจน จะในเมืองกรุงก็สีสันสะดุดตา กับบางคนหลงระเริงในแสงสีและความแปลกใหม่อย่างมีความสนุกจนละทิ้งบ้านเกิด แล้วกับทองดียังตระหนักได้แค่ไหนที่ถูกลลิตาหลอกใช้เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ตัวเอง ท้ายที่สุดคนที่ต้องนั่งคิดทบทวนภายหลังอาจไม่ใช่ทองดีแต่น่าจะเป็นลลิตาที่เกิดมาในสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง เห็นได้จากท้ายเรื่องที่ลลิตามาหาทองดีพูดคุยตัวต่อตัวที่บ้านนอกเสมือนเป็นการระบายความในใจท่ามกลางชนบทพื้นดินด้วยความเป็นกันเองผิดกับตอนเหยียบถนนในกรุงเทพฯที่มีต้องได้กับได้จนลืมคนข้างหลัง


จะบอกว่าภาคนี้ค่อนข้างเต็มอิ่มในทุกด้านและยังกระจายบทได้ดีอีกด้วยโดยเฉพาะการเล่าเรื่องให้ออกมาลงตัวทั้งที่เนื้อเรื่องเองก็ใช่จะทำให้ออกมาครบได้ทุกด้าน ซ้ำจะกลายเป็นว่ายิ่งเยอะยิ่งมีแต่ช่องว่างของบทซึ่งกับบุญชูภาคนี้ยังรักษามาตรฐานเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเต็มอิ่มสองชั่วโมงไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว ที่สำคัญคือมุขที่ยังคงสร้างเสียงหัวเราะทุกกลุ่มวัยเป็นเอกลักษณ์เป็นกันเองไม่ตกยุคสมัย ที่สำคัญบุญชูแต่ละภาคยังเสมือนการเล่าเรื่องแต่ละช่วงเวลานั้นๆว่ามีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน มีค่านิยมอย่างไร ใช้ชีวิตรูปแบบไหน และแน่นอนที่สุดคือการทิ้งสาระเอาไว้ตามจุดต่างๆเป็นข้อคิดสะกิดใจ ซึ่งแต่ละภาคจะมีเนื้อหาไม่ถึงกับต่างกันมากนักเกี่ยวกับชีวิตของบุญชูเว้นแต่ปัจจัยรอบตัวที่มีผลในการดำเนินชีวิตจากทีแรกทำยังไงถึงสอบติด ต่อมาก็เริ่มเข้าสู่ชีวิตเรียน จากนั้นภาคนี้ก็เล่าถึงชีวิตหลังจบการศึกษากับชีวิตที่เริ่มต้นด้วยการทำงาน สำหรับภาคนี้จะแตกต่างจากภาคก่อนหน้านี้ตรงที่มีความก่ำกึ่งระหว่างเรียนกับเรียนจบเพื่อสะท้อนถึงความไม่ง่ายของสังคมที่ไม่ใช่จะขยันทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วจะสบายเพราะต้องมาเหนื่อยกับการเรียนก่อนจะมายากขึ้นไปอีกกับการหางานที่เกิดเป็นว่าต้องได้มาซึ่งการแข่งขัน แต่สิ่งที่สอนใจอย่างหนึ่งของการสมัครงานคือมันเป็นมากกว่าแข่งขันเพราะทุกคนแย่งชิงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นั้นเองที่ชวนให้คิดถึงลลิตาที่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเพราะสังคมเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้จะโทษสังคมก็ไม่ถูกเนื่องจากมันขึ้นกับตัวเราเองว่าจะยอมเปลี่ยนไปเพื่อสิ่งใด กับบุญชูไม่สมัครงานในเมืองไม่ใช่ทำไปเพราะคนเยอะหรือวุ่นวายแค่นั้นแต่คิดถึงแม่คิดถึงบ้าน มาหางานทำที่ๆสบายใจยังดีกว่า เผื่ออย่างน้อยเอาความรู้ที่ได้มาช่วยทางบ้านก็ยังดีและยังได้อยู่กับแม่อีกด้วย


บุญชู 6 โลกนี้ดีออก สุดสวย น่ารักน่าอยู่ ถ้าหงุ่ย กับใครที่ยังติดตามมาเรื่อยๆสำหรับภาคนี้ยังมีอะไรหลายอย่างที่น่าดูชมและเป็นภาคที่จัดว่าดีที่สุดอีกภาคด้วย น่าจะเรียกว่าเป็นภาคปิดการศึกษาที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามประสาชีวิตคนเราที่ต้องรู้จักฝ่าความยากลำบากเพื่อคว้าความสุขอันยิ่งใหญ่ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือผลความสำเร็จจะขาดไม่ได้ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้คือครอบครัว เพื่อน และคนรัก สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจเป็นสิ่งที่ตลอดหนังบุญชูทุกภาคบอกมาตลอดและนับว่าภาคนี้ประสบความสำเร็จทั้งเนื้อหา ความสนุก อรรถรสครบเครื่องอย่างปฏิเสธไม่ได้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)