Rock of Ages (2012) ร็อคเขย่ายุค รักเขย่าโลก

Rock of Ages (2012) | ร็อคเขย่ายุค รักเขย่าโลก
Director: Adam Shankman
Genres: Comedy | Drama | Musical | Romance

"อ้าวๆขาร็อคทุกท่านวันนี้พร้อมจะโยกไปกับอารมณ์สุดเหวี่ยงกันแล้วหรือยัง ถ้าคิดว่าพร้อมขอเสียงกรี๊ดหน่อย" // กรี๊ดดด

เชื่อว่าขาร็อคเพลงโหดหลายท่านน่าจะชอบกับเรื่องนี้พอประมาณที่คุ้ยงานเพลงระดับคลาสลิคมาให้ฟังในฉบับนักแสดงร้องเองที่หลายคนยังต้องแปลกใจเลยว่านี่ใช้คนๆนี้จริงหรือไม่ อย่าง Tom Cruise ที่ขอเวลา 4 เดือนครึ่งไปจัดการเรื่องเสียงของตัวเองด้วยการไปเรียนร้องเพลงที่แทบเกือบๆกลายเป็นกิจวัตรทำงานไปเลย ซึ่งผลออกมาเป็นเหนือความคาดหมายมากๆ ทั้งหนักแน่น ทรงพลัง และร็อคสมตัวละครในเรื่องที่เป็นเจ้าตำนานความร็อคจนใครต่อใครใจมลายเมื่อได้ใกล้โดยเฉพาะสาวๆที่หลงเสน่ห์จนกลับตัวไม่ทัน นอกจากนี้ยังเป็นผลงานชิ้นแรกในการทำมิวสิคคัลอีกด้วย ถือว่าพระเอกคนนี้อยู่วงการมานานแต่ยังไม่เคยได้โชว์พลังเสียงเลย มี Rock of Ages นี่แหละที่จะทำให้ผู้ชมปรับมุมมองชายคนนี้ที่มีแต่หนังรักกับแอ็คชั่นบ้างล่ะ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ใช่ย่อยได้โชว์เสียงตัวเองบ้างอย่าง Alec Baldwin ที่อาจมีหลุดเพี้ยนนิดนึงแต่สุดท้ายกล่มกลืนไปกับเพลงได้อย่างสบายหูพร้อมกับหน้าตาที่ดูเหมาะกับสมัยแห่งร็อคได้อย่างดี ซึ่งดีแน่ๆเพราะก่อนหน้านี้ผู้ที่จะมารับนี้ยังมี Will Ferrell กับ Steve Carell ที่ซึ่งลองเป็นเจ้าของบาร์ร็อคดูสิ รับรองได้เลยว่าไม่หนังตลกฮาแตกก็หนังรักผสมดราม่าที่ดูผิดหลักกับความร้อนแรงแห่งร็อคไปแน่ๆ คิดกลับกันอาจทำให้หน้าตาหนังสนุกมาอีกแบบก็ได้ แต่ปัญหาไม่ใช่อะไรเพราะตลอดทั้งเรื่องส่วนใหญ่ต้องเล่นประกบคู่กับ Russell Brand ในฐานะลูกจ้างในบาร์ที่สนิทสนมกันอย่างดีปานคนรู้ใจ และ Alec Baldwin เล่นได้ดีกว่าในทางบุคลิกและ...และความสัมพันธ์โรแมนติกแบบเกย์ๆที่ขับเคลื่อนด้วยบทเพลง Can't fight this feeling ไม่คิดเลยว่ามันจะมีเรื่องรักแนวนี้ผสมอยู่ด้วย แต่เอาเถอะถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ประดับเนื้อเรื่องให้มีมิติของตัวละครมากขึ้น แม้จะพิลึกนิดๆ
 

