แสงกระสือ (2019)

แสงกระสือ (2019)
Director: สิทธิศิริ มงคลศิริ
Genres: Drama | Horror | Romance
Grade: A-

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

เคยนึกอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องผีไทยที่น่าจะมีจุดเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งเป็นไปได้อยากให้อยู่ในจักรวาลเดียวกันเลยด้วยซ้ำ แต่บางเรื่องดูเฉพาะเจาะจงเกินไปและจบในตัวได้เลย กระนั้นความพิเศษของ"กระสือ"ไม่ได้จบเพียงแค่ชนิดเดียว เนื่องจากมี"กระหัง"เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะคู่รักหรือข้อแตกต่างทางเพศ โดยฝ่ายที่ถูกเล่าอยู่เสมอคือเพศหญิง เนื่องด้วยสภาพสังคมและยุคสมัยที่บทบาทไม่มากเท่าฝ่ายชาย ทำให้ถูกมองด้วยกฎเกณฑ์บังคับหลายอย่าง


สาย (ภัณฑิรา พิพิธยากร) คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เป็นครั้งแรก ดูได้จากการมีประจำเดือนเลอะที่นอนอย่างไม่เตรียมการ ทำให้เปลี่ยนจากเด็กสาวสู่นางสาวที่พร้อมมีความรักและอนาคตในแบบผู้ใหญ่ ซึ่งคนที่หมายปองในความรักครั้งนี้คือ เจิด (สพล อัศวมั่นคง) และ น้อย (โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์) ทั้งสองคือผู้ชายที่ต่างใช้ชีวิตกันคนละแบบ อีกคนอยู่แบบบ้านๆที่บ้านเกิด อีกคนเลือกอยู่ที่พระนครกับอนาคตที่ก้าวหน้า จากเพื่อนในวัยเด็กที่มีมิตรภาพต่อกันได้กลายเป็นรักสามเส้า

การมีประจำเดือนของสายสร้างความประหลาดใจเพียงเล็กน้อย อาจเนื่องด้วยรอให้เกิดหรือรู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องมีสักวัน กระนั้นในความไร้เดียงสาในการขจัดคราบเลือดได้บ่งบอกถึงความไม่เคยมาก่อนอย่างแน่นอน ทว่าการข้ามพ้นวัยตามธรรมชาติได้ก่อให้เกิดเรื่องเหนือธรรมชาติตามมาด้วย เมื่อจู่ๆร่างกายของสายเริ่มมีอาการบางอย่างที่ทรมานและเจ็บปวด ซึ่งในคืนนั้นเองที่ทำให้สายกลายเป็นกระสือครั้งแรก


การไม่ต้องลุ้นให้มากความว่าใครคือกระสือหรือเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องปลอม ช่วยยกระดับความเข้าใจในทันทีและจับประเด็นอื่นได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะมาคิดกังวลใครคือคนร้าย สู้ให้เห็นตัวตนที่แท้จริงเพื่อเล่ามุมมองที่ต่างจากเดิม ขณะเดียวกันยังรักษาเรื่องราวเดิมๆเกี่ยวกับกระสือได้อย่างครบถ้วน เช่น การสืบทอดทายาทด้วยน้ำลาย รอยเปื้อนเลือดที่ผ้าจากการที่กระสือมาเช็ดปาก ที่มาที่ไปของกระสือจากการเล่นคุณไสยมนต์ดำแล้วเข้าตัวเอง และอื่นๆที่ตั้งใจเคารพตัวตนของกระสือที่เป็นฉบับดั้งเดิม

นอกจากรักษาความเป็นกระสือหรือผีไทยด้วยเอกลักษณ์ตัวตนเดิมแล้ว สิ่งที่ชื่นชมและชื่นชอบคือการดัดแปลงตัวตนของกระสือที่มีมากกว่าหนึ่ง ซึ่งปกติจะเห็นการสืบทอดหรือส่งต่อแบบตัวต่อตัวเท่านั้น แต่นี้สามารถทำให้เกิดมากกว่าหนึ่ง เท่ากับเป็นกี่คนก็ได้ คล้ายการแพร่ระบาดเชื้อโรคผ่านสารคัดหลั่ง(น้ำลาย) ถ้าไม่ติดการมีตัวตนของกระสือที่ต้องถอดหัวออกจากร่างและทำให้ดูลึกลับอย่างไม่ทราบแน่ชัด สิ่งเหล่านี้จะดูเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งในเรื่องยังพูดถึงความเชื่อกับความจริงทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย


