Beautiful Creatures (2013) แม่มดแคสเตอร์

Beautiful Creatures (2013)
แม่มดแคสเตอร์
Director: Richard LaGravenese
Genres: Drama | Fantasy | Romance

เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างมาจากนิยาย Caster Choronicles ที่เผอิญเป้าหมายหลักของเรื่องเป็นแบบเดียวกันกับ The Twilight Saga พร้อมลองสร้างปรากฎการณ์คือเรื่องกระแสความรักต้องห้ามเฉกเช่นกับมนุษย์กับแวมไพร์และหมาป่า เผื่อหวังว่าลูกเล่นแบบนี้ยังคงใช้ได้ในการตลาดต่อให้หนังดูจะอ่อนมากๆเรื่องบทอย่าง Twilight ก็ตามที


อีธาน เวท (Alden Ehrenreich) ตระหนักในความฝันของตัวเองทุกครั้งที่ฝันเห็นผู้หญิงใครบางคนที่ตนเองไม่รู้จัก และทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้นเขาจำต้องพยายามนำสมุดมาวาดรูปรายละเอียดเท่าที่จำได้ในความฝัน แม้จะรู้ว่ามันคงเป็นเรื่องความฝันที่ในความเป็นจริงผู้หญิงในฝันคงไม่พบเจอแต่เขายังคงเชื่อในใจอยู่ลึกๆว่าบางทีการฝันเรื่องเดิมๆอาจทำให้พบบางอย่าง ในที่นี้เขาอาศัยอยู่ในเมืองแกทลินในแสนจะสงบแตกต่างจากเมืองใหญ่ เพราะอย่างแรกคือที่นี้ดูธรรมดา มีชีวิตไปแบบบ้านๆผสมความเชื่อทางศาสนา แล้วที่สำคัญเห็นจะเป็นไม่ได้คือไม่มีใครอยากย้ายมาอยู่ที่นี้ นั่นจึงกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดใจไปทั้งเมืองเกี่ยวกับคนนอกเข้าเมืองแห่งนี้ และเธอคือลีน่า ดูเครนส์ (Alice Englert) ชาวบ้านต่างไม่ไว้ใจเพราะเรื่องตระกูลดูเครนส์อันต้องด้วยคำสาปผิดแปลกจากคนปกติ ซ้ำถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกลัทธิซาตาน ดังนั้นลีน่าจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าไหร่นักเมื่อต้องย้ายมาเรียนที่นี้ เว้นแต่อีธานที่ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรกับเธอ จนกระทั่งทั้งคู่ได้พบกันในคืนฝนตก และอีธานอาสาไปส่งลีน่าที่บ้านของเธอ นับแต่นั้นมาทั้งคู่จึงเริ่มรู้จักกันมากขึ้น ชอบอะไรหลายอย่างเหมือนกันอย่างการอ่านหนังสือ บทกวี รวมถึงความมหัศจรรย์บางอย่างที่ทำให้อีธานต้องตะลึงในสิ่งที่ลีน่ากับตระกูลของเธอเป็น คือผู้ร่ายเวทมนต์ที่เรียกตัวเองว่าแคสเตอร์