Tom Cruise ในเรื่องที่ต้องรับผิดชอบร้องเพลงประมาณ 8 เพลงสามารถทำได้ดีกว่าที่ผู้ชมคาดเอาไว้มากกับความแข็งแรงเรื่องเสียง ดังนั้นแล้วตัวเอกทั้งสองอย่าง Diego Boneta กับ Julianne Hough ย่อมต้องมีความพลังเรื่องเสียงที่ไม่ด้อยกว่าด้วยเช่นกัน ซึ่งต่างร้องออกมาได้น่าฟังไม่แพ้ต้นฉบับแม้จะรู้สึกแม่งๆกับ Julianne Hough ยังไงไม่รู้เรื่องเสียงที่แหลมใสจนโดดเด่น แต่เพราะนะสดใสดี และยังเป็นคนร้องคู่ได้ทั้ง Tom Cruise กับ Diego Boneta อีกด้วย แถมยังเคยได้รับการเสนอให้ Taylor Swift มารับบทนี้ด้วย หุหุให้นักร้องมาร้องเองจะบอกว่าไม่ดีคงกระไรอยู่ แต่สุดท้ายไม่ได้มาเล่นจนได้ ที่ขาดไม่ได้คือ Malin Akerman จากเรื่อง Watchmen (2009) มาบรรจงร้องคู่กับ Tom Cruise ด้วยบทเพลง I Want To Know What Love Is ที่เพราะดีใช้ได้เลย แต่เอิ่มตอนร้องคู่กันนี่มันขัดๆกับอารมณ์เพลงดีหรือเข้ากับเพลงดีก็ไม่รู้แหะ แบบว่าเห็น Tom Cruise ตรงระหว่างขาแล้วเหมือนจะมีพลังศิลป์บางอย่างครอบงำ อีกแง่ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงรู้สึกขำนิดๆ เห็นแบบนี้ยังมีนักแสดงเลือกๆเอาไว้ที่มีโอกาสเช่นกัน(อีกแล้ว)อย่าง Anne Hathaway ที่เผอิญไม่ว่างติดงานกับ The Dark Knight Rises (2012) ในบทนางแมว และ Amy Adams ที่เคยผ่านงานร้องเพลงมาแล้วกับเรื่อง Enchanted (2007) ในบทสโนว์ไวท์ที่หันไปเล่น Man of Steel (2013) แทน ยังไม่หมดเท่านี้อีกสองรายที่มี Gwyneth Paltrow และ Olivia Wilde รวมอยู่ด้วย


Rock of Ages ดัดแปลงมาจากละครเพลงชื่อเดียวกันที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในยุค 80S ในแวดวงเพลงอันรุ่งโรจน์โดยเฉพาะแนวดนตรีร็อคที่เข้ามามีอิทธิพลทางจิตใจมากมายอย่างของ Styx,Journey,Bon Jovi,Pat Benatar,Twisted Sister,Steve Perry,Poison และ Europe แต่แล้วความร็อคค่อยๆหายไปจากอิทธิพลดนตรีแนวป๊อปที่เข้ากับผู้คนได้ทุกวัยผิดกับแนวร็อคที่มีเนื้อหาหนักแน่นและรุนแรงแบบตรงไปตรงมา และสำหรับเรื่องนี้ดูเหมือนจะมีความต้องการเชิดชูดนตรีร็อคอยู่บ้างจากการหยิบเพลงระดับแนวหน้ามาประกอบรวมถึงการแสดงเหตุการณ์กลุ่มต่อต้านอีกด้วย เรื่องราวในเรื่องนี้เริ่มต้นที่เชอร์รี่ คริสเตียน (Julianne Hough) จากบ้านมาเพื่อตามความฝันของตัวเองจากความที่ว่าชอบดนตรแนวร็อคมากๆจนมาเจอกับดรูว์ โบเลย์ (Diego Boneta) พนักงานเสิร์ฟในคลับเบอร์เบินรูมที่ช่วยส่งเสริมเชอร์รี่มาทำงานในคลับนี้ จนกระทั่งทั้งคู่ปิ๊งปั๊งเกิดตกหลุมรักกันขึ้นมา ในขณะเดียวกันเดนนิส ดูพรี (Alec Baldwin) ผู้บริหารคลับต้องกุมขมับกับภาษีหนี้ค้างที่เพิ่มมากขึ้นจนอาจต้องปิดกิจการลงได้ ทั้งยังปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้าอย่างพวกอนุรักษ์นิยมต่อต้านดนตรีร็อคที่นำโดยไมค์ วิทมอร์นายกเทศมนตรีคนใหม่ (Bryan Cranston) กับคุณนายแพทริเซีย วิทมอร์ (Catherine Zeta-Jones) ภรรยาจอมเผด็จการตัวนำขบวนต่อต้าน แต่แล้วเหตุการณ์ได้บันดาลให้ชายที่หลายคนหลงใหลนี่ปรากฏตัวกับสเตซี่ แจ็กซ์ (Tom Cruise) ที่จะมาคลับเบอร์เบินรูมเพื่อส่งเสียงแห่งร็อคให้แฟนเพลงได้ฟังในคืนที่โหยหาได้ลุกโชน