ทัด (สุรศักดิ์ วงษ์ไทย) คือบุคคลหรือหัวหน้ากลุ่มที่ออกตามล่ากระสือ ไม่มีใครเชื่อเพราะไม่มีใครเคยเห็นกระสือมาก่อน แต่เรื่องประหลาดสัตว์โดนกินเครื่องในและลูกน้อยตัวเล็กเพิ่งคลอดโดนขโมยทำให้เข้าเค้าอยู่มาก ความสมเหตุผลที่ไม่น่าเชื่อถือทำให้ชาวบ้านเริ่มคิดว่ากระสือมีอยู่จริง ผิดกับน้อยที่ไม่เชื่ออยู่ก่อนเพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ สำหรับน้อยที่ตั้งใจเรียนแพทย์จะมองความจริงที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบได้เท่านั้น

กระนั้นสิ่งที่น้อยยึดมั่นต้องเปลี่ยนไปเพราะเห็นการคืนร่างของสาย เท่ากับรู้ตัวตนของกระสือว่ามีอยู่จริงและคือใคร แน่นอนว่าเป็นใครเห็นต้องตกใจและยากจะรับได้ ทว่าความผูกพันระหว่างสายและน้อยยังคงมีอยู่ แรกๆอาจกลัวหรือทำใจลำบาก แต่น้อยได้รับคติเตือนใจอย่างหนึ่งในคืนนั้นแล้วหลบหนีมาอาศัยวัดจากพระท่านหนึ่งคือ"จงเชื่อสิ่งที่เห็น"


กระสือ = ผี,ปีศาจ,สิ่งชั่วร้าย

มิติแรกของกระสือจัดให้เป็นสิ่งชั่วร้ายจากการกระทำ ทำให้เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวและจงเกลียดจงชัง เป็นมุมที่มองเห็นเฉพาะตอนเป็นกระสือเท่านั้น ขณะตอนเป็นคนยังปกติดีทุกอย่าง ไม่มีใครสนใจหรือจดจำเพราะเหมือนกันทุกคน ดังนั้นสิ่งที่น้อยมองกระสือไม่ใช่เพราะเป็นกระสือเพียงอย่างเดียว แต่เห็นว่าเป็นสายหรือคนหนึ่งที่ได้รับเคราะห์ แล้วด้วยความตั้งใจของน้อยที่มีต่อวิชาชีพแพทย์จึงมองสายเป็นคนป่วยที่ต้องรักษา ไหนจะความรักที่มีต่อกันยิ่งไม่ต้องอธิบายเกี่ยวกับน้อยที่อยากช่วยสายมากเพียงใด

ขณะที่อีกคนรู้ความลับของสายและพยายามช่วยอย่างเต็มที่ คนที่ถูกมองข้ามอยู่เสมอคือเจิด อาจด้วยเสน่ห์หรือความสัมพันธ์ที่เทียบเท่าน้อยไม่ได้ แต่ความรักที่มีต่อสายไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน การที่ตัวละครนี้มีบทบาทน้อยกว่าและอยู่ในจุดที่ห่างเหินไม่ได้แปลว่าให้ความสำคัญน้อยกว่า ซึ่งเจิดจะมีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในช่วงท้าย ขนาดที่น้อยเกือบถูกลดระดับเพราะความปิดทองหลังพระของเจิด


สำหรับเจิดนั้นรักสายเป็นอย่างมาก แต่เพราะความจำยอมทำให้โอกาสหลุดลอยให้น้อยกับสายเข้าหากันอยู่เสมอ สภาพของเจิดจึงดูเหมือนคนที่ผิดหวังในความรักแล้วหันมาสนใจเข้ากลุ่มล่ากระสือ ทว่าความจริงของเจิดนั้นน่าเห็นใจและเศร้าพอสมควร เนื่องจากการเข้ากลุ่มล่ากระสือก็เพื่อปกป้องสาย การมาบอกให้ระวังตัวจากกระสือทุกคืน เป็นความนัยคือสายต้องระวังอย่าให้ถูกจับได้ว่าเป็นกระสือ

