Howard the Duck (1986) ฮาเวิร์ด ฮีโร่พันธุ์ใหม่

Howard the Duck (1986) | ฮาเวิร์ด ฮีโร่พันธุ์ใหม่
Director: Willard Huyck
Genres: Action | Adventure | Comedy | Romance | Sci-Fi
Grade: D+

เห็นว่าเป็นหนังยอดแย่และเจ๊งด้วยจึงอยากดู เดี๋ยวๆปกติต้องหนังดีๆได้รับคำชมไม่ใช่เหรอถึงอยากดู ก็แหม่อยากรู้นี่ว่าเจ้าเป็ด(ไม่)น้อยตัวนี้ไปสร้างวีรกรรมเอาไว้บ้างจนโลกต้องจารึกเอาไว้ว่าห่วยเอาการ


ฮาเวิร์ดเจ้าเป็ดที่กำลังใช้ชีวิตของตัวเองไปวันๆในห้องของตัวเองที่กำลังนั่งดูทีวีอย่างสบายใจเฉิ่ม(กำลังเปิดนิตรสาร Play Duck ไปแซวนิตรสาร Play Boy ซะงั้น) แต่แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาหลุดลอยจากดาวเป็ดที่ๆเป็นบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมแต่ตอนนี้ได้หลุดออกนอกโลกจนทะลุชั้นบรรยากาศผ่านดวงดาวมากมายจนมาตกที่โลกมนุษย์ แล้วหลังจากนั้นเกิดไปเห็นผู้หญิงถูกทำร้ายจึงเข้าไปช่วย และเธอคนนั้นคือเบฟเวอร์ลี่ สวิซเลอร์ (Lea Thompson) นักร้องสาวในบาร์ที่กำลังอยู่ในสถานะไม่ค่อยดี ด้วยการไปช่วยเหลือทำให้เบฟเวอร์ลี่เห็นอกเห็นใจฮาเวิร์ดอยากตอบแทนด้วยการหาทางกลับสู่บ้านเดิม และเบฟเวอร์ลี่มีฟิล บลัมเบิร์ท (Tim Robbins) เพื่อนนักวิทยาศาสตร์อยู่จึงเข้าไปขอความช่วยเหลือก่อนจะพบว่าที่แท้การมาของฮาเวิร์ดคือการงานทดลองของ ดร.วอลเตอร์ เจนนิ่ง (Jeffrey Jones) ที่สามารถยิงเลเซอร์สร้างมิตินอกโลกได้(และดันไปโดนฮาเวิร์ดที่โลกเป็ดเข้า) ทว่ากว่าจะรู้ความจริงกับการทดลองก็เผอิญได้ลองทดลองกันอีกครั้งจนไปได้เจ้าดาร์คลอร์ด งานนี้ฮาเวิร์ดจึงต้องแก้สถานการณ์มากู้โลกจัดการจอมวายร้ายนอกนโลกก่อนที่มันจะพาพักพวกมาเยือนที่โลกอีกเพียบ

แปลกดีเนอะพล็อตเรื่องแบบนี้ แต่ไม่เชิงว่าต้องประหลาดอะไรถ้ามองว่าเจ้าเป็ดฮาเวิร์ดคือเอเลี่ยนที่ไม่ตั้งใจมาโลก(โลกพาเขามาเอง) แล้วต้องกลายเป็นฮีโร่จำเป็นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ชอบตอนเปิดเรื่องที่ทำให้เห็นบรรยากาศในห้องฮาเวิร์ดที่โลกเป็ดว่าเป็นยังไง ซึ่งอันที่จริงน่าจะเรียกว่าโลกคู่ขนานที่ถูกดัดแปลงจากมนุษย์เป็นเป็ดแทน ในห้องเราจะเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่โลกของเรามีตามนั้นทุกอย่างแค่ถูกเปลี่ยนไปตามสภาพของผู้อาศัย ดูสิโปสเตอร์อินเดียน่าโจนส์ภาคแรกของเรากลายเป็นหน้าเป็ดไปซะแล้ว นึกซะว่าเป็นมุขที่เห็นแล้วแอบยิ้มเล็กๆ นี่แสดงว่าโลกเป็ดไม่ได้แตกต่างจากโลกของเราเท่าไหร่เลย มีสังคม มีรถมีรา มีทุกอย่างเหมือนหมดเว้นแต่อย่างว่า


ที่สำคัญเดิมทีเป็นการ์ตูนมาก่อนด้วย  เขียนโดน Steve Gerber ซึ่งเป็นการ์ตูนของทางฝั่งของมาร์เวล ทั้งยังเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากหนังสือการ์ตูน ในก่อนหน้านี้ยังเคยมีซุปเปอร์หลายอื่นๆที่ตามมากับฉบับหนังอย่างกัปตันอเมริกาที่ถูกสร้างขึ้นใน Captain America (1944) ที่ผลลัพธ์ถูกแฟนๆตำหนิเพราะดัดแปลงไปจากการ์ตูนอย่างมาก จนได้มีโอกาสอีกครั้งกับ  Captain America (1990) ที่สุดท้ายกลายเป็นหนังวีดีโอกับเรด สกัลล์ฉบับมาเฟีย