ถึงชาวบ้านจะจงเกลียดจงชังตระกูลดูเครนส์ แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าที่ดินที่อาศัยทั้งหมดเป็นของพวกเขา ดังนั้นแล้วเมื่อไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเหล่าชาวบ้านยังคงอยู่ต่อไปอย่างไม่มีปัญหาขัดใจ จนเมื่อเมคอน (Jeremy Irons) ลุงของลีน่าได้รับรู้ถึงความซับซ้อนบางอย่างเกี่ยวกับลีน่ากับอีธานที่สานสัมพันธ์เป็นมากกว่าเพื่อนบ้าน จึงต้องสั่งให้อีธานเลิกยุ่งกับลีน่าเพื่อรักษากฎเข้มงวดของแคสเตอร์ที่ห้ามรักมนุษย์ ทว่าเวลาอันใกล้ครบกำหนดของลีน่าในวันเกิด 16 ปีก็ใกล้เข้ามา นั่นจะไม่ใช่แค่ตัวเลขที่บอกว่าลีน่าจะอายุเท่าไหร่ แต่จะบอกด้วยว่าเธอจะจะอยู่ฝ่ายไหนระหว่างแสงสว่างกับความมืด นี่คือคำสาปที่ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอ ดังนั้นสิ่งที่เมคอนต้องการคือให้ลีน่าไม่มีเรื่องค้างคาในใจหรือสิ่งใดอย่างเช่นความรักมารบกวนจิตใจเพื่อให้เข้าสู่ด้านแสงสว่าง ทว่าเรื่องไม่ได้ง่ายอยู่แค่ความรักที่ห้ามได้ยาก เพราะเมื่อวันใกล้กำหนดมาถึงได้มีริดลี่ย์ (Emmy Rossum) พี่สาวลีน่ากับเซลาฟีน (Emma Thompson) เป็นแคสเตอร์ด้านมืดมาร่วมแจมเพื่อชี้นำลีน่าให้ตกอยู่ภายใต้ด้านมืดด้วยการคุกคามอีธานเพื่อกระตุ้นลีน่าด้วยอารมณ์โกรธ ฉะนั้นแล้วก่อนจะกำหนดเลือกทางเดินของตัวเองว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ลีน่าควรจะทำยังไงต่อไปเพื่อแก้ไขคำสาปเช่นนี้ แล้วเมคอนจะช่วยลีน่ากับอีธานเพื่อจัดการแคสเตอร์ด้านมืดที่ทรงอำนาจได้หรือไม่


พล็อตเรื่องเป็นไปอย่างสดใส ไม่ได้หนักแน่นหรือซับซ้อนต้องอธิบายรายละเอียดให้ลึกซึ้งยากไปกว่าเป็นหนังรักระหว่างมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ตกหลุมผู้หญิงที่เป็นเคสเตอร์แล้วกลายเป็นเรื่องที่ห้ามกระทำเด็ดขาดเพราะเกรงในคำสาป ที่เห็นชี้ชัดสุดคือแบ่งแยกระหว่างฝ่ายธรรมะกับอธรรมออกจากกันได้อย่างไม่ต้องคิดลึกเช่น Twilight ที่มีสถานะก้ำกึ่งความไม่น่าไว้วางใจกับพวกแวมไพร์ที่อาจจะแวงกัดคอได้ทุกเมื่อย่างภาคแรกๆที่ดูจะกระหายในกลิ่นเลือดเหลือเกินจนต้องมีหนีหน้ากันบ้าง ซึ่งคงไม่แปลกถ้าจะกลายเป็นความน่าลุ้นกับความอดทนกับคำว่ารักแล้วทนได้ไหม ถ้าทนไม่ได้จะกลายเป็นหนังแวมไพร์กระหายเลือดแล้วกลายเป็นตัวร้ายไปซะแทน แต่ถ้าทนได้จะกลายเป็นพระเอกที่มีความรักจริงๆขึ้นมา นี่จึงเป็นเสน่ห์แรกๆของ Twilight กับการต่อสู้กับตัวเองก่อนภายหลังจะระบุเลยว่ามีตัวร้ายปรากฎตัว ส่วน Beautiful Creatures ไม่มีความจำเป็นว่าตัวเอกจะกลายเป็นตัวร้ายหรือมาทำร้ายได้ รวมถึงนางเอกที่ยังไม่มีทางร้ายด้วยซ้ำเพราะเห็นอยู่แล้วว่าเป็นฝ่ายที่ดี แต่ที่สิ่งที่ทดแทนเข้ามาในความรักเป็นอุปสรรคขัดขวางคือปัญหาส่วนตัวของฝ่ายนางเอกที่มีกฎง่ายๆ คือห้ามรักมนุษย์เด็ดขาด

