Godzilla: City on the Edge of Battle (2018) ก็อดซิลล่า สงครามใกล้ปะทุ

Godzilla: City on the Edge of Battle (2018) | ก็อดซิลล่า สงครามใกล้ปะทุ | B
Director: Hiroyuki Seshita, Kôbun Shizuno
Genres: Animation | Action | Adventure | Sci-Fi

ต่อเนื่องจากภาค Godzilla: Planet of the Monsters (2017) ที่ดูเหมือนว่าก็อดซิลล่าที่เคยรู้จักไม่ได้มีขนาดและพละกำลังอย่างที่ตัวเองเห็นมาก่อนอีกต่อไป ไม่ว่าจะขนาดที่มหึมาหลายเท่าและพลังที่ทำลายทุกอย่างได้ราบเป็นหน้ากองในทีเดียว ความน่ากลัวได้ยกระดับจากพลังและขนาดจนไม่น่ามีสิ่งใดต่อกรได้ ซึ่งนั้นคือตอนจบอันแสนสิ้นหวังในภาคแรก


ประเด็นความหลงตัวเองที่คิดว่ามนุษย์คือเจ้าของโลกจนการมาเยือนของก็อดซิลล่าได้เปลี่ยนไป แต่ความคิดทวงคืนที่อัดแน่นด้วยความแค้นยังฝังใจไม่เคยลืม ทำให้ความพยายามเอาชนะก็อดซิลล่ายังคงมีอยู่ ต่อให้ยากลำบากเพียงใดก็พร้อมจะเสี่ยงอีกครั้ง ซึ่งการหาหนทางนี้ทำให้พบกับวัตถุดิบที่เคยคิดนำมาต่อกรก็อดซิลล่าตอนที่ยังไม่อพยพจากโลก

เรื่องราวต่อเนื่องกับความรู้สึกสิ้นหวัง แต่ไม่ทันได้หดหู่สักเท่าไรก็เริ่มมีความหวังใหม่เข้ามา สิ่งนั้นคือเศษซากโลหะของเมก้าก็อดซิลล่าที่หลงเหลืออยู่ จากตอนแรกคิดว่าจะนำเมก้าก็อดซิลล่ามาสู้กับก็อดซิลล่า แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมก้าก็อดซิลล่าได้พัฒนาไปตามเวลาเหมือนกับก็อดซิลล่าที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้เมก้าก็อดซิลล่าไม่ใช่สิ่งที่มีรูปร่างเป็นหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ หากเป็นเมืองที่พัฒนาจากการกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบๆ ยกเว้นมนุษย์กับชาวต่างดาวที่ร่วมกันสร้าง


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความคิดที่ว่าจะล่อก็อดซิลล่าให้มาเจอกับเมก้าก็อดซิลล่าเพื่อกลืนกินหรือฆ่าเหมือนกับที่ทำกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นนั้นเอง แน่นอนว่าเป็นการสอดแทรกประเด็นความล้ำสมัยระหว่างเทคโนโลยีจากเมก้าก็อดซิลล่ากับสิ่งมีชีวิตธรรมชาติที่มีตัวแทนอย่างก็อดซิลล่าทำให้เห็นความน่ากลัวของการวิวัฒนาการ โดยเฉพาะเมก้าก็อดซิลล่าที่กลืนกินธรรมชาติแล้วสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของเมือง ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่ต่างกับทำลายธรรมชาติ หากควบคุมไม่อยู่จะกลายเป็นว่ากลืนกินโลกทั้งใบได้เลยใช่หรือไม่ เพียงแค่ตอนนี้อุปสรรคคือก็อดซิลล่าที่เป็นกำแพงสุดท้ายที่หนาและพังยาก

ความน่าเบื่อยังแฝงมาตลอดเกือบทั้งเรื่องจากบทสนาที่ขาดแรงดึงดูด แม้จะมีตัวละครเข้ามาใหม่กับชนเผ่าในป่าที่ดูจะปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้อย่างดี กระนั้นไม่มีประวัติให้เล่าหรือบอกเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองคุ้มครองอยู่ อีกประเด็นคือแทบไม่มีความสำคัญต่อช่วงท้ายที่เป็นไคล์แม็กซ์ต่อสู้เลย ทำให้สุดท้ายแล้วยังเป็นศึกที่มีมุมมองเดียวคือการโค่นก็อดซิลล่าเพื่อทวงคืนโลก


สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาคือการทำให้ตัวละครเลิกแค้นก็อดซิลล่าแบบหัวรั้นได้แล้ว เพราะอย่างที่เห็นในภาคแรกจะมีแต่ความแค้นจนเหมือนเด็กที่ต้องการเอาชนะอย่างเดียว แต่ครั้งนี้มีการคิดการอ่านที่เพิ่มขึ้น เริ่มคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาจากการชนะหรือแพ้ กระนั้นกว่าจะเริ่มมีมิตินี้ก็สร้างความหงุดหงิดไปก่อนแล้วพอสมควร ซึ่งพัฒนาการตัวละครค่อนข้างช้าแม้จะเป็นเรื่องดีที่คิดได้แล้วในที่สุด

สำหรับก็อดซิลล่ายังคงเป็นไคจูที่น่าหวาดกลัวและเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการ จากมุมมองนี้ได้เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างคนที่เห็นก็อดซิลล่าถล่มบ้านเมืองกับคนที่ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน ทำให้เกิดคำถามว่าการสู้กับก็อดซิลล่าเพื่อทวงโลกที่เสมือนบ้านตามความคิดของคนรุ่นก่อนจะคุ้มค่าแค่ไหน ทั้งความแค้นทั้งความอยากต่อสู้ก็เป็นข้อกังขาที่ยอมแลกกับชีวิตได้หรือไม่ ประเด็นอีกหนึ่งข้อที่มีให้เห็นผ่านตัวละครที่รู้และไม่รู้เลยว่าอดีตกับอนาคตอย่างไหนเชื่อถือได้

น่าเสียดายที่ประเด็นทุกอย่างมีให้พร้อมจนมาดีกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคงไว้ประดับให้มีเพียงเท่านั้น ไม่ได้นำพาแก่นสารที่หนักแน่นแต่อย่างใด สิ่งที่พอจะหวังได้คือภาคถัดไปใน Godzilla: The Planet Eater (2018) ที่น่าจะขมวดปมและเนื้อหาทุกอย่างให้เข้าใจในบทสรุปที่ผ่านมา

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)