ส่วนเจิดรู้ความลับของสายเป็นกระสือได้อย่างไรนั้นไม่ต่างกับน้อย แค่เจตนาต่างกันตรงที่อีกคนพบโดยบังเอิญจากการอยากพิสูจน์ความจริง แต่อีกคนรู้เพราะความเป็นห่วงจึงแอบติดตามอย่างเงียบๆ ด้วยเหตุนี้จึงเข้ากลุ่มล่ากระสือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งเทียบกันแล้วเจิดคือผู้เสียสละมากกว่าน้อย ส่วนใครจะรักใครมากกว่ากันนั้นไม่อาจบอกได้ ยกเว้นเทียบคะแนนความเห็นใจย่อมเป็นเจิด


นอกจากกระสือแล้วยังมีกระหัง ซึ่งเรื่องราวจะไม่เปิดเผยจนวินาทีสุดท้ายถึงการมีตัวตน ทำให้ดูหนักไปทางลึกลับซ่อนเงื่อน จากเดิมที่มีเรื่องราวเพียงหยิบมือก็สามารถแต่งเติมให้เป็นเรื่องเป็นราวที่จริงจัง แม้จะดูเข้าใจง่ายและตรงตามสูตรสำเร็จอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นการเล่าเรื่องและไล่เรียงความสำคัญทำได้ลงตัว จะรู้สึกแปลกแค่การปรากฏตัวของกระหังที่กลายเป็นหนังสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อยมีสิ่งยืนหยันแล้วว่ากระสือไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

เหนือสิ่งอื่นใดนอกจากเรื่องกระสือและความรักสามเส้า สิ่งนั้นคือความฝันของทั้งสาม สายอยากเป็นพยาบาล น้อยอยากเป็นหมอ เจิดอยากเป็นทหาร ซึ่งทั้งสามมีมุมมองที่แตกต่างกันเรื่องอนาคต แต่สิ่งที่เหมือนกันและตั้งใจอย่างมากคือการไปเยือนพระนครพร้อมกัน คำสัญญาที่ให้ไว้คือมิตรภาพที่มีต่อกันและจะทำตามที่รับปากไว้ ทว่าความไม่แน่นอนของชีวิตทำให้ทั้งสามมีจุดเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


จุดเปลี่ยนของชีวิตทั้งสามไม่ใช่การเดินตามรอยความฝันที่วาดไว้ หากเป็นที่รองรับของคนรุ่นก่อน ทำให้ทุกอย่างดูเป็นเรื่องซ้ำรอย จากรุ่นสู่รุ่นกลายเป็นข้อบังคับที่มิอาจหนีพ้น แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย กระนั้นโชคชะตามักเล่นตลกอยู่เสมอ ไม่แปลกที่เลือกบทสรุปให้จบเช่นนั้น ต่อให้ดูเป็นโศกนาฏกรรมที่แสนหดหู่และน่าเศร้าอย่างมากก็ตาม

แสงกระสือ นับเป็นหนังกระสืออีกเรื่องที่ดัดแปลงและปรุงแต่งให้ครบรสและลงตัวในหลายๆด้าน โดยเฉพาะประเด็นความรักความเสียสละที่ไม่ดูล้นจนเสียศูนย์ความเป็นหนังสยองขวัญ อีกทั้งยังจัดฉากได้สวยงามและลึกลับขนลุก แต่ที่ชื่นชมคือการออกแบบตัวกระสือที่ไม่จำเป็นต้องมีตับไตไส้พุงห้อยตามตัว ทำให้กระสือดูคล่องแคล่วและไม่รกจนเกินไป การถอดหัวและกลับคืนร่างจึงดูถนัดตาและสมเหตุผลมากกว่า ถือเป็นหนังไทยที่เอาอยู่ในทุกด้าน โดยเฉพาะมิติตัวละครที่พาเข้าถึงได้จนหนังจบ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)