Tomb Raider (2018) | ทูม เรเดอร์
Director: Roar Uthaug
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Thriller
Grade: B-
ยอมรับอย่างหนึ่งเกี่ยวกับฉบับ Angelina Jolie ที่คล้ายเกมมากที่สุด โดยเฉพาะตัวนักแสดงที่เหมือนถอดออกมาสู่โลกความเป็นจริง อีกทั้งไม่ต้องพูดถึงความเซ็กซี่ที่ยุคนั้นเป็นยังไงหลายคนคงรู้ดี ขณะที่หนังนั้นค่อนไปทางกลางจนถึงติดลบ ส่วนในมุมมองหนังที่สร้างมาจากเกมในช่วงนั้นนับว่าสนุกและใช้ได้ทีเดียว แม้จะไม่มันส์หรือผจญภัยแบบในเกมก็เพียงพอตอบสนองต่อความต้องการได้ระดับหนึ่ง
สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้จะอิงตามเกมภาค Tomb Raider ของปี 2013 ที่เน้นเอาตัวรอดมากกว่าการบู๊แอ็คชั่น ฉะนั้นความคาดหวังแบบที่เคยเห็นในภาคก่อนๆเป็นคนละเรื่องกับภาคนี้ อีกทั้งยังเป็นการรีบู้ทใหม่ด้วยนักแสดง Alicia Vikander ในบทลาร่า ครอฟท์ ความสวยหรือเซ็กซี่ย่อมสู้ Angelina Jolie ไม่ได้ แต่ต้องย้ำว่าเป็นคนละสไตล์ จะไม่มาหุ่นเอวอกสะบึ้มอีกต่อไป แต่จะเป็นสาวแกร่งทรหดกัดฟันสู้
แม้จะไม่เคยสัมผัสตัวเกมแบบจริงจัง แต่พอจะเห็นได้ชัดถึงความพยายามทำให้เหมือนเกมมากเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการดึงคาเรกเตอร์ด้วยรูปร่างและการแต่งกายให้คล้ายคลึงกัน (ยกเว้นเรื่องไซต์นมเพราะอาจเปลี่ยนโทนหนังเป็นอีกอย่าง) นอกจากนี้ยังใส่ความเป็น Survival พาร่วมลุ้นสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ซึ่งเป็นจุดขายและจุดที่สนุกที่สุดในเกม ขณะที่หนังนั้นไม่น้อยหน้า มีสถานการณ์เอาตัวรอดไม่ต่างกัน ทว่าเสียดายที่มีน้อยทำให้อารมณ์ไม่สุดอย่างที่เห็น
ปกติจะคุ้นเคยแบบถือปืนยิงแอ็คชั่น แต่ครั้งนี้ลดความเป็นฮีโร่ให้ดูติดดินและดั้งเดิม ลาร่า ครอฟท์จะไม่ใช่ตัวละครที่เก่งและมีความสามารถรอบตัว หลายอย่างเรียนรู้จากสถานการณ์ที่ขับคั้นและบีบให้แสดงออกมา ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องเข้ากับการเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี กระนั้นความตื่นเต้นนี้ต้องเปลี่ยนเป็นความธรรมดาที่ยิ่งเล่านานเท่าไรยิ่งออกอาการเฉยมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างกับหมดช่วงโปรโมชั่นที่ดีเฉพาะช่วงแรก ทำให้ความคาดหวังของตัวละครนี้ไปไม่สุด ทั้งทักษะ ความคล่องแคล้ว ความเฉลียวฉลาด ล้วนน่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้
ด้วยความที่ปรับให้ตัวละครดูเป็นคนธรรมดาและมีข้อผิดพลาด ทำให้เห็นถึงปมของตัวละคร กระนั้นใช่ว่าปมปัญหานี้จะได้รับการคลี่คลายที่เหมาะสม เนื่องจากหลายอย่างแก้กันง่ายดายและขาดความผูกพันของตัวละคร โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่รักกันมาก แต่ไม่มีเวลาให้แก่กัน สำหรับริชาร์ด (Dominic West) จะให้ความสำคัญกับงานจนลืมดูแลลาร่า ปล่อยให้ใช้ชีวิตและยืนหยัดด้วยตัวเอง นั่นทำให้ลาร่าเป็นสาวแกร่งต่ออุปสรรคปัญหา แต่เพราะเลือกทางเดินเองทำให้หนทางชีวิตไม่ได้ราบลื่นเสมอไป