ดังนั้นข้อดีของ Howard the Duck คือการรักษาภาพเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด แม้จะไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนมาก่อนทว่ากับการเป็นหนังเรื่องการรักษาแบบซื่อตรงเกินไปทำให้การรับชมในวงกว้างจึงถูกจำกัดในกลุ่มเด็กๆเสียมากกว่า ในขณะที่มุมมองผู้ใหญ่กลายเป็นเนื้อเรื่องงี่เง่าและง่ายเกินไปจะยอมรับได้หมด อย่างการมาของฮาเวิร์ดที่ทะลุนอกชั้นบรรยากาศของโลกเป็ดออกมาท่องอวกาศแบบตัวเปล่าๆ อันที่จริงฮาเวิร์ดน่าจะตายไปแล้วตั้งแต่ยังไม่ออกนอกโลกด้วยซ้ำและคงไม่ต้องอธิบายว่าการอยู่ในอวกาศในสภาพที่ไร้ซึ่งอากาศจะอยู่รอดได้ แล้วไหนจะการพุ่งเข้าหาโลกที่ผ่านชั้นบรรยากาศความร้อนที่เมื่อถึงโลกย่อมกลายเป็นเป็ดเกรียมแน่ๆ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างล้วนกับเป็นเรื่องของจินตนาการของเด็กที่ไร้ซึ่งวิทยาศาสตร์มาอ้างขู่ๆว่าต้องมีเหตุผลหน่อย ทำให้หนังเรื่องนี้ไร้ซึ่งคำอธิบายมาประกอบความเข้าใจได้เลย จะมาก็มา จะมีก็มี แล้วไหนจะตัวร้ายดาร์คลอร์ดของเรื่องที่เกิดมาแบบเดียวกับฮาเวิร์ดแต่สิงเข้าคนแทน แต่ยังไงอะไรนั้นเราไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เกิดขึ้นเป็นยังไง เพราะจู่ๆ ดร.วอลเตอร์เดินเข้าพร้อมกับอาการที่บอกถึงว่ามีบางอย่างในตัว


แต่กว่าตัวร้ายของเรื่องจะมาก็เล่นเอาเราเกือบหมดความคิดในการตามหาผู้ร้ายในเรื่องเลยว่าคือตัวอะไรล่ะ เพราะการมาของดาร์คลอร์ดแบบร่างจริงก็มาซะท้ายเรื่องที่ทั้งก่อนหน้านี้ยังคงสิงสถิตในร่าง ดร.วอลเตอร์ต่อไป จะว่าไปตัวร้ายของเรื่องถ้าเป็นแบบการ์ตูนยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ พอมาอยู่ในหนังนี่แทบคิดหนักเลยว่าเด็กจะร้องไห้หรือเปล่า เพราะทำออกมาเน้นน่ากลัวน่าขยะแขยงไปนิด เห็นแล้วน่ากลัวเป็นหนังสยองขวัญเลยก็ยังได้ ที่ดีคืออย่างน้อยเราไม่เห็นพฤติกรรมที่ชวนดูโหดอะไรเลย มียิงลำแสงซะมากกว่า แต่อะไรที่งอกจะมือนั้นน่าแหวะไปหน่อยนะ

ยังไม่หมดเท่านั้นเพราะฉากต่อไปนี้อาจทำให้ผู้ใหญ่เริ่มๆตะหงิดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเห็นเป็ดกับเบฟเวอร์ลี่จะทำอะไรกันบนเตียง?! ใช่เลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิลึกเมื่อทั้งคู่เกิดปิ๊งมีความรักให้กันทั้งที่ควรมองว่าเป็นมิตรภาพเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ยังจะสวยกว่า อย่างน้อยไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการเกือบๆได้เห็นเป็ดจูบ(ไม่ๆเบฟเวอร์ลี่เป็นคนจูบ!)ที่เผอิญจังหวะฟิลเข้ามาขัดพอดี นี่ถ้าไม่มีอะไรมาขัดก็ไม่ทราบว่าจะเกิอะไรขึ้นหลังจากนี้พร้อมทั้งยังสับสนด้วยว่านี่มันอะไรกัน ชอบของแปลกกันหรือไง เห็นงี้ฝ่ายที่เปิดใจก่อนไม่ใช่ฮาเวิร์ดแต่เป็นเบฟเวอร์ลี่ที่ค่อยๆเห็นภายใต้จิตใจของฮาเวิร์ดจนนึกสงสารอยากช่วยจนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างทำให้เธอมองเป็นพระเอกในดวงใจ


