The Flash (2023) เดอะ แฟลช

The Flash (2023) | เดอะ แฟลช | B+
Director: Andy Muschietti
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Sci-Fi

“เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ”

สิ่งที่รู้สึกสนุกอย่างมากคือการล้อเรื่องเวลาและเรื่องคู่ขนานที่มีอยู่จริง อย่างการนำ Back to the Future (1985) มาพูดถึงเรื่องนักแสดงบทพระเอก ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่าคือ Michael J. Fox ทว่าก่อนหน้านั้นคือ Eric Stoltz แสดงอยู่ก่อน แต่มีการเปลี่ยนนักแสดงภายหลัง แล้วจะเป็นยังไงหากไม่เปลี่ยนนักแสดง


รู้สึกสนุกกับการปั่นความคิดและเซอร์วิสจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เช่น การเห็น Michael Keaton กลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง ซึ่งมาพร้อมกับคาแรคเตอร์เดิมจนต้องย้อนกลับไปดู Batman (1989) และ Batman Returns (1992) ให้หายคิดถึง

รวมไปถึงฉากต่างๆ ที่เซอร์ไพรส์และเซอร์วิสกันหลายครั้งมาก ซึ่งทั้งหมดมาจากเวลาที่ถูกแก้ไขจนส่งผลกระทบต่อกันมา เมื่อเทียบเรื่องเวลาที่เกิดขึ้นของ Avengers: Endgame (2019) ยังเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่นี่เปลี่ยนบริบทจนต่างไปเลย หรือบริบทเหมือนเดิม แต่บางสิ่งเปลี่ยนไป อาทิ บรูซ เวย์น หรือแบทแมน แสดงโดย Ben Affleck เปลี่ยนเป็น George Clooney ที่เคยรับบทเดียวกันใน Batman & Robin (1997)

แม้ไม่งงในสิ่งที่หนังเล่ามา แต่ต้องเสี่ยงกับความเข้าใจของคนดูที่ต้องรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังระดับหนึ่ง ไม่งั้นจะไม่สนุกหรือเซอร์ไพรส์เพราะไม่รู้หมายถึงอะไร อย่างฉากวิ่งในห้วงเวลาที่เห็นซูเปอร์แมนและซูเปอร์เกิร์ลในยุค 70s – 80s คือนักแสดง Christopher Reeve และ Helen Slater



ที่แปลกตาแปลกใจสุดคือการได้เห็น Nicolas Cage ในบทซูเปอร์แมน ซึ่งเคยมีข่าวจะสร้างหนังและมีเบื้องหลังใส่ชุดพร้อมถ่ายทำ แต่ถูกยกเลิกเสียก่อน แม้ภาพลักษณ์ดูแปลกจนบางครั้งนำมาล้อเลียน แต่พอได้เห็นในหนังจริงๆ ไม่กี่วินาทีกลับกลายเป็นเท่และทรงพลัง

องค์ประกอบจะมากมายเท่าไหน แต่พล็อตเรื่องไม่ได้ซับซ้อนจนต้องนั่งเชื่อมโยงเหตุการณ์ เพียงแค่ แบร์รี อัลเลน หรือแฟลช (Ezra Miller) เพิ่งเข้าใจพลังของตัวเองที่ย้อนเวลาได้ ทำให้อยากลองกลับไปแก้ไขสิ่งที่เป็นปมในใจมาตลอด นั่นคือการช่วยเหลือแม่ (Maribel Verdú) ของตนเอง

เมื่อแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตด้วยความระมัดระวังสำเร็จ สิ่งที่ได้กลับมาคือการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลาย ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมและกลายเป็นปัญหาตามมา ทำให้ต้องหาวิธีย้อนกลับไปแก้ไขอีกครั้ง ซึ่งความยากคือตนสูญเสียพลังและอยู่ในช่วงเวลาที่นายพลซ็อด (Michael Shannon) บุกโลกแบบเดียวกับเหตุการณ์ Man of Steel (2013)


ส่วนตัวแล้วชอบ Ezra Miller ในบทแฟลช (ไม่คำนึงถึงตัวนักแสดงในด้านอื่นๆ) และคาแรคเตอร์ที่หัวไว แต่น้อยประสบการณ์ ทำให้การตัดสินใจบางครั้งมีความใจร้อน เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเล่น ซึ่งการแสดงน่าดึงดูดพอสมควร แล้วมีฉากดราม่าชวนซึ้งน้ำตาคลอที่รู้สึกเจ็บและต้องทำใจยอมรับ

ที่น่าสนใจและชอบมากๆ คือ Sasha Calle ในบทซูเปอร์เกิร์ลที่แฝงความหัวร้อนและความห้าวพร้อมชนได้ทุกอย่าง ซึ่งช่วงเวลานี้ไม่มีซูเปอร์แมนเพราะไม่รอดชีวิตถึงโลกได้ แม้บทจะมีมิติน้อยไปสักน้อยเพราะบทให้ถูกจองจำในคุก ไม่ได้สัมผัสชีวิตโลกหรือเข้าสังคม แต่เพราะไม่ชอบสงครามทำให้ออกสู้เพื่อความยุติธรรมและความแค้นส่วนตัว ช่างเป็นซูเปอร์เกิร์ลที่โคตรเท่และอยากให้มีภาคแยกของตัวเองซะเหลือเกิน

สิ่งที่น่าตงิดใจคือ CGI ที่ภายหลังผู้กำกับ Andy Muschietti บอกว่าเป็นความตั้งใจให้ดูไม่สมจริงเพราะเป็นโลกหรือมุมมองของสปีดฟอร์ซ ซึ่งการได้เห็นอะไรแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้เป็นความตั้งใจจริงหรือไม่คือความขัดใจมากๆ จะดูจริงจะดูปลอมชวนรู้สึกย้อนแย้งเหมือนงานทำไม่เสร็จ คงจะดีกับการได้เห็นภาพที่สมจริงกว่านี้ (นึกถึง The Mummy Returns (2001) ที่ตอนนั้นพอรับได้ตามยุคสมัย แต่นี่ควรดีกว่ามากๆ)


หลังดูจบมีรู้สึกเสียดายหนังบางเรื่องใน DCEU (DC Extended Universe) ที่ต้องจบลงเพียงเท่านี้ จากนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ใน DCU (DC Universe) ซึ่งไม่รู้จะเล่าเรื่องหรือกำหนดทิศทางยังไงบ้าง นักแสดงจะกลับมาเล่นในบทเดิมหรือไม่ การทิ้งท้ายด้วยการรีเซ็ทจักรวาลจึงคล้ายกับ X-Men: Days of Future Past (2014) ที่ต้องการเริ่มต้นใหม่เพื่อล้างข้อผิดพลาดเก่าๆ ที่อาจดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้

ป.ล. ยังเหลือ Aquaman and the Lost Kingdom ที่เลื่อนฉายจนกลายเป็นหนังปิดจักรวาล DCEU ซะอย่างงั้น (ถ้าได้ฉาย) ทั้งที่ตัวปิดจบคือ The Flash (2023) แท้ๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)