The Strangers: Prey at Night (2018) คนแปลกหน้า ขอฆ่าหน่อยสิ!

The Strangers: Prey at Night (2018) | คนแปลกหน้า ขอฆ่าหน่อยสิ!
Director: Johannes Roberts
Genres: Horror
Grade: C+

ภาคต่อทิ้งห่างจากภาคแรก 10 ปี นานจนคิดว่าไม่น่าจะสร้างขึ้นมาอีก เพราะใครได้ดูภาคแรกจะพบว่าจับเนื้อหาได้น้อยมาก มีเพียงอ้างอิงว่าสร้างจากเรื่องจริงที่พอมีประเด็นสาระอยู่บ้าง ส่วนอื่นๆเป็นได้แค่หนังไล่ฆ่าจับเชือดตามปกติ ไม่มีสิ่งที่พิเศษหรือแตกต่างจากหนังสยองขวัญประเภทนี้สักเท่าไร ยกเว้นหน้ากากชวนให้ดึงดูดเพราะเข้ากับลักษณะหนังเป็นอย่างดี(ความรู้สึกส่วนตัวบอกว่างั้น)


ความประทับใจในภาคแรกคือข้อดีและข้อเสียในตัว โดยเฉพาะความนิ่งที่กว่าจะเข้าช่วงเวลาระทึกขวัญก็เต็มอิ่มไปกับตัวละคร ทำให้น่าเบื่อก็ไม่แปลก แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็นห้วงเวลาสยองขวัญที่อยากเอาใจช่วย เนื่องจากตัวละครเหล่านั้นสร้างความผูกพันกับคนดูเป็นที่เรียบร้อย แล้วไหนจะความลึกลับของฆาตกรใส่หน้ากากที่โผล่มาน้อยแต่เข้าทุกจังหวะ ดังนั้นภาคแรกจึงมีเสน่ห์ในแบบที่ตัวเองเป็น ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบเป็นได้ทั้งสองทาง

ส่วนภาคนี้มาทำนองเดียวกับภาคแรก มีการเกริ่นถึงครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาพักที่บ้าน ประกอบไปด้วย ไมค์ (Martin Henderson) และ ซินดี้ (Christina Hendricks) คู่สามีภรรยาที่กำลังปวดหัวเรื่องลูกสาวคนสุดท้องอย่าง คินซีย์ (Bailee Madison) เพราะปัญหาเรื่องเรียน และ ลุค (Lewis Pullman) พี่ชายที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตของตัวเอง


ช่วงแรกจะเล่าถึงปัญหาครอบครัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอะไรคือปัญหาและจะจัดการปัญหานี้ได้อย่างไร แม้ยังหาคำตอบที่ไม่ลงตัวก็แสดงถึงความพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วในจังหวะที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่จะเป็นช่วงของสยองขวัญ มีคนมาเคาะประตูเพื่อถามหาใครสักคน แต่คนที่ถามไม่มีอยู่และยังมาเคาะถามซ้ำ ถ้าจำกันได้กับคนที่เพิ่งดูหรือดูต่อเนื่องจากภาคแรกจะเห็นรูปแบบเดียวกันเกือบทุกอย่าง ส่วนคนที่ทิ้งภาคแรกมานานและจำได้เลือนลางจะรู้สึกคุ้นเคย นับเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของฆาตกรเรื่องนี้

สิ่งที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดจนหนังดูเสียไปเลยคือการไม่ตอบโต้ ไม่สู้หรือทำอะไรสักอย่างที่พอเป็นหนทางหนีรอด ราวกับบทจงใจให้ถูกฆ่าเพื่อให้ตัวละครที่วางเอาไว้กลับมาโดดเด่น กว่าจะรู้ตัวและสู้กลับไปบ้างก็เกือบท้ายเรื่อง ขณะที่แล้วมาคือวิ่งแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ผิดกับภาคแรกในสถานที่ปิดชวนให้อึดอัดไม่ต้องไปไหนไกล แค่บ้านหลังเดียวก็เอาอยู่ได้ทั้งเรื่อง แต่อย่างน้อยฝ่ายฆาตกรมีบทบาทมากกว่าภาคแรกพอสมควร จะไม่เดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายให้งงว่าอยู่ตรงไหนกันแน่


แม้หลายอย่างจะดูแตกต่างจากภาคแรกก็ใช่จะทำไม่ดี อันที่จริงมีหลายอย่างชวนดูแปลกและเหมือนกลับไปสู่ยุค 70S-80S เทียบกันแล้วภาคนี้มีความสร้างสรรค์มากกว่า แต่การเล่าเรื่องและความอึดอัดหรือน่ากลัวมีน้อยกว่า ฉะนั้นไม่แน่บางทีหลายคนอาจชอบภาคนี้เพราะความคัลท์ล้วนๆ ขนาดตอนจบที่ดูง่ายเกินเหตุยังทำให้มีอารมณ์ร่วมได้ ซึ่งอยู่ที่ตัวผู้ชมเองด้วยว่าเห็นฉากเหล่านั้นแล้วคิดยังไงบ้าง ในที่นี่ขอใบ้ไว้เลยว่ามีฉากที่หยิบอ้างอิงมาจาก The Texas Chain Saw Massacre (1974) ที่เห็นแล้วเกิดอาการตกใจและสะใจไปในตัว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)