อยากแรกถ้าฮาเวิร์ดคือคนมันจะเป็นหนังว่ากันตามสูตรหนังรักทันที เริ่มจากคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันแล้วผูกพันรักกัน จบ! แต่นี่ไม่เลยมันคือเป็ดพูดภาษาเดียวกันได้ แถมยังมีวิวัฒนาการจนมีแขนแทนปีก ในแง่ของชาวโลกคงมองว่าเป็นตัวประหลาด สำหรับผู้ชมอาจมองว่าเป็นเอเลี่ยนจากดาวหนึ่งที่ไกลโพ้น แต่แล้วไงล่ะเมื่อฮาเวิร์ดมาถึงโลกกับสายตาที่คนมองเป็นได้เพียงชุดเป็ดที่สวมอยู่ และบางคนไม่รู้ว่าจะกลัวเป็ดอะไรนักหนา ประเด็นเรื่องสิ่งแปลกปลอมเดินตามท้องถนนนี่หมดสิทธิ์ไปเลยเพราะต่างคิดว่าฮาเวิร์ดเป็นเพียงชุดตัวโตๆเท่านั้น และที่น่าตกใจแบบไม่รู้ว่าตลกดีไหมที่เกิดอยากหางานทำจนไปสมัครที่กองของานสำหรับคนว่างงานจนไปเจอหญิงอ้วนผิวดำพล่ามแบบเสียดสีแบบปากไม่ตรงกับใจ ซึ่งตามหลักแล้วควรจะหาวิธีกลับบ้านโลกเป็ดตามเดิมไม่ดีกว่าเหรอ ทำตัวเป็นปถุชนแบบชาวโลกเช่นนี้มันง่ายไปหรือเปล่าที่จะท้อใจไม่อยากกลับบ้านแล้ว จะว่าปมประเด็นเกี่ยวกับฮาเวิร์ดอะไรเนี่ยถูกเล่าได้หละหลวมอย่างมากจนเกือบๆน่ารำคาญนิดนึงเลยทีเดียว อีกแง่เอาไว้ดูผ่อนคลายไม่คิดมากอาจจะสนุกขึ้นมากับแนวแปลกๆก็ได้

อาจจะทะแม่งๆในความรักระหว่างคนกับเป็ดที่เล่าได้ง่ายแบบสุดกู่จนไม่นึกว่าน่าจะมีความผูกพันอะไรเลย ทว่าช่วงเวลาที่หนังได้ดำเนินเรื่องก็สนุกดีแบบไม่คิดอะไรหนักๆที่ถ้าคิดเมื่อไหร่แง่ลบมาเพียบ ฉากที่ดีที่สุดในเรื่องคือฉากนั่งเครื่องบิน(ที่เหมือนๆเครื่องล่อนแต่มีปีก)กับการหนีไล่ล่าของเหล่าตำรวจที่วิ่งไล่อย่างเมามันส์ ในขณะที่ฉากอื่นๆพอไปได้แบบถูไถอย่างง่ายๆไม่ว่ากัน ช่วงแรกค่อนข้างน่าเบื่อค่อนข้างอืดไปหน่อย มาดีช่วงหลังๆตอนที่ดาร์คลอร์ดมาเยือนค่อยดำเนินเรื่องเร็วมาบ้าง ส่วนเอฟเฟคต่างๆดีไปตามยุคสมัยนั้นแถมได้กลิ่นอายจากโปรดิวเซอร์อีกด้วย ทายสิว่าใคร George Lucas จ้าวแห่งจักรวาล Star Wars ไงล่ะ ด้วยทุนการสร้าง 35 ล้านเหรียญ จึงไม่แปลกถ้าเอฟเฟจะออกมาพอตัว ทว่ารายได้ทำเรื่องนี้ตกต่ำเข้าไปอีกด้วยจำนวนเงินเพียง 16 ล้านเหรียญเท่านั้น ดูเหมือนทางการมีชื่อ George Lucas จะช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆแม้จะมีฉากเปิดเรื่องท่องอวกาศเห็นดวงดาวนึกถึง Star Wars ก็ตาม เป็นได้ว่า Howard the Duck มีสนุกเป็นบางช่วงในแบบหลวมๆของมัน อาจจะไร้น้ำหนักในฉากต่อสู้ที่ฮาเวิร์ดจัดการเหล่าอัทธพาล กับนักแสดง Lea Thompson ที่เห็นแล้วอาจลืมข้อเสียไปเลยก็ได้กับความสวยและเซ็กซี่ของเธอ และความพยายามกับการแสดงตัวละครของฮาเวิร์ดที่ต้องใช้ถึง 7 ชีวิตมาเล่นบทนี้กับอีก 1 เสียง รวมๆ 8 คนจึงจะได้ฮาเวิร์ดในเรื่องนี้ออกมา เอาเป็นว่าไม่ถึงกับแย่จนห่วย แค่ไร้รสนิยมไปหน่อยเท่านั้นเอง ยังดูสนุกพอเป็นประปราย โดนเฉพาะถ้าคุณเป็นนักจับผิดจะพบสิ่งเลวร้ายบนตัวหนังมโหฬารเลย แต่อย่าไปเล่าให้เด็กฟังล่ะ ก็เผื่อเด็กดูมากกว่าผู้ใหญ่นี่นาจะเอาอะไรมาก

อ่อเกือบลืม ในเรื่องนี้มีคำว่า"Duck"สักร้อยคำได้มั้ง Duck Duck Duck...

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)