Winnie the Pooh: Blood and Honey (2023)

Winnie the Pooh: Blood and Honey (2023) | C
Director: Rhys Frake-Waterfield
Genres: Horror

จากการ์ตูนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแสนสดใสในวัยเด็กถูกดัดแปลงให้เป็นหนังสยองขวัญ ซึ่งพล็อตเริ่มที่คริสโตเฟอร์ โรบิน (Nikolai Leon) ได้ทิ้งเพื่อนรักสมัยวัยเด็กเอาไว้ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงกลับแล้วพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป จากความน่ารักกลายเป็นความอาฆาต ใครที่พบเจอต้องถูกไล่ล่าถึงชีวิต


อาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยที่ถูกดัดแปลง เพราะในการ์ตูนคือสัตว์ที่สื่อสารภาษาคนได้ แต่นี่คือคนที่ใส่หน้ากากที่ไม่รู้ว่าคือใครและยังไง ปมเดียวที่รู้คือการถูกปล่อยทิ้งให้หิวโหย ซึ่งไม่แน่ชัดอีกว่าทำไมเป็นเช่นนั้น แค่เริ่มต้นยังสร้างปริศนาให้ตงิดใจเต็มไปหมด

แม้หลายอย่างจะเต็มไปด้วยปริศนาที่อยากรู้ว่าคืออะไร แต่การเฉลยคือความว่างเปล่าที่ปล่อยให้มืดบอดกันต่อไป สิ่งที่คิดได้คือนี่การหยิบความนิยมของการ์ตูนวัยเด็กมาสร้างให้เป็นฝันร้ายในวัยผู้ใหญ่ มีเพียงการเข่นฆ่าและทรมานด้วยความสยดสยอง ซึ่งแอบไม่เนียนเพราะเอา CGI เข้ามาผสมให้ดูรุนแรงขึ้น (แต่สะใจใช้ได้เลย)


แค่พล็อตต้นเรื่องเท่านั้นแหละที่พอดูมีบางอย่าง ในส่วนที่เหลือคือสูตรสำเร็จที่ใครรอดหรือไม่รอดคือของตายที่เดากันถูก บางครั้งยังรู้สึกรำคาญตัวละครอยู่บ้างที่คัดเลือกแค่สาวๆ มาเพื่อกรี๊ดและวิ่งหนี แต่ที่ชอบคือฉากเอาคืนที่จู่ๆ เหมือนคิดได้ว่าตัวเองต้องสู้ ซึ่งทำให้หลุดพ้นจากการหนีอย่างเดียว

ตอนแรกเหมือนจะเป็นคนโรคจิตใส่หน้ากากแค่นั้น แต่ช่วงหลังเริ่มเห็นความผิดปกติจากพละกำลังและความอึด ทำให้ความสมเหตุสมผลอะไรต้องโยนทิ้งเพราะไม่ยอมตายสักที (หรือเพราะชอบกินน้ำผึ้ง แต่ตลกตรงที่ไม่ยอมถอดหน้ากากกิน ทำให้ดูเลอะเทอะหน้ากากไปหมด)

หนังน่าบ่นพอสมควรจากความคาดหวังต้องมีอะไรที่แปลก แต่กลายเป็นหนังสยองขวัญที่ซื่อตรงต่อสูตรสำเร็จ หลายสิ่งที่เห็นล้วนดูง่ายเพราะความทุนต่ำแค่ $100,000 ทว่าฟาดรายได้ไป $4,941,200 ทำให้สถานะหนังที่ดูห่วยสำหรับบางคนกลายเป็นหนังทำกำไรอย่างมิอาจดูแคลนได้เลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)