Waterworld (1995) วอเตอร์เวิลด์ ผ่าโลกมหาสมุทร

Waterworld (1995) | วอเตอร์เวิลด์ ผ่าโลกมหาสมุทร
Director: Kevin Reynolds
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: B

"คำนิยามของเรื่องนี้คงไม่พ้น Mad Max ฉบับนั่งเรือ"

เรื่องราวในโลกอนาคตที่ไม่เหลือแผ่นดินอีกต่อไปเพราะภัยธรรมชาติจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายกลืนกินทุกสิ่งให้เหลือแต่น้ำทั้งใบ มนุษย์ยังคงรอดชีวิตและร่อนเร่บนเรือกันอย่างอดยากและทุกอย่างกลายเป็นของหายากเพราะไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกอย่างล้วนเกิดจากสิ่งที่หลงเหลือจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนานจนหลายคนเชื่อว่าน้ำมาก่อนแผ่นดินและหาทางไปแห่งหนนั้น แต่หารู้ไม่ว่าแผ่นดินที่ตามหาอยู่ก้นทะเลที่ซึ่งไม่มีใครไปถึงหรือเห็นมาก่อน ยกเว้นอีโนล่า (Tina Majorino) เด็กน้อยที่มีลายแทงลึกลับบนแผ่นหลังที่คาดว่านำไปสู่แผ่นดินกับเฮเลน (Jeanne Tripplehorn) สาวแกร่งที่ดูแลอีโนล่าที่ต้องหนีจอมโจรสารตะกั่วนามว่าดีคอน (Dennis Hopper) ก่อนที่ทั้งสองจะได้รับการช่วยเหลือจากชายไร้ชื่อเสียงเรียงนาม (Kevin Costner) ที่เข้าไปพัวพันการตามล่าอย่างไม่ตั้งใจ


David Twohy ผู้เขียนบทร่วมของหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Mad Max 2: The Road Warrior (1981) ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะเห็นเสื้อผ้าหน้าผมหรือการวางองค์ประกอบที่ละม้ายคล้ายคลึงเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันที่ไม่ได้แห้งแล้งหรือเกิดจากนิวเคลียร์เหมือนตกอยู่ในทะเลทราย ตรงข้ามดูสบายไม่ร้อนระอุด้วยน้ำทั้งโลก ส่วนพาหนะย่อมหนีไม่พ้นเรือที่ทำให้เรื่องนี้เป็นจุดเด่นต้องใช้ตลอดทั้งเรื่องและกลายเป็นว่าต้องใช้งบไปไม่ใช่น้อยถึง $175 ล้าน จัดว่าสูงที่สุดในยุคนั้น(ก่อนที่ Titanic (1997) จะโค่นลงด้วยงบ $200 ล้าน) ส่วนรายได้นั้นทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังเจ๊งย่อยยับในทันที่ด้วย $264 ล้าน เหมือนจะได้กำไรแต่สัดส่วนโฆษณาและโรงหนังทำให้ไม่เหลืออะไรให้ใช้ต่อได้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุที่จริงจังกับความสมจริงมากเหลือเกินทำให้ต้องยกกองถ่ายกันที่ทะเล(ไม่ต้องทำสตูดิโอในแท้งน้ำ)ทำให้การถ่ายทำปิดตัวลง 3 ครั้งเนื่องจากมีการแจ้งเตือนพายุเฮอร์ริเคน แต่นั้นไม่เท่ากับการสร้างเมืองลอยน้ำด้วยของจริงทั้งหมด ไม่มีการพึ่ง CGI ใดๆทั้งสิ้น(ยกเว้นบางฉาก เช่น ปลายักษ์หรือตอนว่ายน้ำใต้ทะเล) อะไรจะพังจะระเบิดก็ของจริงๆกันหมดทำให้ได้อรรถรสกันอยู่ไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างสร้างจากของจริงทั้งหมดทำให้โอกาสสร้างสรรค์สิ่งแปลกจึงไม่ค่อยมีอะไรที่น่าตื่นตา ที่เห็นว่าน่าสนใจที่สุดคือเมืองลอยน้ำที่ดูยิ่งใหญ่มีอะไรหลายอย่างที่เชื่อว่าใครๆก็อยู่ได้ ส่วนที่เหลือก็คือเรือธรรมดาๆมีดัดแปลงบ้างนิดหน่อยให้ดูเก่าสมกับยุคน้ำท่วมโลกที่ของอะไหล่หายาก


ด้วยความที่ไม่มีอะไรนอกจากทะเลทำให้บรรยากาศดูโล่งให้อารมณ์ที่เวิ้งว้างไร้ผู้คน แต่ตัวหนังเหมือนจะไม่ให้เกิดจุดนนี้มากเกินไปด้วยการให้ตัวละครทำอะไรหลายอย่างเพื่อบอกว่าถึงจะมีกันแค่นี้ก็อยู่กันได้โดยไม่เหงา ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่อีโนล่ากับเฮเลนเป็นคนอาศัยเรือที่หนีตายจากกลุ่มโจรสารตะกั่ว(ชื่อแก็งค์เหมือนจะเอาฮาแต่จริงแล้วในเรื่องอธิบายเป็นนัยๆว่าทำไมชื่อนี้ด้วยจุดเด่นคือเรือที่ใช้พลังงานน้ำมันกับครอบครองน้ำมันอันมหาศาล) และอีกคนที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร รู้แค่ว่าเป็นชายต่างถิ่นที่มีเรือและข้าวของหายากมาทำการค้าก่อนจะมีกลุ่มโจรสารตะกั่วยึดปล้นแล้วรอดมาได้โดยได้รับความช่วยเหลือจากอีโนล่าและเฮเลน ทว่าการอยู่ด้วยกันเป็นความขัดแย้งเพราะอีกฝ่ายอยู่อย่างสันโดษมาตลอด