ด้วยกฎห้ามนี่แหละที่ทำให้ผู้ชมอยากเอาใจช่วยให้ได้ว่าต้องรักได้สิ จะห้ามทำไมในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งผิด ก็ว่าแบบนั้นจึงมีการปูที่มาของกฎนี้ให้ฟังอย่างเข้าใจกับเรื่องราวคร่าวอดีตที่ว่าเคยมีบรรพบุรุษรุ่นก่อนได้กระทำร่ายคาถาต้องห้ามเพื่อช่วยคนรักของตนที่ตายไปในสงครามให้กลับมาอีกครั้ง ผลคือช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้แต่แคสเตอร์ที่ร่ายมนต์ต้องถูกด้านมืดกลืนกินจิตใจไปทั้งสิ้น แล้วด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคำสาปเรื่องการตัดสินครบอายุ 16 ปีว่าจะถูกด้านดีครอบงำหรือด้านมืดคุกคาม ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยหนังยังคงอธิบายมาเรื่อยๆ เพียงแต่ทำได้แผ่วอย่างมากกับเนื้อเรื่องที่หละหลวม หลายสิ่งหลายอย่างดูน่าสงสัยแต่ไม่มีคำตอบมาอธิบายให้ฟังว่าเป็นเช่นไรบ้าง เว้นแต่กับบางคนที่อ่านนิยายมาก่อนอาจจะรู้ลึกมากกว่าเท่าที่เห็น กระนั้นเนื้อเรื่องหลักๆยังคงเป็นความรักต่างสถานะที่กำลังจะถูกทดสอบด้วยคำสาปในไม่ช้า โดยหารู้ไม่ว่าช่วงหลังๆพระเอกของเราเริ่มไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไปเพราะทั้งเรื่องผู้มีปัญหาคือนางเอกคนเดียวที่ต้องหาวิธีจัดการคำสาปนี้ให้ได้ก่อนวันนั้นมาถึง ก็ดีที่ตัวหนังให้ความสนใจกับอีธานในเรื่องความฝันจนเริ่มๆน่าสนใจขึ้นมาแล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป แล้วช่วงจังหวะทำให้ต้องมาเจอลีน่าเข้าแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งตัวหนังทำได้โอเคในเรื่องความผูกพันที่ค่อยๆขยายจนกลายเป็นความรักของคนทั้งสอง เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เร็วเกินไปจนไวไฟหรือช้าเกินไปจนแบบเบื่อ จุดนี้หนังจึงรู้สึกมีส่วนที่ดีในการให้มิติตัวละครออกมาในเรื่องห่วงใยซึ่งกันและกัน อย่างฉากตอนที่ลีน่าถามอีธานว่าอยากได้อะไร อีธานต้องการหิมะเพราะอยากสัมผัส ลีน่าจึงทำให้เกิดหิมะร่วงลงมาท่ามกลางทั้งสอง นั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเรื่องแล้วก็ว่าได้ ไม่ได้หมายความว่าฉากอื่นๆจะไม่ได้เรื่องนะ แค่ต้องการบอกว่านั้นคือฉากที่สื่อความหมายได้ดี เพราะจะมีการอิงเรื่องการเสียสละเข้ามาสอดแทรกให้ผู้ชมรู้สึกตระหนักในสิ่งที่ลีน่าทำเพื่ออีธาน พูดง่ายๆว่าเป็นช่วงอารมณ์ที่รู้สึกดีก่อนจะดราม่ากลายเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบๆ


ที่น่าฉงนเห็นจะเป็นเรื่องตัวละครที่แรกๆยังพอแจกบทบาทได้พอเหมาะจนมาช่วงหลังๆที่เริ่มมีตัวละครมาเพิ่มจนกลายเป็นว่าความสำคัญด้านมิติตัวละครแต่ละตัวเริ่มจางหายออกไปทีละนิด ดูอย่างตัวละครที่มางานเลี้ยงทานอาหารที่ขนคนในตระกูลออกมาหลายคนเพื่อร่วมรับประทาน ซึ่งระหว่างนั้นเราจะได้เห็นแต่ละคนแสดงความโดดเด่นออกมาเป็นประปรายก่อนที่ทุกคนจะถูกริดลี่ย์ที่มาทีหลังแย่งความเด่นไปจากทุกคน ใช่เลยกับ Emmy Rossum ที่พร้อมบุคลิกท่าทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือสมบทบาทว่างั้นเถอะ ตอนเปิดตัวเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมากในการดึงผู้ชมให้ตึดหนึบอยู่กับความร้ายกาจของตัวละครนี้ ร้ายแบบมีเสน่ห์จนไม่แปลกใจเรื่องเสื้อผ้าที่ทำได้สะดุดตาเพราะมาแนวแฟนตาซีแหวกแนวคนเดียว ที่ร้ายสุดในเรื่องคือเซลาฟีนผู้บงการแผนการเอาไว้ให้ลีน่าถูกด้านมืดครอบงำแล้วเอามาเป็นพวก จะว่าเป็นอีกตัวละครที่เกือบจะน่าสนใจอย่างมากแต่ยังด้อยกว่าริดลี่ย์ที่โผล่มาเด่นเกินหน้าเกินตา ที่ยังดีคือการที่นักแสดง Emma Thompson เล่นเป็นตัวร้ายได้เข้าทางอย่างสมบทบาทแบบจัดเต็มลีลาท่าทาง ยิ่งฉากที่เซลาฟีนคุยกับเมคอนในโบสถ์ยิ่งใช้ได้เลย แถมดูเป็นมิติในดีในฉากนี้ อ่อเกือบลืมไปว่าคนที่เล่นเมคอนคือ Jeremy Irons คุ้นหน้าอย่างมากใน Die Hard: With a Vengeance (1995) ที่เป็นตัวโกงวางแผนเก่งๆให้จอห์น แมคเคนวิ่งไล่ระเบิด ก็เป็นอีกคนที่แสดงได้เข้ากับบทดีโดยเฉพาะตอนใส่สูทขาวแลดูน่าเกรงกลัวอยู่ส่วนหนึ่ง

แต่ที่น่าติดใจประชาชนมากสุดคืออีธานพระเอกของเราที่ได้นักแสดง Alden Ehrenreich หน้าตาไม่ให้ ดูเตี้ยไปหน่อย แถมน่าจะเล่นในหนังตลกบททะเล้นหน่อยยิ่งดี อันนี้เป็นเสียงทางลบที่บางคนไม่ชอบเพราะดูไม่หล่อตามที่ตัวเองหวังเอาไว้ กับส่วนตัวแล้วไม่ได้คิดมองแง่ลบแบบนั้นเพราะในเรื่องก็ระบุอยู่ว่าเป็นคนธรรมดาที่อยู่ในชนบทธรรมดาๆ การจะให้เป็นหน้าตาหล่อเหลากระชากใจหญิงคงจะดูผิดนิสัยไปอยู่บ้าง ไม่เหมือนคุณแวมไพร์เอ็ดเวิร์ดใน Twilight ที่หล่อแบบสาวๆยอมให้กัดคอซดเลือดได้ สำหรับการแสดงไม่ได้เป็นที่น่าหลงใหลมากนัก ที่ดีคือรอยยิ้มกับการทำหน้าตาแบบไม่คิดมาก ลักษณะจะมองก็มองไม่ได้ใส่อารมณ์จนอยากหาเรื่องจูบตลอดเวลา อีกอย่างคือในหนังเป็นตัวละครนิสัยหนอนหนังสือจึงดูเหมาะสมตอนจับหนังสือมาอ่าน คงถือว่าดีที่เล่นได้พอใช้ได้แม้จะมีเสียงตำหนิจากผู้ชมบางก็เถอะ ส่วนลีน่านางเอกคือ Alice Englert ที่ไม่ได้สวยเกินตัวแถมยังมีมุมมองที่ธรรมดากับสวยน่ารักในบางเวลา ยังคงแสดงได้ดีในการสมบทบาทคาแรกเตอร์แคสเตอร์ แต่ตัวเองรู้สึกตะหงิดในเนื้อเรื่องที่บอกว่าอายุ 16 ปี รู้สึกวัยรุ่นฝรั่งจะโตกันเร็วจังแหะ ไม่ได้ว่าแก่แดดนะแต่เหมือนจะวัยรุ่นเร็วไปหน่อยตามความรู้สึก กลับมาที่นักแสดงกันต่อกับ Alice Englert ที่มีลักษณะความสวยน้อยแต่เอาความน่ารักไปรับประทานแทน ฉากที่น่าเห็นใจคือตอนอ่านคัมภีร์ ดูแล้วหน้าเศร้า แต่ตอนที่อารมณ์สุดเหวี่ยงนี่ไม่ธรรมดาเพราะเธอมาเข้มมาแรงใช่ได้เลยในตอนท้ายเรื่อง ดูเหมือนนางเอกจะมีบทบาทมากกว่าพระเอกไปเสียแล้ว