เหมือนพล็อตเรื่องจะไม่มีอะไรมากมายนอกจากจะจับตัวครที่กำลังพบสิ่งดีกับสิ่งไม่ดีเป็นเนื้อเรื่องเดียวกันโดยในเรื่องได้ระบุความฝันดรูว์พร้อมทั้งความสามารถที่อยากได้ร้องเพลงต่อหน้าผู้คนกับเขาบ้าง ซึ่งแล้วไงล่ะในเมื่อเนื้อเรื่องจู่ๆได้เปิดโอกาสขึ้นมาจากการที่ว่าสเตซี่ไม่มาตามนัดเรื่องจะมาร้องเพลงที่คลับ จากจุดนี้ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองหนึ่งจากช่วงความรักมาเป็นความฝันไม่ต่างกับเชอร์รี่ที่อยากมาฮอลลีวู้ดเพราะความปรารถนาของเธอเอง แม้จะเสียใจที่การมาเมืองจะทำให้สูญเสียของที่ติดไม้ติดมือแต่การไปเจอดรูว์ทำให้ตัวเองมีความสุขอีกครั้งกับชีวิต


ดังนั้นอย่าว่าแต่เรื่องรักที่บังเอิญได้เจอกันเพราะยังความชอบในเสียงเพลงเช่นเดียวกันด้วย และเชอร์รี่เป็นเสมือนแรงผลักดันในตัวดูรว์ให้รู้จักความกล้าในการแสดงออกต่อหน้าผู้ชมจนเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองไม่ได้ด้อยไปกว่าที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้ น่าเสียดายที่เวลาของตัวหนังจะผ่านไปเร็วหรือมาช้าไปหรือยังไงประเด็นเรื่องการกล้าแสดงออกถึงผ่านไปได้โดยง่ายราวกับโรยด้วยดอกกุหลาบแถมทำท่าเหมือนจะไปตามอารมณ์เพลงแบบไม่มีท่าทีว่ากลัวเลยสักนิดเดียว อีกแง่หนึ่งการแสดงออกของดูรว์ไม่ได้เกิดจากความกล้าอย่างที่คิด เพราะว่าสิ่งที่ตาเห็นทำให้เขารู้สึกคล้ายหนุ่มอกหักที่ถูกคนที่ยกย่องแย่งไปนั่นเอง เนื่องจากดูรว์ได้เห็นเชอร์รี่อยู่กับสเตซี่แล้วคิดว่ามีอะไรกันทำให้การโชว์ร้องเพลงครั้งแรกของเขาเต็มไปด้วยการระบายอารมณ์ ขับเคลื่อนด้วยความแค้นจากความรู้สึกเสียใจ ซึ่งภาพลักษณ์ของดูรว์ไปส่งผลต่อผู้จัดการสเตซี่จนอยากเอาเข้ามาเป็นนักร้องในสังกัดตัวเอง อีกด้านหนึ่งนี่เป็นสิ่งที่ดูรว์ไม่คาดฝันมาก่อนว่าตัวเองจะได้เป็นนักร้องมืออาชีพที่ภายหลังจะมีแฟนคลับไม่ต่างกับตำนานร็อคสเตซี่ อีกภาวะหนึ่งเขาต้องทิ้งคลับที่ตัวเองอยู่พร้อมกับเชอร์รี่ที่ตอนนี้เป็นเพราะเขาทำเสียเรื่องเสียแล้ว คล้ายเรื่องราวจะดราม่าแทนซะแล้วแบบนี้ แถมเดนนิสต้องพลาดท่าให้กับผู้จัดการของสเตซี่ที่หลอกเก็บเงินในคลับทั้งที่บอกว่าจะเล่นให้ฟรีแล้วไหนจะดูรว์หน้าใหม่ที่น่ารุ่งได้ถ้าร้องในคลับต่อไปต้องโดนแย่งไปเป็นนักร้องของบริษัท ไหนจะเชอร์รี่ที่ขอลาออกจากคลับไปหางานอย่างอื่นทำ สุดท้ายคลับที่น่าครึ้กครื้นต้องจบลงด้วยการไม่เหลืออะไรเลยในท้ายที่สุด

มาคิดให้ดีตัวหนังแบ่งช่วงแห่งความสุขและทุกข์ โดยช่วงแรกคือสุขที่มีทางออกอันแสนเรียบง่าย ในขณะที่พอช่วงแรกจบลงความทุกข์จะขนกันมาให้รู้สึกอ้างว้างไร้ทางแก้ ที่จุดนี้จะเป็นบทพิสูจน์เหล่าตัวละครต่างๆว่าจะทำยังไงกับชีวิตเห็นแสนเปล่าเปลี่ยวต่อไปของตัวเอง อย่างเชอร์รี่ที่ออกจากคลับเบอร์เบินรูมไปแล้วก็ต้องเริ่มชีวิตใหม่ที่มุ่งหมายเอาไว้ในเรื่องงานที่พยายามหาตามริมถนน แต่เหมือนจะหาไม่ง่ายดายสำหรับตัวเธอจนต้องกลายเป็นสาวเสิร์ฟในคลับแห่งหนึ่งก่อนจะต้องเต้นระบำเปลือยเพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่ในคลับนั้นต่อไป