ประเด็นตัวละครทั้งสามจากความแตกต่างระหว่างฝ่ายทำให้เห็นมุมมองอย่างหนึ่งเกี่ยวกับผู้คนที่ล้วนอยู่เพื่อตัวเองหรือพยายามเอาตัวให้รอดในสภาพที่โหดร้าย ซึ่งคือพระเอกของเราที่มีความเห็นแก่ตัวไม่พอใจกับสาวทั้งสองที่อยู่บนเรือของตัวเอง ที่อยู่ได้เพราะจำใจช่วยให้รอดจากกลุ่มโจรสารตะกั่วแต่หลังจากนั้นเริ่มมองเป็นส่วนเกินของเรือที่ไม่มีประโยชน์ อารมณ์จะคล้ายกับ Mad Max ตรงพระเอกสันโดษขอไปคนเดียวให้รอดดีกว่ามีใครแล้วเป็นตัวถ่วง ทั้งนี้การมองพระเอกเป็นคนดีขาวสะอาดจึงเป็นไปไม่ได้ในโลกที่ย่ำแย่ ฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าตัวละครจะมีลักษณะสีเทาที่"ร้ายได้ ดีเป็น"


เป็นเรื่องที่ดีสำหรับพระเอกในเรื่องนี้กับลักษณะ Anti-Hero ไม่ดีไม่ร้ายแต่เป็นได้ทั้งสองอย่าง แม้แต่อีโนล่าตัวละครเด็กยังถูกกระทำที่รุนแรงจากพระเอกด้วยการจับโยนลงน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น แม้สุดท้ายจะช่วยเหลือแต่แสดงให้เห็นถึงความใจแคบอย่างหนึ่ง นั้นเพราะพระเอกอยู่คนเดียวมาตลอดและคิดว่าไม่ควรจะมีใครมาอยู่บนเรือตัวเอง แต่ด้วยมิติตัวละครกับความผูกพันที่เพิ่มมากขึ้นทำให้จากร้ายกลายเป็นดีแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงตัวละครจากอีโนล่าที่เป็นเด็กสาวตัวน้อยหรือเฮเลนหญิงสาวที่ปกป้องเด็ก ทั้งสองทำให้พระเอกเริ่มเห็นความสำคัญบางอย่างที่ค่อยซึมซับกลายเป็นมิตรภาพที่ต้องช่วยเหลือและลบอคติเกี่ยวกับคนที่ไม่ได้ร้ายไปซะทุกคน

Samuel L. Jackson เดิมทีรับบทดีคอนแต่ติดคิวไปเล่น Die Hard with a Vengeance (1995) ทำให้ Dennis Hopper ต้องมารับบทตัวร้ายแทนและกลายเป็นว่าดูเข้ากับคาแรกเตอร์ ดูสมเป็นตัวร้ายจอมฉกาจที่กุมอำนาจยึดครองด้วยแผนและวาจา ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาที่ปล้นเป็นอย่างเดียวแต่ต้องดูแลลูกน้องด้วยการซื้อใจอีกด้วย ส่วน Kevin Costner สมกับพระเอกสไตล์ Anti-Hero ตอนแรกร้ายแต่ร้ายเพราะสังคม ไม่ใช่อยากจะเป็นคนไม่ดีแต่สภาพแวดล้อมแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนเป็นยังไง พอมาอยู่กับเฮเลนกับอีโนล่าถึงได้เปิดใจมากขึ้นกลายเป็นคนดีในที่สุด


Waterworld เป็นหนังสมจริงที่มาพร้อมกับความจริงจังในเรื่องขององค์ประกอบที่จับได้พังได้ทำให้น่าเชื่อถือ แต่ด้วยองค์ประกอบที่มากแค่ฉากทำให้พล็อตเรื่องไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าพระเอกกับผู้ร้ายที่สามารถเดาถูกกันอย่างง่าย ทว่าแม้จะดูง่ายเอาเพลิดเพลินแต่สนุกในแง่แอ็คชั่นที่ต่อให้หนังยาวถึง 2 ชม.ยังไม่รู้สึกน่าเบื่อ(และเกือบ 3 ชม.ในฉบับเต็ม) อีกอย่างคือเป็นหนังที่เล่าเรื่องชีวิตบนท้องทะเลแบบไม่มีแผ่นดินที่ถือว่าแปลก(เพราะแทบไม่มีอะไรนอกจากทะเล เรือ และผู้คนอันน้อยนิดที่ไม่รู้จะต่อเป็นเรื่องเป็นราวยังไง) ถ้าคาดหวังหาความสนุกแบบแอ็คชั่นกึ่งผจญภัยถือว่าไม่เลว โดยส่วนตัวชอบไอเดียกับความสมจริงทำให้หลายอย่างดูตื่นตา(แม้จะบางฉากทำให้เกิดข้อสงสัยแต่ไม่อธิบายให้ฟัง) ส่งท้ายฝากเกร็ดหนังเกี่ยวกับชื่อเด็กอีโนล่า (Enola) เมื่อสะกดย้อนคำจะได้ อโลน (Alone) แปลว่า โดดเดี่ยว,คนเดียว ซึ่งตรงตามคาแรกเตอร์ในเรื่องที่คนเดียวไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนนอกจากแผ่นที่บนหลังที่นำไปสู่พื้นแผ่นดิน

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)