Beautiful Creatures มีความน่าสนใจมากกว่าเรื่องรักที่ไม่ธรรมดาอีกอย่างคือเรื่องเวทมนต์ บางทีผู้ชมคงอยากเห็นแคสเตอร์เสกโน้นเสกนี้อย่างเรื่อง Harry Potter แต่เปล่าเลยเพราะในเรื่องด้อยมากเรื่องการโชว์พลังเวทมนต์ ดูออกมาธรรมดาจนไม่รู้สึกสะทกสะท้านในความตื่นเต้นเท่าไหร่เลย แถมจะมาจริงๆจังๆก็ท้ายเรื่องที่ขนทอร์นาโดมาฟัดซะเรียบ ในเรื่องเอฟเฟคไม่ใช่ปัญหาในยุคสมัยนี้เว้นแต่ไอเดียในการออกแบบแล้วว่าจะทำยังไงให้ออกมาดูน่าสนใจ ซึ่งเรื่องนี้ขาดจุดนี้ไปเยอะมากจนไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ ที่ดีหน่อยคือฉากโต๊ะหมุนที่เข้าท่าที่สุดในเรื่องเพราะดูระทึกมันส์ดี อารมณ์ประมาณผู้หญิงวีนแตกปะทุใส่กัน ฉากแอ็คชั่นที่น่าจะอลังการในตอนท้ายกลับไม่ไร้อารมณ์สะใจ ไม่มันส์ ไม่ลุ้น ไม่ตื่นเต้น แถมว่าโดยง่ายอีกต่างหาก ในความคิดหนึ่งคิดว่าในฉบับนิยายคงจะสนุกไม่น้อยทีเดียว แต่นั้นภาษาเขียนที่ต้องใช้จินตนาการควบคู่และเราคงจะจินตนาการได้มันส์ แต่พอเป็นหนังมันไม่ใช่เลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ยังดัดแปลงได้ไม่ขยี้พอ อย่างน้อยก็ดูได้เรื่อยๆตามฉบับหนังรักที่ใช้อารมณ์ร่วมมากเอาคาถาเสกกันอย่างเมามันส์ ส่วนองค์ประกอบอื่นๆทำได้ดีอย่างเรื่องต้นไม้ที่ดูธรรมชาติโดดเด่น ด้านดนตรีประกอบก็ถือว่าเข้าเค้าดีเหมือนอารมณ์จะได้ทางนี้

สรุปว่า Beautiful Creatures ยังมีจุดบกพร่องสร้างเงื่อนงำเอาไว้มากมายและไม่ยอมบอกในจุดนี้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะบอกว่าตั้งใจจะทำอีกภาคเพื่อเอาไว้ใช้เฉลยในตอนถัดไป ดูสิตอนจบยังมีแววให้กำลังใจว่าจะมีต่อเลย

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)