แม้เราจะไม่เห็นท่าทางของการระบำว่าเปลือยมากน้อยแค่ไหน เป็นเพียงการเต้นที่ควบคู่กับเสาเท่านั้นจึงยืนยันได้อย่างหนึ่งว่านางเอกของเรายังน่ารักเช่นเคยจากภาพพจน์ของเธอ ทำให้ผู้ชมไม่อาจหยั่งลึกถึงความลำบากที่เธอมีได้ในตอนที่เล่าให้ดูรว์ฟังว่าตัวเองไปทำงานอะไรมาหลังจากอกจากคลับไป ส่วนดูรว์เองใช่ว่าจะสบายต่อการเป็นนักร้องเมื่อยุคสมัยค่อยๆขยับเลื่อนจากความร็อคออกไปจากคณะกรรมการที่ลงความเห็นให้ดูรว์ไปร้องเพลงป๊อปในที่สุด อันที่จริงเดิมทีเขายังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะออกจากคลับเบอร์เบินรูมเพราะใจหนึ่งคือที่ๆเขาอยู่และผูกพันมาก่อน ทว่าความฝันท่จะได้ร้องเพลงแบบคนดังจึงจำใจละจากทุกสิ่งออกทั้งเชอร์รี่ที่อยากจะขอโทษแต่ไม่ได้ไป หรือจะย้อนกลับไปหาตัวตนเดิมที่ยังได้เป็นตัวของตัวเองในดนตรีร็อคมากกว่าจะให้เปลี่ยนแนวไปเป็นดนตรีป๊อปกับชุดหลากสี ความทุกข์ยังไม่หมดเพราะคนที่จะล้มละลายคือเดนนิสเจ้าของคลับเบอร์เบินรูมที่อยู่ได้เพราะคำปลอบใจของลอนนี่ (Russell Brand)

จากเท่าที่เห็นว่าตัวหนังพยายามนำเสนอแง่ทุกข์ของแต่ละคนออกมาในแบบที่แตกต่างโดยอิงเป็นเนื้อเดียวกันด้วยการร้องเพลงเพื่อช่วยในการแบ่งบทบาทไม่ให้ใครออกมาน้อยเกินไปหรือมากเกินไป แต่เพราะอะไรตัวละครที่น่าจะเป็นตัวประกอบอย่างสเตซี่ที่น่าจะโผล่มาร้องเพลงทำเรื่องราวกลายเป็นว่าเด่นกว่าพระเอกกับนางเอกจนตัวเองเกือบลืมไปแล้วทั้งคู่ หรือเพราะ Tom Cruise ของเราเล่นได้ดีกันแน่ เนื่องจากในเรื่องคือเจ้าแห่งร็อคจึงกลายเป็นตัวเด่นๆของเรื่องไปทั้งที่ควรอยู่ในฐานะตัวประกอบมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งที่กลายเป็นตัวเด่นและแถมนำเรื่องได้นั้นเพราะไปเพิ่มปมตัวละครดังกล่าวให้น่าสงสัยและน่าค้นหา ถ้าตัดประเด็นอย่างหลังออกไปคงจะดีมากเพราะเขาคือตัวชูเรื่องทุกครั้งที่โผล่มาเสียแล้ว เนื่องจากในเรื่องไปเพิ่มบุคลิกท่าทางมากมายเกินไปจนน่าจับตาหรือจะเบื้องหลังภายในจิตใจที่ทำมาเพื่อ? และเหตุผลสำคัญคือมาร้องเพลงโชว์ซะมากจนกลบพระเอกจนลงหลุมไปเลย ว่าแล้วมาคุ้ยเรื่องปมของสเตซี่กันว่าเขาเป็นอะไรทั้งที่โด่งดังขนาดได้สิ่งที่ต้องการแล้วแต่ในใจยังโหยหาอยู่ เริ่มจากอดีตในใจที่ยึดติดกับตัวเองมากเกินไป ไม่รับคนภายนอกเข้ามาในจิตใจ จึงกลายเป็นคนที่ใครต่อใครเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เพราะเขาเป็นคนมีปมในใจที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูหรือแก้ไข จะว่าไปไม่ต่างกับสภาพของดูรว์ที่ตอนนี้ดังได้แต่มีปม ดังนั้นภาพลักษณ์ของความร็อคที่ถ่ายทอดมาแบบผิดๆคือการจะอยู่แนวดนตรีนี้ได้ต้องมีความโศกเศร้า เห็นแก่ตัวจึงจะตีความหนักแน่นของเสียงเพลงหรือที่เรียกว่าระบายอารมณ์ แต่ทันไท่ได้เป็นแบบั้นเสมอไปเมื่อดนตรีร็อคที่หนักหน่วงยังมีมุมอันสวยงามหลายแง่พร้อมรอยยิ้มที่รู้สึกจริงมากกว่ายิ้มอย่างสับสน