การตามหาพ่อคือภารกิจเดียวของลาร่า จะไม่เกี่ยวข้องกับปริศนาหรือโบราณวัตถุที่ต้องรักษาหรือปกป้อง ฉะนั้นภาพลักษณ์จึงดูเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เผอิญได้เบาะแสบางอย่างนำไปสู่ที่สุดท้ายที่พ่อตัวเองอยู่ พอหลังจากนั้นจะเป็นการเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆถึงที่มาที่ไปของพ่อที่หายสาบสูญ ทำไมถึงมาที่แห่งนี้ เพราะอะไร และองค์กรที่อยู่เบื้องหลังนี้มีวัตถุประสงค์แบบไหน แม้ทั้งหมดทั้งมวลจะเข้าเรื่องโดยง่าย แต่หลายสิ่งไม่น่าเชื่อถือในความลงตัวนี้ (สปอยล์ : ส่วนหนึ่งมาจากระยะเวลาที่ตัวหนังให้ติดเกาะถึง 7 ปี แต่ทุกอย่างยังดูครบเครื่องอุปกรณ์ แทนที่ทรัพยากรควรจะเป็นปัญหาสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ)
ความสนุกอยู่ในระดับทั่วๆไปและบางฉากทำได้ถึงอารมณ์ไปกับการแสดงของ Alicia Vikander ภายใต้สถานกรณ์ที่แสนยากลำบากและไร้ตัวเลือกในการเอาตัวรอด นอกจากนี้เป็นการสะท้อนถึงตัวละครหญิงที่ไม่อ่อนแอเสมอไป สมารถเป็นผู้นำได้และทำได้เหมือนผู้ชาย ประเด็นนี้จึงดูน่าสนใจมากทีเดียวในการพลิกบทบาทผู้ชายที่ดูแข็งแรงน่าไว้ใจมาอยู่บทรองที่แทบไม่มีโอกาสโชว์เท่กับเขาบ้าง
Alicia Vikander ถึงจะไม่สวยอย่างที่หลายคนมอง แต่ยอมรับบทสาวแกร่งทำได้เกินความคาดหมาย ยิ่งฉากเปิดเรื่องในโรงยิมซ้อมมวยจะเห็นถึงความดุเดือดบนเวทีระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง แน่นอนว่าสรีระร่างกายแสดงถึงกล้ามเนื้อชัดเจน คงปฏิเสธไม่ได้ถึงความมีเสน่ห์ที่ใครเห็นต้องหลงใหล (ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วแต่รสนิยมแต่ละคน) แต่คนที่น่าจะสะดุดตาไม่แพ้กันคือ Daniel Wu นักแสดงชาวจีนในบทลูเร็น กัปตันขับเรือที่มาพร้อมกับลาร่าก่อนจะติดเกาะไปด้วยกัน เสียดายที่บทเหมือนจะมาเป็นผู้ช่วย แต่สุดท้ายกลายเป็นตัวประกอบที่ตอนจบแทบไม่มีใครสนใจ
Tomb Raider เต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย แต่เหมือนจะถูกประเมินค่าตัวเองน้อยเกินไป ทำให้บางฉากดีบางฉากธรรมดา ซึ่งส่วนที่ดีมาจากส่วนที่ดูคล้ายเกมในการนำตัวละครไปสู่สถานการณ์เอาตัวรอด แต่เมื่อไรที่ไม่มีสิ่งนี้ทำให้การผจญภัยไขปริศนาขาดความไม่เร้าใจ ไม่ลุ้นชวนตื่นเต้น เสมือนเส้นกราฟที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตลอดเวลา กระนั้นไม่ได้แปลว่าความสนุกจะลดลงไปซะทีเดียว แค่อยู่ระดับกลางๆที่บางทีอาจเป็นที่ชื่นชอบใครหลายคนก็เป็นได้