มีให้เลือกสองทางตอนหนังเรื่องนี้จบ คืออิ่มกับล้นในเพลงที่ใส่เข้ามาปานกำลังได้ดูเอ็มวีมิวสิควีดีโอติดต่อกันรวมสองชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่อง ซึ่งถือว่าเพลินเอามากๆโดยเฉพาะคนที่ฟังเพลงแนวนี้ได้และชอบสไตล์นี่อยู่แล้ว แต่กับคนที่ไม่ชอบอาจเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่คล้ายถูกกระแทกหูแบบหนักหน่วงรวมถึงกิริยาในความร็อคที่บ้างก็ว่าดูรุนแรงบ้างก็ว่าเถื่อนไปสำหรับเยาว์ชน แต่อันที่จริงมันก็แค่วิถีของความร็อคที่เป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้ดูแย่หรือบอกว่าดีเสมอไปอยู่ที่การเปิดใจยอมรับของตัวเองมากกว่าจะมาบังคับกัน อย่างดูรว์ที่รักร็อคแต่ต้องเป็นป๊อป เราไม่สามารถบอกได้ว่าการรับชมเรื่องนี้แล้วรู้สึกเบื่อถ้าอยากฟังเพลง ย้ำว่าฟังเพลง เนื่องจากบางคนคงไม่ชอบเรื่องนี้ที่ดำเนินเรื่องแบบลวกๆหาโอกาสร้องเพลงเป็นว่าเล่น เอาจริงนะตลอดทั้งเรื่องเหมือนตัวเองไม่รับรู้อะไรเลยนอกจากได้ฟังเพลงตลอดทั้งเรื่องที่ตัวละครแทบหาเรื่องคุยกันไม่กี่ประโยคก่อนจะร้องแล้วร้องอีก เป็นความเพลินจากเสียงเพลงที่ปฏิเสธได้ว่าไม่ได้มาจากการรับรู้ทางสายตาเลย กระนั้นยังดีที่สีสันของเรื่องค่อนข้างโดดเด่นจนพอจะเบิกตารับชมได้ อีกทางหนึ่งเพราะ Tom Cruise นี่แหละที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนกับบทของตัวเอง

Rock of Ages เดิมเป็นละครเพลงจึงไม่แปลกใจถ้าจะเอาเนื้อเพลงมาเป็นตัวเล่าเรื่อง กระนั้นอยากให้ความสำคัญกับชีวิตให้มากขึ้นกับตอนท้ายเรื่องที่จบได้ห้วนๆเกินไปคล้ายลงเอยกับชีวิตที่รักสนุกไม่ได้มีความสำคัญหรือความหมายจนรู้สึกภูมิใจในตัวละครมากเท่าที่ควร แม้การดำเนินเรื่องจะไม่มีอะไรซับซ้อนแต่อดไม่ได้ที่จะเพิ่มประเด็นเป็นมุขเข้าทอดแทรกที่หารู้ไม่ว่าผู้ชมไม่รับเข้าถึงได้เพราะไม่มีการปูอดีตมาก่อน ส่วนนักแสดงทุกคนล้วนเล่นได้สมบทบาทแม้จะตะหงิดในบทของเชอร์รี่ที่ท่าทางออกจะน่ารักสดใสเกินกว่าจะชอบแนวร็อคได้ ในทางบบรรยากาศดูจะเล่นกับกลางคืนอย่างเดียวให้ภาพตัวหนังมีสีสันของหลอดไฟชวนดูตระการตา นี่ถ้าปรับเนื้อเรื่องให้ลุ่มลึกชวนมีมิติมากขึ้นเราอาจได้ชมมากกว่าหนังที่มาร้องเพลงโชว์อย่างเดียว ทั้งนี้การรับฟังเสียงเพลงที่ฮิตติดอันดับทั้งหลายในเรื่องนี้อาจทำให้เรารู้สึกมีไฟลุกโชนอย่างความสุขนึกไปถึงวัยหนุ่มสาวอีกครั้งก็ได้

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)